Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 108

ตอนที่ 108 ชายหาดตื้นในพระทัยของฮ่องเต้

“จางกงกง ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งขอเรียนถามสักหน่อย เสนาบดีกรมปกครองมีบุตรชายกี่คน?”

จางเฉิงคิดไม่ถึงว่าที่หวังทงจะพูดจะเป็นเรื่องนี้ จึงขมวดคิ้วมุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็หันไปทางโจวอี้ โจวอี้ยืนสีหน้านอบน้อมอยู่ด้านข้าง พอเห็นสายตาของจางเฉิง ก็รีบก้มตัวลงอย่างรู้งานกล่าวว่า

“พ่อบุญธรรมรอสักครู่ ลูกจะออกไปถามเดี๋ยวนี้เลย”

พอโจวอี้ออกไป หวังทงก็กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า

“กล่าวกับกงกงตามตรง ตอนนี้ทางนี้ควบคุมบ่อนการพนันและหอคณิกาได้ไว้ไม่น้อย ทางร้านน้ำชาหลายร้านนั่นก็ส่งคนไปจับตาไว้แล้ว ข่าวสารได้มามากมาย ลัทธิไตรสุริยันยื่นมือยาวสาวอำนาจมากเกินไป การค้ารายได้ดีไม่ว่าขาวหรือดำก็ล้วนยื่นมือเข้าเอี่ยวด้วยทั้งนั้น ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกัน?”

จางเฉิงนั่งอยู่ตรงนั้น ส่งเสียงแค่นหัวเราะ กล่าวอย่างดูแคลนว่า

“ไม่รู้ว่าขุนนางนอกวังในวังคนไหนที่สมองเสื่อมกัน คิดจะเลี้ยงคนกลุ่มหนึ่งไว้ ทำเรื่องไม่อาจเปิดเผยในที่แจ้ง ข้าคิดว่านะ เงินทองอะไรยังเป็นเรื่องเล็ก เกรงว่าที่เรื่องผู้นั้นคิดน่าจะเป็น….”

เรื่องจวนเสนามีบุตรชายกี่คน นี่เป็นเรื่องที่สืบได้ง่าย โจวอี้กลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า

“เสนาหวังกั๋วกองมีบุตรสาว 3 บุตรชาย 1 บุตรสาวทั้งสามแต่งออกไปแล้ว บุตรชายชื่อหวังไท่ไหลยังคงอาศัยอยู่ในจวน”

กล่าวจบ จางเฉิงกับโจวอี้ก็มองไปที่หวังทง หวังทงพยักหน้ารับรู้กล่าวว่า

“คนที่ฉุดคร่าหญิงชาวบ้านวันนี้ก็คือหวังไท่ไหลผู้นี้ และตอนสืบคดีเหอจินอิ๋น ก็คือคนผู้นี้ที่ออกหน้าบีบศาลซุ่นเทียน…”

เรื่องกล่าวถึงตรงนี้ ก็วกกลับมาถึงเรื่องลัทธิไตรสุริยัน จางเฉิงนิ่งเงียบลงทันที ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้เงยหน้ามองหน้าผากโจวอี้ที่ยังมีฝุ่นติดอยู่ สอบถามว่า

“เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”

“เรียนพ่อบุญธรรม การสอบปากคำเรื่องคนตายบนถนนเส้นนั้นล้วนทำในนามสำนักบูรพา ด้วยสถานะผู้นำคณะบัณฑิตของหวังกั๋วกวง เขาแต่ไรก็ไม่เคยกลัวสำนักบูรพา ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นอาจถวายฎีกาหรือฟ้องร้องกันต่อหน้าว่าสำนักบูรพาแทรกแซงการทำงาน มองไม่เห็นหัวพวกเรา…พอถึงขั้นนั้น ไม่ว่าพวกเราจะปิดบังอย่างไร เรื่องก็ยังคงทราบถึงพระเนตรพระกรรณไทเฮาและเฝิงกงกง”

ประชาชนได้ยินว่าสำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพร สีหน้าก็จะแปรเปลี่ยน แต่เสนาบดีกรมปกครองระดับขุนนางผู้ใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าไม่น่าจะเกรงกลัวอะไร หวังกั๋วกวงไปรายงานเรื่องที่คณะเสนาบดีใหญ่ อธิบายเรื่องราวตามหลักการ ฮ่องเต้ก็คงทำอะไรไม่ได้

ตอนนี้จุดศูนย์กลางของทั้งห้องไปรวมกันอยู่ที่โจวอี้ โจวอี้เงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าวว่า

“สถานะผู้นำคณะบัณฑิตนี้เล่นด้วยยาก แต่พอดีสามารถใช้การนี้สร้างเป็นเรื่องได้”

****

เมื่อหวังทงกลับไปที่ลานฝึก การฝึกก็ควรจะเริ่มไปได้ช่วงหนึ่งแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงพักพอดี แต่บนใบหน้าของเด็กแต่ละคนยังคงมีสีหน้าตื่นเต้นอยู่

ห่อผ้าใส่ขนมที่ฮ่องเต้ว่านลี่นำมาทุกวันนั้นก็แบ่งกันไปหมดแล้ว ทุกคนถืออยู่ในมือหนึ่งชิ้น คุยไปกินไป พอเห็นหวังทงเข้ามา ลี่เทาและซุนซิงกับพวกหัวโจกสองสามคนก็ยืนประสานมือทักทายราวกับผู้ใหญ่

เด็กคนอื่นๆ ก็ยิ่งกว่า มีคนหนึ่งกัดขนมดอกกุ้ยไปคำหึ่งก็ตะโกนเสียงดังว่า

“พลทหารหวัง ตรงนี้ยังมีอีก ข้าแบ่งให้เจ้ากิน”

ช่างต้อนรับอบอุ่นกันยิ่งนัก เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ต่อยตีร่วมกันครั้งหนึ่ง มิตรภาพก็จะยิ่งแน่นแฟ้นรวดเร็ว นับประสาอะไรกับหวังทงตัวคนเดียวลุยอยู่ด้านหน้า ตอนอันตรายก็ยังร่วมกับเด็กตัวใหญ่อีกสองสามคนกันอยู่หน้าสุด และยังนำทุกคนให้สู้อย่างไรอีกด้วย พฤติกรรมโดดเด่นเช่นนี้ ก็ยิ่งฉายแววความเป็นผู้นำ

หากว่ากันเรื่องอายุทางความคิดแล้ว สองฝ่ายต่างกันมาก หวังทงก็เห็นอีกฝ่ายเป็นเด็ก แต่ครั้งนี้ทุกคนยอมรับตนเองอย่างแท้จริง และยังเคารพนบนอบ รู้สึกยินดีจากใจอย่างที่สุด

ประสานมือกล่าวขอบคุณแล้วก็ตะโกนเสียงดังว่า

“ที่บ้านซื้อผลไม้แห้งอย่างพวกองุ่นแห้ง พุทราเชื่อมน้ำผึ้งมา พรุ่งนี้จะเอาให้ทุกคนได้ชิมกัน”

ผลไม้แห้งของหวานพวกนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนชอบที่สุด เสียงเฮรับดังขึ้นทันที ตะโกนรับดังขึ้นพร้อมกัน สีหน้าทุกคนมีรอยยิ้ม หวังทงไม่ได้สนใจอะไรตรงนี้ เขามองไปรอบทิศ ก็เห็นหลี่หู่โถวกับฮ่องเต้ว่านลี่นั่งอยู่ในมุมหนึ่ง ตามหลักแล้วทุกคนสู้มาด้วยกัน ความสัมพันธ์ควรจะดีถึงจะถูก

หวังทงรีบวิ่งเข้าไป หลี่หู่โถวยืนอยู่ข้างๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย พอเห็นหวังทงก็ก็รีบบ่นว่า

“พี่หวัง หวงอี้จวินกลับมาก็เป็นอย่างนี้ ไม่พูดไม่จา หรือว่าตกใจมากไป เหมือนข้าในตอนนั้น?”

หลี่หู่โถวพูดถึงตอนที่ตนเองสังหารคนผู้นั้นแล้วมานั่งเหม่ออยู่ที่บ้านหวังทง เขายังคิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่ก็เป็นเหมือนกัน หวังทงตบท้ายทอยหลี่หู่โถวเบาๆ สีหน้ายิ้มไม่ออก กล่าวว่า

“อย่าเดามั่วไป รีบไปกินขนมเถอะ ไม่รีบไปก็ไม่เหลือแล้วนะ ข้าปลอบใจหวงอี้จวินเอง”

พอเห็นมีคนมารับช่วงต่อ หลี่หู่โถวก็ขานรับวิ่งไปหาทุกคนก้มหน้าก้มตาแย่งขนมกิน ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบกรวดเม็ดเล็กๆ ในมือโยนเล่นไปไม่ไกลนักอย่างเบื่อหน่าย พอเห็นหวังทงมาก็หยุดมือ

หวังทงรีบเข้าไปใกล้ถามเสียงเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาท ทำไมไม่ไปอยู่กับทุกคน ตรงนี้พระองค์เดียว….”

ฮ่องเต้คิดอะไรอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจถามได้ จึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อ ตามคาด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็คิดจะหาคนคุย เขาเอื้อมมือดึงกางเกงหวังทงเอาไว้ แสดงความหมายว่าให้นั่งลง

รอจนหวังทงนั่งลง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จ้องอีกฝ่ายเขม็งกล่าวว่า

“เสนาบดีหวังกั๋วกวงเป็นผู้นำคณะบัณฑิต พวกบัณฑิตในสำนักราชบัณฑิต สำนักการศึกษาและสำนักตรวจการต่างอยู่ภายในการนำของเขาและว่านซื่อเหอ เขารู้ว่าเราอยู่ที่ลานฝึกนี่ หากมีเรื่องขึ้นมา คงต้องลากเอาหลักการเป็นผู้ปกครองกับคำสอนนักปราชญ์ออกมาหมด”

หวังทงรู้สึกงงไปหมด คิดในใจว่าเจ้าเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แค่เสนาบดีกรมปกครองยังต้องกลัวด้วยหรือ ฮ่องเต้ว่านลี่ปาทรายในมือทิ้งทั้งกำ อารมณ์ตกต่ำสุดขีดกล่าวว่า

“เสด็จแม่ก็ไม่ทรงทนเห็นข้าเกเรได้ ขุนนางกล่าวเช่นนี้ เสด็จแม่ก็จะทรงอ้างถึงบรรพบุรุษและราชสำนัก แล้วก็จะทรงกรรแสงถึงเสด็จพ่อเรา เราไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือเรื่องนี้ รู้สึกเศร้าอย่างมากทุกครั้ง…”

ฮ่องเต้ว่านลี่ในหนังประวัติศาสตร์มีทั้งดีและไม่ดี แต่ไม่ว่าคนสนใจอยากรู้เรื่องคนอื่นในราชวงศ์หมิง หรือขุนนางบันทึกประวัติศาสตร์ในราชวงศ์ชิงที่ชอบแต่งเรื่องมั่วๆ ต่างก็วิจารณ์ตรงกันว่า ว่านลี่เป็นคน ‘กตัญญูที่สุด’ ตั้งใจดูแลเอาใจใส่ไทเฮาฉือเซิ่งที่เป็นพระมารดาแท้ๆ กับไทเฮาเหรินเซิ่นที่เป็นพระมารดาตามกฎมณเทียรบาล

เห็นใบหน้ากลัดกลุ้มของฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว หวังทงที่นั่งลงข้างๆ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าคนตรงหน้านี้เป็นเด็กน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง เด็กน้อยที่อ้วนกลม ไร้เดียงสา ชอบเย้าแหย่

หวังทงเขยิบเข้าใกล้ฮ่องเต้ว่านลี่ กระซิบว่า

“ฝ่าบาท ข้าน้อยมีวิธี คืนนี้ฝ่าบาทต้องเสด็จไปพบเฝิงกงกงก่อน ข่าวย่อมไปถึงสำนักบูรพาแล้ว สำนักอาชาหลวงและที่อื่นๆ จางกงกงพอจะเอาอยู่ จากนั้นพรุ่งนี้ตอนออกว่าราชการ…”

สองคนนั่งแอบคุยกระซิบกันอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งครูฝึกเรียกรวมตัวกันอีกครั้งจึงได้ลุกขึ้น แต่ตอนนั้นสีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ก็มั่นใจขึ้นมากแล้ว

****

“ต้าปั้น เรื่องวันนี้ของเรา ท่านอย่าได้ทูลเสด็จแม่ ได้ไหม!”

ฮ่องเต้ว่านลี่พูดอย่างระแวดระวัง เฝิงเป่าหัวหน้าสำนักอาชาหลวงสีหน้าโกรธมาก สองมือกำแน่น คุกเข่าขอร้องว่า

“ฝ่าบาททรงเป็นยิ่งกว่าหมื่นทองคำ เสด็จไปที่อันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร หากไม่กล่าวออกไป จะให้คำตอบแผ่นดินทั่วหล้าได้อย่างไร ให้คำตอบไทเฮาสองพระองค์ได้อย่างไร วันนี้แม้ว่าเป็นพระประสงค์ บ่าวก็ต้องทูลไทเฮาเรื่องนี้ ให้ไทเฮาทรงตัดสิน”

เฝิงเป่าเป็นขันทีมีอำนาจและชอบเงินทอง แต่ยังเป็นเหมือนบ่าวที่ซื่อสัตย์และบิดาที่เข้มงวดผสมกันในการอบรมเลี้ยงดูและดูแลพฤติกรรมของฮ่องเต้ว่านลี่ มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งเคยแสวงหาของเล่นล้ำค่ามาให้ฮ่องเต้ว่านลี่หลายครั้ง ต้องการให้ฮ่องเต้ว่านลี่ลองสร้างสวนเอง แต่ก็ถูกเฝิงเป่าให้เอากลับไป เพราะเกรงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะเอาแต่เล่น ไร้ปณิธานตั้งมั่นในงานแผ่นดิน

เรื่องวันนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นว่าไม่มีอะไร แต่กลับทำให้คนที่ได้รู้ต่างพากันกลัว เฝิงเป่าก็เป็นห่วงอย่างมาก เขาเตรียมจะห้ามไม่ให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไปที่ลานฝึกแล้ว

พอเห็นท่าทางหนักแน่นเช่นนั้นของเฝิงเป่า ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกกลัว ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และขันทีเช่นนี้ช่างน่าประหลาดนัก แต่ก็เป็นความจริงจากใจ

ฮ่องเต้ว่านลี่กรอกลูกกะตาไปมา เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าเฝิงเป่า ใช้มือรั้งชุดลายงูใหญ่สีแดงของเฝิงเป่าไว้ ขอร้องเสียงอ่อยว่า

“ต้าปั้น ขอร้องท่าน คืนพรุ่งนี้ค่อยรายงานเสด็จแม่ได้หรือไม่ แค่วันเดียว เราก็ต้องการแค่วันเดียว ขอร้องท่านได้ไหม?”

ทรงดึงแขนเสื้อชุดแดงของเฝิงเป่าไปมา ท่าทางออดอ้อน เฝิงเป่าเงยหน้ามองฮ่องเต้ว่านลี่ สีหน้าโมโหก็ค่อยๆ คลายลง สุดท้ายก็ถอนหายใจกล่าวว่า

“ฝ่าบาท เรื่องตอนกลางวัน บ่าวจะไม่ทูลไทเฮา แต่ฝ่าบาทออกไปนอกวังเผชิญเรื่องเช่นนั้น ต้องคิดถึงพสกนิกรทั่วหล้าให้มาก คิดถึงแผ่นดินของพระองค์!!”

พอได้ยินว่าเฝิงเป่ารับปาก สีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ก็ดีพระทัยมาก เฝิงเป่ายืนขึ้น ในแววตามีแต่ความเมตตาเอ็นดูของผู้ใหญ่ที่มีต่อผู้น้อย กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า

“ฝ่าบาททรงลำบากพระวรกายในตอนกลางวันมา น่าจะทรงหิวแล้ว ตามบ่าวไปเสวยที่ตำหนักไทเฮาเถอะพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่รับคำด้วยความดีใจ ถูกเฝิงเป่าจูงออกจากห้องไป จางเฉิงที่รออยู่ด้านนอกก็ก้มตัวถวายคำนับ รีบเดินตามไป

*****

“พี่จาง แถบถนนทักษิณไม่ว่าใช้เงินเท่าไรก็ต้องหาบ้านมาให้ได้หลังหนึ่ง ให้คนที่พวกเราเลี้ยงไว้พวกนั้นเข้าไปอยู่ รายละเอียดข้าจะบอกกล่าวกับบรรดานายท่านทั้งหลายเอง”

หวังทงที่นั่งอยู่กลางโถงมีท่าทีรีบร้อน เรื่องตอนกลางวันยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว การเตรียมการของตนนั้นยังไม่พอ เกือบจะเกิดภัยร้ายแรงขึ้น

ครูฝึกลานฝึกหลายคน หลี่เหวินหย่วน ซุนต้าไห่ จางซื่อเฉียงและหม่าซานเปียวล้วนอยู่ในห้อง สีหน้าไม่ดีนัก แม้ว่ามีบางคนไม่รู้ว่าหวังทงร้อนใจเช่นนี้ด้วยเรื่องใด

“ครูฝึกเจ้า อย่าลงโทษเด็กๆ ที่ลานฝึก หลังจากวันนี้ไป เกรงว่าพวกเขาทุกคนคงจะมีความสำคัญขึ้นอีกมาก ครูฝึกทุกท่านโปรดตั้งใจสอนสั่งให้ดี!!”

หวังทงกำชับเสริมขึ้น กล่าวจบทั้งห้องก็เงียบลง หวังทงอยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง รีบกำชับซุนต้าไห่เสียงเข้มว่า

“ต้าไห่ รีบไปสืบข่าวเถ้าแก่เซี่ยและทางบ้านพี่สาวมาให้ข้า จับตาดูให้ดี คนเดียวก็อย่าให้หลุดรอดสายตาไป”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!