Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 122

ตอนที่ 122 ค่ำคืนในพระราชวังต้องห้าม

“รู้จักการต่อสู้บ้างก็ดี อย่างน้อยพระวรกายจะได้แข็งแรง ฝ่าบาทมีพระพลานามัยอ่อนแอมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ หลายวันนี้เห็นฝ่าบาททรงมีกำลังวังชาดีขึ้น เสวยได้มากขึ้น เราก็รู้สึกดีใจ”

ไทเฮาฉือเซิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ หวงหยางมหาขันทีอาวุโสชุดดำก็อายุมากแล้ว ยืนอยู่ตรงนั้นก็ออกอาการสั่นเทาอยู่บ้าง ไทเฮาพระราชทานเก้าอี้ให้นั่ง ชายชราผู้นั้นก็รีบขอบพระทัยในพระเมตตาก่อนจะนั่งลง

“หวงหยาง นอกวังเจ้ายังมีคนที่บ้านหรือไม่?”

ไทเฮาทรงถามต่อ หวงหยางผู้นั้นรีบลุกขึ้นกราบทูลด้วยเสียงแหบว่า

“ทูลไทเฮา ข้าน้อยยังมีหลานอีกสองคน ล้วนประจำการอยู่ที่ทำการเมืองเป่าติ้ง”

แม้ว่าไม่ได้กล่าวชัดเจน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า สถานะขันทีระดับสูงอย่างหวงหยาง หลานสองคนที่เมืองเป่าติ้งนั้นย่อมต้องมีฐานะไม่น้อย ไทเฮาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเอ่ยต่อว่า

“เจ้าอายุมากแล้ว งานในสำนักอาชาหลวงก็ส่งมอบต่อให้เร็วอีกหน่อยเถอะ ข้าจะมีราชโองการให้เจ้าออกจากวังกลับบ้านเกิด ให้เจ้าไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับหลานทั้งสอง”

สำนักอาชาหลวงมีสามคนนับได้ว่าเป็นมหาขันทีระดับสูงที่เรียกว่า ไท่เจี้ยน แบ่งออกเป็น หัวหน้าสำนัก รองหัวหน้า และผู้ช่วยหัวหน้าสำนัก รองหัวหน้าสำนักทำหน้าที่ดูแลเก็บค่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระองค์ฮ่องเต้ และจัดการเบี้ยหวัดให้แก่สี่กองกำลังประจำพระองค์และกองรบ สถานะสูงส่งมาก

ได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ หวงหยางก็ตะลึงค้างไปก่อนจะรีบถอยออกห่างจากที่นั่งด้วยอาการสั่นเทา คุกเข่าลงโขกศีรษะหลายที ตามมาด้วยเสียงสะอื้นกล่าวว่า

“พระเมตตาของไทเฮา ข้าน้อยแม้กลายเป็นเถ้าธุลีก็ไม่อาจตอบแทนพระเมตตาได้”

อายุมากแล้ว พอคุกเข่าลงไปเช่นนี้ จะยืนขึ้นอีกก็ยากลำบากอยู่บ้าง ขันทีน้อยด้านข้างรีบเข้ามาพยุงเขาขึ้นนั่ง

เมื่อจัดการตอนตัวเองเป็นขันที ก็เป็นบ่าวของเจ้านายในวัง ทุกอย่างไม่อาจตัดสินได้ด้วยตนเอง ต้องอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายมากมาย

ขันทีมากมายที่มีอำนาจมากพออายุมาก จิตใจก็อ่อนกำลังลง ทำงานได้ไม่ดี ไม่อาจแย่งชิงความเป็นใหญ่ท่ามกลางการแก่งแย่งในวังได้ ชีวิตบั้นปลายจึงมักจะพบกับความน่าเศร้ากันอย่างมาก

ดังนั้นในวังจึงมีพระเมตตาพิเศษให้กับขันทีที่มีความดีความชอบมาก หากยังมีญาติอยู่นอกวัง ก็จะอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ให้พวกเขาได้อำลาสถานะขันที บั้นปลายชีวิตได้ออกไปรับการปรนนิบัติจากลูกหลานนอกวัง

เท่ากับว่าให้พวกเขาได้เป็นเหมือนคนปกติทั่วไป มีชีวิตที่ปกติ และนอกวังก็ยังมีการดูแลจากผู้ร่วมงานและลูกศิษย์ลูกหาในอดีต ไม่ต้องกังวลอันใด สำหรับบรรดาขันทีที่ทำงานในวังด้วยร่างกายที่ไม่ครบสามสิบสองเช่นนี้ นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น

แต่พระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้ ในวังมักไม่ค่อยประทานให้กันง่ายๆ หลายคนแม้ว่าเข้าสู่สำนักส่วนพระองค์ รับตำแหน่งหัวหน้าขันทีประจำสำนักหรือขันทีประจำห้องทรงงานก็ยังไม่มีสิทธิประการนี้

รองหัวหน้าขันทีประจำสำนักอาชาหลวงอย่างไรก็ไม่อาจมีโอกาสได้รับสิทธิประการนี้ได้ ไม่รู้ว่าไยจึงประทานให้เขา หวงหยางมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก รู้ว่าการประทานพระมหากรุณาธิคุณแก่ตนเช่นนี้ ย่อมยังมีอะไรแอบแฝง ตามคาด ไทเฮาโบกมือให้ขันทีและนางกำนัลรับใช้ถอยออกไป

รอจนเหลือเพียงสามคน ไทเฮาก็ทรงตรัสขึ้นว่า

“ถานจื่อหลี่ก่อนจากไปได้ถวายฎีกาฉบับหนึ่งว่า ปัจจุบันมีชีจี้กวง หลี่เฉิงเหลียงคอยค้ำจุนชายแดน ราชวงศ์หมิงจึงได้มีกองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่หากสองคนนี้ไม่อยู่แล้ว ราชวงศ์หมิงก็จะไร้ผู้ที่พอจะรับภาระได้”

หวงหยางนั่งหลังตรง รู้ว่าไทเฮากำลังจะเริ่มเข้าเรื่อง

“ข้าครุ่นคิดอยู่ว่า กองทัพหมิงนับแสน ไร้แม่ทัพชีและแม่ทัพหลี่ ก็ย่อมมีคนมารับภาระ ไยต้องกังวลเช่นนี้ แต่ฎีกาถานจื่อหลี่กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้ชายแดนและราชสำนักไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กองกำลังชายแดนมักไม่ได้สำนักว่ามีวันนี้ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท แต่กลับมักจะคิดว่าตนขึ้นมาได้จากเมืองไหนเมืองไหน จิตใจคิดแต่จะขอพระราชทานงบประมาณ”

ไทเฮายกถ้วยขาขึ้นจิบไปคำหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เกิดช่องว่างเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่เป็นผลดีต่อฝ่าบาท หากไม่ระวังรับมือให้รอบคอบ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอีกมากน้อยเพียงไร ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ วันหน้าผู้ที่ฝ่าบาททรงเลือกใช้ต้องเป็นผู้ที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ เติบโตมาด้วยกันจนรู้จักกันอย่างดี…ความคิดของถานจื่อหลี่ตรงกับใจข้าพอดี ลานฝึกที่ฝ่าบาททรงไปร่วมฝึกอยู่ตอนนี้ หวังทงและบรรดาเด็กๆ พวกนั้น ก็สอดรับกับเรื่องนี้พอดีไม่ใช่หรือ?”

เฝิงเป่าและหวงหยางเข้าใจเรื่องลานฝึกหู่เวยเป็นอย่างดี จึงได้พยักหน้ารับ ไทเฮาจึงถามต่อว่า

“หวงหยาง เจ้าว่าลานฝึกนั่นเป็นอย่างไร?”

แม้เป็นไทเฮา แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ปีนี้อายุแค่ 14 ฮ่องเต้หลงชิ่งครองราชย์เพียงแต่ 7 ปี ไทเฮาฉือเซิ่งมีพระชนมายุอยู่ในวัยกลางคนเท่านั้น ความคิดฉับไว แน่นอนย่อมไม่ถามคำถามที่ถามไปแล้ว เช่นกัน หวงหยางก็รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เขากำลังจะลุกขึ้นยืน ไทเฮาก็ยกพระหัตถ์ห้ามไว้ให้นั่งลง คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบไปว่า

“เด็กอายุกันแค่ 14 เท่านั้น ไม่เคยออกสนามรบ ไม่เคยเห็นการรบราฆ่าฟันจริง รู้จักรับมือเช่นนี้ ก็นับว่าเยี่ยมมากแล้ว บุตรชายรองเซียงเฉิงป๋อผู้นั้นก็คิดการรอบคอบ หากไม่สนใจอะไรก็แค่หาของโยนเข้าไปจากที่ไกลๆ ให้ขบวนแตกกระเจิงค่อยลงมือ ก็ไม่แน่ว่าจะถูกโจมตียับเยินเช่นนั้น”

นี่คือการให้คำวิจารณ์ระดับกลาง ไทเฮาทรงยิ้มพยักหน้า คิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า

“ฮ่องเต้ทรงเป็นประมุขของแผ่นดิน ไม่อาจอยู่ที่ลานฝึกเช่นนั้นได้นานนัก แต่เด็กๆ ที่เหลือ โดยเฉพาะหวังทงนั่น อย่างไรก็ต้องเอาใส่ใจบ่มเพาะ วันหน้าจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระฮ่องเต้ อย่าได้เป็นแค่ขุนนางคนสนิทสอพลอ หวงหยาง เรื่องนี้มอบให้เจ้าจัดการ เจ้ามีความคิดเห็นอะไรไหม”

ดูท่าแล้วการได้รับพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็เพื่อให้ตนเองจัดการเรื่องนี้ หวงหยางกระจ่างแจ้งในใจ ขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกว่า หวังทงผู้นี้มีเทพอารักษ์จริงๆ เบื้องบนถึงกลับเห็นความสำคัญเช่นนี้

คืนนี้ถูกเรียกมากะทันหัน คุยกันสักครู่หนึ่งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา หวงหยางอายุมากแล้ว ช่วงเวลารีบร้อนก็คิดไม่ทัน ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นเกรงว่าจะนานไปสักหน่อยแล้ว

เฝิงเป่าที่อยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นปิดปากส่งเสียงกระแอมไอเบาๆ หวงหยางรู้สึกตัวทันที คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ จึงกราบทูลด้วยท่าทางความนอบน้อมว่า

“ทูลไทเฮา ห้าปีก่อน ขุนพลอวี๋ต้าโหยวแม่ทัพใหญ่มณฑลฝูเจี้ยนรบแพ้โจรสลัดที่อ่าวเผิงหู จึงถูกปลดจากตำแหน่ง จากนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพขวา ฝึกทหารฆ่าเวลาว่างอยู่ที่บ้าน อวี๋ต้าโหยวผู้นี้ปีนั้นนับว่าเป็นผู้กล้า เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง ความหมายของบ่าวก็คือไม่สู้ย้ายเข้าเมืองหลวง ถ่ายทอดความรู้ความสามารถในชีวิตที่ผ่านมาให้กับเด็กๆ ผู้กล้าเช่นกัน ส่วนเรื่องการตั้งทัพเดินทัพ เรื่องสภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละพื้นที่และเรื่องของพวกโจรสลัดและพวกนอกด่าน บ่าวจะรับหน้าที่สอนสั่งเรื่องพวกนี้เองพะยะค่ะ”

ไทเฮาฉือเซิ่งทรงพยักหน้า เห็นได้ชัดว่ารู้สึกพอพระทัยกับการจัดการนี้มาก ตรัสขึ้นว่า

“ข้าก็เคยได้ยินชื่ออวี๋ต้าโหยวผู้นี้มาหลายครา ที่ว่ากันในตอนนั้นว่าเป็นแม่ทัพยิ่งใหญ่ ‘มังกรอวี๋ พยัคฆ์ชี’ อวี๋ต้าโหยวผู้นี้สร้างคุณความดีใหญ่หลวง แต่กลับขึ้นๆ ลงๆ สุดท้ายไม่ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ เฝิงต้าปั้น เรื่องนี้รีบจัดการเร่งด่วน”

*****

ตอนที่เรื่องทุกอย่างจัดการเรียบร้อยในห้องบรรทมไทเฮา ก็ดึกดื่นมาแล้ว แต่เฝิงเป่ายังคงไม่พักผ่อน หากรีบไปยังสำนักส่วนพระองค์

ในฐานะหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์ ก็เปรียบเสมือนบุคคลระดับมหาอำมาตย์ ทุกวันตอนบ่ายและค่ำก็ต้องมาอนุมัติฎีกา มิเช่นนี้ก็จะสร้างความเสียหายล่าช้าให้กับงานแผ่นดิน

สำนักส่วนพระองค์เป็นเรือนไม่ใหญ่นัก ด้านนอกและด้านในจุดไฟสว่างไสว ขันทีน้อยใหญ่สงบเสงี่ยมเคร่งขรึมเข้าๆ ออกๆ พอเห็นเห็นว่าเฝิงเป่ามาก็รีบก้มกายคำนับ ก่อนจะขยับเข้าข้างทางหลีกทางให้

สำนักส่วนพระองค์ตอนนี้มีบางอย่างไม่เหมือนเดิม เริ่มปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยการเสนอของจางเฉิง หัวหน้าสำนักและรองหัวหน้าจะอยู่แยกกันในห้องเล็กในห้องใหญ่ และขันทีในห้องทรงงานก็จะปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านนอก

พอเฝิงเป่าเข้ามาในห้อง ก็เห็นจางเฉิงรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์กำลังอ่านฎีกาอยู่ แม้ว่าจางเฉิงเป็นขันทีรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ เป็นรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ แต่ต่อหน้าเฝิงเป่าก็ต้องเคารพนอบน้อม พอเห็นเฝิงเป่า จางเฉิงก็รีบลุกขึ้นคำนับด้วยรอยยิ้ม เฝิงเป่ายกมือตบลงแสดงความหมายว่าให้นั่งลง

เฝิงเป่านั่งประจำที่แล้ว ก็ใช้มือกดหว่างคิ้วไว้ หลับตาลงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อยอย่างมากว่า

“วันนี้ด้านนอกไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”

“เฝิงกงกง อันดับแรก ในและนอกวังล้วนสงบดี ว่ากันว่าเรื่องการจัดการตรวจสอบที่ดินก็เพื่ออนาคตราชวงศ์หมิงเรา ทุกมณฑลทุกเมืองต่างเร่งดำเนินการอยู่”

เฝิงเป่าถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งยืดตัวตรงขึ้นกล่าวอย่างจริงจังว่า

“เสนาบดีจางฮั่นคนใหม่แห่งกรมปกครองขึ้นรับตำแหน่งก็ใช้ข้อหาไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่หักบำเหน็จรายปีของผู้ว่าในมณฑลเหอหนาน ซานซีและซานตงรวมเจ็ดคน พอมีการดำเนินการเช่นนี้ ผู้ใดก็มิกล้าดำเนินเรื่องตรวจสอบที่ดินล่าช้าอีก”

จางเฉิงพยักหน้ารับรู้ พลิกกองฎีกาทางซ้ายไปมา ก่อนจะดึงออกมาเล่มหนึ่งกล่าวว่า

“แถบหูกว่าง[ 1 ]และเขตปกครองใต้[ 2 ] รวมถึงเจียงซีต่างมีขุนนางถวายฎีกาว่าตรวจสอบที่ดินเป็นเรื่องดี แต่มีบางคนคิดว่าตรวจสอบที่ดินออกมาได้ยิ่งเยอะยิ่งดี จึงได้เอาที่ดิน 9 ส่วนบอกว่าเป็นหนึ่งหมู่[ 3 ] ยังมีเอาที่ดิน 8 ส่วนนับเป็นหนึ่งหมู่ด้วย ยังมีพวกบ้าระห่ำเอาที่ดิน 6 ส่วนนับเป็นหนึ่งหมู่อีกด้วย สร้างความโกรธแค้นให้คนในพื้นที่…”

เฝิงเป่าหยิบพู่กันจุ่มชาดแดง พอได้ยินคำพูดของจางเฉิง ก็โบกมือกล่าวเสียงเยียบเย็นว่า

“เก็บเงินให้ได้มากขึ้นเป็นการดีที่สุด สภาพการคลังเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ สองปีก่อนเพิ่งพอมี แต่ตอนนี้เงินรวมกันไม่ถึงล้าน งานอภิเษกฮ่องเต้ ทุกฝ่ายก็ต้องการใช้จ่ายเงิน ยังไม่รู้ว่าปลายปีจะจัดสรรอย่างไร ฎีกาพวกนี้วันหน้าต้องเก็บเอาไว้ เงินทองสำคัญกว่า ความโกรธแค้นในพื้นที่พวกนี้ ทนๆ ผ่านช่วงนี้ไปก็จบไปเอง”

สีหน้าจางเฉิงพลันฉายแววระแวดระวังมากขึ้น เมื่อครู่คำพูดของเฝิงเป่ามีน้ำเสียงตำหนิอยู่บ้าง บรรยากาศเริ่มอึดอัด จางเฉิงกรอกตาไปมา ตามด้วยรอยยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“รายงานวันนี้มีว่า ทหารจวนเสนาถานไปรายงานตัวกับหวังทงแล้ว ถานจื่อหลี่นี่น่าสนใจจริง มองเพียงแวบสองแวบก็มอบสิ่งของให้ ยังฝากฝังทหารในจวนไว้ด้วย”

“ถานกวนในฐานะที่เป็นขุนนางบุ๋นแต่มาปฏิบัติงานด้านการทหาร มีความสัมพันธ์อันดีกับชีจี้กวงและอวี๋ต้าโหยว กล่าววาจาตรงไปตรงมาในราชสำนัก ขัดแย้งกับพวกราชบัณฑิตฝ่ายบุ๋นไม่น้อย หวังทงผู้นั้นใครก็ดูออกว่าอนาคตไกลจนไม่อาจประมาณได้ เป็นผู้มากสามารถอย่างแท้จริง ถานจื่อหลี่ทำเช่นนี้ ประการแรกย่อมเพราะต้องการสร้างขุนพลให้กับราชวงศ์ หมิงเรา ประการสอง ก็เพื่อใกล้ชิดกับฝ่าบาท ได้ปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ วันหน้าจะได้ไม่ถูกผู้อื่นรังแก…”

เฝิงเป่าพูดไปอีกสักครู่ ก็เริ่มเปิดฎีกาอ่าน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

[ 1 ] ปัจจุบันคือพื้นที่มณฑลหูหนานและหูเป่ย

[ 2 ] เป็นเขตปกครองพิเศษในสมัยราชวงศ์หมิง อยู่ภายใต้การดูแลของหกกรมกองบริหารแผ่นดิน แบ่งออกเป็น 14 เขตใหญ่ และ 4 เมืองย่อย ปัจจุบันคือพื้นที่มณฑลเจียงซู อานฮุยและนครเซี่ยงไฮ้

[ 3 ] หมู่ คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีนในสมัยโบราณ ราว 666 กว่าตารางเมตร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!