Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 116

ตอนที่ 116 รถถึงหน้าภูเขาอาจมีหนทางต่อ เด็กหนุ่มต่อสู้กันเป็นเรื่องปกติ

“น้องหวังอายุแค่ 14 กลับมีความคิดเหมือนอายุคน 40 ได้เช่นนี้ ข้าไม่เคยกล้าฝากความหวังไว้กับใครมากนัก แต่ตอนนี้ขอพูดสักคำว่า เจ้าต้องรักษาสายสัมพันธ์ระดับบนนั้นให้ดี นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาชีวิต”

หลี่ว์วั่นไฉกล่าววาจาเช่นนี้

หวังทงกับหลี่ว์วั่นไฉปรึกษาหากันกันทั้งคืนก็คิดหนทางที่พอจะดำเนินการได้ไม่ออก อาจกล่าวได้ว่า การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่อยู่ในขอบเขตข้องเกี่ยวกับเขาสองคน

สิ่งที่ทำได้มีแต่รับมือไปตามสถานการณ์ หากมีการสร้างสถานการณ์หลอกลวงเงินทอง มีการขายหญิงสาวชาวบ้านเป็นบ่าวอะไรพวกนี้อีก ก็จะใช้อำนาจหน้าที่ของศาลซุ่นเทียนและองค์รักษ์เสื้อแพรจัดการเอาผิดลงโทษคนชั่วให้สาสม แต่เรื่องเบื้องหน้ามีแผนการอะไรหรือเกี่ยวข้องกับอะไรนั้น ก็ต้องค่อยๆ ดูไปก่อนแล้ว

คิดถึงเบื้องหลังของลัทธิไตรสุริยัน หลี่ว์วั่นไฉก็รู้สึกไม่สบายใจ ก่อนจากไปยังได้กำชับหวังทงไว้ประโยคหนึ่งดังกล่าวข้างต้น

พอส่งหลี่ว์วั่นไฉแล้ว หวังทงก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยจิตใจที่สงบลงอย่างรวดเร็ว วิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด คนรอบข้างต่างคิดว่าที่พึ่งใหญ่ของตนนั้นคือจางเฉิง ยังมีคนคิดว่าเป็นโจวอี้ อำนาจเบื้องหลังเช่นนี้แม้ว่ายิ่งใหญ่ แต่กลับไม่มั่นคงเช่นภูเขาไท่ซาน

แต่ที่ตนพึ่งพิงอยู่นั้นคือฮ่องเต้ว่านลี่ ตอนนี้บางทีอาจจะยังไม่ได้เป็นการคงอยู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์หมิง แต่วันหน้าย่อมเป็นได้ ขอเพียงจิตวิญญาณแห่งการครองอันดับหนึ่งไม่ล่มสลาย ตนเองก็ทำการให้รอบคอบขึ้นอีก ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องใดแล้ว

ในแผ่นดินราชวงศ์หมิงนี้ ไม่มีใครจะต่อต้านกับฮ่องเต้ได้ ไม่ว่าใครที่มีความคิดเช่นนี้ย่อมต้องแหลกเป็นผุยผง

****

เช้าวันรุ่งขึ้น หวังทงกำลังจะออกไปรายงานตัว ก็เห็นนางหม่าที่กำลังยุ่งอยู่กับหอเลิศรสมาเรียกไว้ ถามว่า

“จางหงอิงผู้นั้นท่าทางเรียบร้อย รู้จักธรรมเนียมมารยาท นายท่านที่บ้านขาดคนดูแล ไม่สู้จัดไปปรนนิบัติรับใช้ในห้อง…”

นางหม่าเจตนาดี ด้วยสถานะของเขาและตำแหน่งนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพร คนสถานะเช่นนี้ในเมืองหลวงก็ล้วนมีคนคอยปรนนิบัติสองสามคน หวังทงอายุไม่มาก แต่การงานที่ทุกวันก็ไม่น้อย มีคนเช่นนี้คอยดูแล ทุกอย่างก็จะสะดวกสบาย

“ไม่จำเป็น ให้นางไปทำงานที่หอเลิศรส ในห้องข้าอยู่กับซานเปียว”

ห้องนั้นหวังทงเก็บซ่อนของไว้ไม่น้อย และปรึกษาหารืองานกับหลายคนในห้องนั้น หากมีหญิงสาวที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนอยู่ด้วย ก็จะทำให้รู้สึกอึดอัด

ได้ยินการจัดการของหวังทง นางหม่าก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เป็นแค่หญิงสาวที่บังเอิญได้พบกันเท่านั้น ไม่ได้สนใจอะไรนัก

เวลานี้ยังเช้าอยู่ บนถนนยังคงไร้ผู้คน ทุกวันก็จะไปช่วยลุงเถียนกวาดพื้นจนเป็นความเคยชินเสียแล้ว แม้ว่าตอนต้นปี ก็เคยไปหยอกกับลุงเถียนว่าหนุ่มขึ้นทุกปี แต่สองเดือนมานี้ เห็นชัดว่าลุงเถียนเคลื่อนไหวได้ช้าลง คนแก่แล้ว มีบางสิ่งที่ไม่อาจย้อนคืน เป็นสิ่งที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้

บนถนนเงียบสงบ ย่อมทำให้คนตกสู่ห้วงความคิดได้ง่าย ยังไม่ทันเดินออกจากถนนทักษิณ หวังทงก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวผิดปกติด้านหลัง

เช้าตรู่เช่นนี้ บนถนนไร้ผู้คน มีแต่พวกกวาดพื้นทำความสะอาดหน้าประตู แต่หวังทงกลับได้ยินเสียงฝีเท้าคนด้านหลัง

หันกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไร มองไปรอบๆ เดินมาไม่ไกลเท่าไร เพิ่งจะถึงหน้าประตูหอรุ่งเรือง หวังทงมองซ้ายมองขวาไม่มีอะไรผิดปกติ ก็อดตบหน้าผากตัวเองไม่ได้ แอบยิ้มกับตนเองว่าจิตใจเหม่อลอยไปหน่อยเสียแล้ว หากตนเองทำให้ตนเองหวาดกลัวเองเช่นนี้ อะไรก็ไม่ต้องทำแล้ว

แต่เช้านี้มีอะไรไม่ปกติอยู่จริง หวังทงเดินไปตามถนนก็มักรู้สึกว่าด้านหลังมีคอยสะกดรอยอยู่ หันไปมองกลับไม่เห็นใคร

หวังทงไม่เคยได้รับการฝึกสะกดรอยหรือระวังการสะกดรอย เมื่อพบสถานการณ์เช่นนี้ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่บอกกับตัวเองว่าเมื่อคนเรื่องข่าวการตายของหวังไท่ไหลคุณชายจวนเสนานั้น จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร

เดินออกจากถนนทักษิณ คนที่ออกมาทำการค้าก็เริ่มค่อยๆ มีมากขึ้น หวังทงมองไม่ออกว่าด้านหลังตนนั้นแท้จริงมีใครตามมาหรือไม่

ไปช่วยลุงเถียนกวาดพื้นเหมือนปกติ รายงานตัวตามปกติ นายกองธงใหญ่อีกคนอย่างหลิวซินหย่งก็ยัง ‘รักษาตัว’ อยู่ที่บ้านตามเดิม นายกองร้อยเถียงหรงหาวตอนนี้สนใจเรื่องในกองร้อยน้อยมาก ล้วนให้หวังทงจัดการไปทุกเรื่อง

ตอนนี้เรื่องน้อยใหญ่ในกองร้อยก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว ทุกคนปฏิบัติงานไปตามกฎระเบียบที่หวังทงวางไว้ ทุกอย่างดำเนินเนินไปตามปกติ ทุกคนปฏิบัติไปเหมือนเดิม จากนั้นก็รับเงินเหมือนเดิม

จะว่าไปก็แปลก พอจัดการงานที่นายกองร้อยเถียนเสร็จ ตอนเดินกลับไปพร้อมกับซุนต้าไห่และพวก ความรู้สึกที่ถูกคนสะกดรอยก็ไม่มีอีก

หรือว่าตนเองคิดไปเอง หวังทงรู้สักแปลกใจ…

****

ก่อนเวลาหาอาหารกลางวัน โจวอี้ก็รีบร้อนมาถึง สีหน้าย่ำแย่ฉายแววกังวล พอหาหวังทงเจอ ก็รีบเข้ามาในห้องถามว่า

“น้องหวัง เฉินซือเป่า บุตรชายรองของเซียงเฉิงป๋อ[ 1 ] เฉินจินเซิ่ง สืบข่าวเจ้าไปทุกที่ และยังบอกว่าจะมาเอาเรื่องเจ้า เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”

เซียงเฉิงป๋อ ยศระดับป๋อ คือขุนนางบรรดาศักดิ์ชั้นสูงในราชวงศ์หมิง หวังทงแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่ ทำไมอีกฝ่ายจึงจะหาตนเพื่อเอาเรื่องเอาราวอะไรด้วย พลันส่ายหน้าด้วยสีหน้าแปลกใจ

โจวอี้มองสีหน้าหวังทงเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝง ก็กลับรู้สึกแปลกใจ ยังถามให้แน่ใจอีกว่า

“น้องหวัง เรื่องสำคัญเช่นนี้อย่าได้กลัวไป หากทำจริง ก็บอกกันมาตรงๆ ได้”

“พี่โจว ชื่อเซียงเฉิงป๋อนี้ ข้าก็เพิ่งได้ยินจากปากพี่วันนี้เป็นครั้งแรก จะไปมีความแค้นอะไรได้”

หวังทงยิ้มฝืดๆ ตอบไป โจวอี้จึงได้ยกน้ำชาจากบนโต๊ะขึ้นดื่ม กล่าวต่ออย่างแปลกใจว่า

“คืนวันก่อน เฉินซือเป่าถูกองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งตบหน้า ตอนนั้นเมา จึงสลบอยู่กับพื้น พอกลับถึงจวนและสร่างเมา ก็พบว่าหน้าครึ่งซีกนั้นบวมเป่งมาก ไม่กล้าออกจากบ้านเลย เพราะดื่มมากเกินไป จำเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย คนที่ไปด้วยกันบอกว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งตบเอา เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าขำขันกันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ หวังทงก็นึกได้ทันที ตนเป็นคนลงมือจริง วันนั้นโมโหมากที่หอรุ่งเรือง มีคุณชายสวมชุดปักลายดอกสีอ่อน ตนตบหน้าไปอย่างแรงทีหนึ่ง

คิดไม่ถึงเลยว่า ไปตบเอาบุตรชายของผู้มีบรรดาศักดิ์ระดับป๋อได้ หวังทงอดยิ้มเฝื่อนๆ ไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า

“ไม่อาจปิดบังพี่โจว เป็นข้าลงมือเอง”

โจวอี้ชะงักไปทันที ถ้วยชาในมือค้างอยู่ที่ปาก หวังทงเอ่ยอธิบายว่า

“เถ้าแก่เซี่ยหอรุ่งเรืองผู้นั้นวันนั้นปิดประตูที่เป็นทางถอยของฝ่าบาท พวกครอบครัวเล็กๆ กลัวมีเรื่อง และยังไม่รู้สถานะฝ่าบาทก็เลี่ยงไม่ได้ แต่เรื่องนี้หากฝ่าบาทและใต้เท้าทุกคนนึกขึ้นมาแล้ว ก็เกรงว่าใต้เท้าเซี่ยทั้งตระกูลก็คงรับแรงโทสะนี้ไม่ไหว ข้าจึงได้หาเหตุไล่ออกจากเมืองหลวงไป ก็นับว่าเหลือทางรอดให้เขาแล้ว ใครจะไปคิดว่าตอนข้าน้อยนำคนไปจัดการ คุณชายของจวนเซี่ยงเฉิงป๋อจะดื่มมากไป วางอำนาจใหญ่โต ข้าก็ขี้เกียจเรื่องมาก ก็เลยลงมือกับเขาไป”

พอได้ยินหวังทงเล่าจบ โจวอี้ก็วางถ้วยชาลงส่งเสียงหัวเราะดังลั่น ชี้หน้าหวังทงกล่าวว่า

“น้องหวังเจ้าลำบากแล้ว บุตรชายเซียงเฉิงป๋อเป็นเสือร้ายที่มีชื่อในเมืองหลวง ทำอะไรตามอำเภอใจ เสียเปรียบเจ้าไปเช่นนี้ รู้สึกขายหน้าแทบจะโดดน้ำตาย ก็ไม่อาจกล่าวกับผู้อื่นได้ว่าถูกตบมา ไม่อาจกล่าวว่าเพราะเหตุใดจึงถูกตบ จึงได้แต่ให้ลูกน้องออกสืบข่าวไปทั่ว”

“นี่ไม่ถูกต้องนะ ข้าไปหอรุ่งเรืองครั้งนั้นก็แสดงสถานะชัดเจน พวกเขาน่าจะสืบข่าวได้จากพวกหญิงจากหอรับวสันต์ไม่ใช่หรือ?”

“พวกนั่นถูกลูกน้องเจ้าไล่ออกมา จะไปรู้สถานะได้อย่างไร ไปสอบถามจากหอรับวสันต์ ใครจะกล้าบอกว่าเป็นเจ้า ที่นั่นยังมีสายสัมพันธ์กับเสนาสิง เฉินซือเป่าก็เลยไม่กล้าใช้กำลัง ว่ากันว่าเช้านี้คนของจวนเซียงเฉิงป๋อส่งคนมาสะกดรอยเจ้า เพื่อให้แน่ใจสถานะของเจ้าก่อน”

สองฝ่ายคุยกันไปอย่างออกรส สุดท้ายหวังทงก็รู้แล้วว่าความรู้สึกที่ว่ามีคนจับตามองตั้งแต่เช้านั้นมาจากไหน มีคนแอบสะกดรอยตนอยู่จริงๆ

พูดกันต่ออีกสักครู่ โจวอี้ก็ผ่อนคลายลง วางถ้วยชาลงยิ้มกล่าวว่า

“เมื่อรู้เหตุ ก็ง่ายแล้ว เฉินซือเป่ารวมคนได้เกือบ 60 กว่าคน บอกว่าจะมาเอาเรื่องกับเจ้า เดาว่าหลังยามอู่ก็น่าจะมากัน ข้าในฐานะพี่ชายเจ้าก็จะไปหาคนมาช่วยพูดก่อน จะได้ไม่ให้มาถึงแล้วจะมีเรื่องกันจนก่อเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็น”

โจวอี้ลุกขึ้นยืน หวังทงรีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ

“ลำบากพี่โจวแล้ว ข้าก่อเรื่องยุ่งยากยังต้องให้พี่โจวช่วยจัดการ”

“เจ้ากับข้าเป็นพี่นอ้งกันจะเกรงใจอะไร?”

โจวอี้โบกมือ กำลังจะกล่าวคำอำลา หวังทงก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบตะโกนเรียกโจวอี้ ยิ้มกล่าวว่า

“ข้าน้อยคิดอะไรออกแล้ว บางทีให้คนของเฉินซือเป่ามาที่นี่น่าจะดีกว่า”

*****

เขตปัจจิมของเมืองหลวงเป็นพื้นที่ของเซียงเฉิงป๋อ เซียงเฉิงป๋อนามว่าเฉินจินเซิ่งยังไม่ทันได้ทานอาหารกลางวันก็ถูกพ่อบ้านตามไปที่ห้องรับแขก บอกว่ามีขันทีในวังมาส่งข่าว

ด้วยสถานะของเซียงเฉิงป๋อ มีขันทีในวังมาก็ไม่ต้องสุภาพเกรงใจหรือให้ความเคารพมากนัก แต่พ่อบ้านบอกว่าขันทีผู้นี้ขี่ม้าเร็วมา ทำให้ไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ชัดนัก และขันทีผู้นี้ยังไม่ได้บอกว่ามาถ่ายทอดคำสั่งของผู้ใด ก็ยิ่งงง

เฉินจินเซิ่งเดินเข้ามาให้ห้องรับแขกด้วยสีหน้านิ่งเฉย ขันทีสวมชุดสีเขียวครามยืนอย่างนอบน้อมอยู่ที่นั่น พอเห็นเซียงเฉิงป๋อ ก็รีบคำนับ กล่าวด้วยเสียงแหลมขึ้นว่า

“บ่าว ไช่หนาน คารวะท่านเซียงเฉิงป๋อ”

“ในวังมีเรื่องอะไรถึงข้า”

“ไม่มีเรื่องะไร?”

ถามไปถามมา เซียงเฉิงป๋อก็ขมวดคิ้วมุ่น ขันทีน้อยผู้นี้เล่นอะไรอยู่กันแน่ ยังไม่ทันได้ระเบิดอารมณ์ ไช่หนานก็หัวเราะกล่าวว่า

“ขอท่านอย่าเพิ่งมีโทสะ และก็อย่าถามบ่าวว่าข่าวนี้มาจากกงกงท่านใด บ่าวนำความมาว่า ลูกหลานมีเรื่องวิวาทกัน ผู้ใหญ่อย่าได้ยุ่งเกี่ยวและอย่าได้ห้ามปราม เด็กผู้ชายน่ะ ได้ออกกำลังกันบ้างก็จะดี หยิบจับไม้กระบองลงมือตีกันพอได้ แต่หากใช้อาวุธกันก็ว่าเกินไป เช่นนั้นก็จะมีคนลงมาจัดการด้วยแล้ว คำพูดเท่านี้ บ่าวขออำลาก่อน”

ดูเหมือนไม่เป็นคำพูดที่ดูมีเหตุมีผลนัก เฉินจินเซิ่งขมวดคิ้วหันหลังกลับ เดินไปตามระเบียงก็คิดเข้าใจในบัดดล รีบตะโกนเรียกพ่อบ้านเสียงดังลั่นว่า

“ไปตามซือเป่ามา!! ตามเจ้าตัวบัดซบนั่นมาเดี๋ยวนี้!”

…………………………………………………………………………………………………………………………………………..

[ 1 ] บรรดาศักดิ์พระราชทานมีตั้งแต่กง โหว และป๋อ อาจเทียบได้กับสมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยา และพระยา ตามลำดับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!