ตอนที่ 124 รังแกนักเรียนใหม่
เฉินซือเป่าบาดเจ็บเพียงภายนอก พักรักษาสองสามวันก็หายดี แต่เมื่อก่อนทะเลาะวิวาทแพ้กลับมาก วิธีที่บิดาใช้จัดการลงโทษนั้นหนักหนาเอาการ
มักจะให้เปลี่ยนชุดชั้นดีที่สวมออกเป็นชุดเก่าๆ ขาดๆ แบบชาวบ้านทั่วไป แล้วให้ไปที่กองทหารนอกเมืองหน่วยไหนสักหน่วย ผู้ดูแลกองทหารที่นั่นเป็นสหายเก่าแก่ของเซียงเฉิงป๋อ จึงปฏิบัติกับเขาราวกับทหารผู้น้อยทั่วไป ทนลำบากอยู่สิบกว่าวันจึงค่อยปล่อยกลับมา
กินก็ไม่ดี นอนก็ไม่พอ ยังมีบาดแผลเล็กๆ ทั่วร่างกาย เฉินซือเป่าที่ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายจนชินไหนเลยจะทนรับสิ่งเหล่านี้ได้ ทุกครั้งที่กลับมาก็จะสาบานกับตัวเองว่าให้ตายอย่างไรก็จะไม่กลับไปอีก
เฉินซือเป่ายอมเรียนรู้การต่อสู้จากบรรดาทหารในจวนเพื่อการทะเลาะวิวาทกับคนตระกูลอื่นในเมืองหลวง แต่ไรมาก็จะฮึดสู้อย่างกล้าหาญ
แต่ครั้งนี้พ่ายแพ้ยับเยินจริง ตอนแรกที่ถูกตบหน้ามาเขาก็ไม่ได้บอกกับที่บ้าน ตอนนี้ยังมานำทหารที่จวนไปหาเรื่องถึงและขายหน้ามาเช่นนี้อีก ก็ไม่รู้ว่าจะถูกบิดาลงโทษอย่างไร
คิดถึงกองทหารนอกเมืองที่มีชีวิตราวกับขอทาน เฉินซือเป่าก็รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา คิดจะหาเหตุผลไม่กลับไป แต่ก็หาข้ออ้างอะไรไม่เจอสักอย่าง
พ่อบ้านที่มาเชิญเขากลับไปผู้นี้เป็นคนที่แม้แต่เซียงเฉิงป๋อยังต้องเกรงใจ ว่ากันว่าในปีนั้นติดตามท่านปู่ไปออกรบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่เมืองต้าถง ดังนั้นย่อมไม่เกรงใจเขาแน่
คิดไปคิดมาอยู่นาน สุดท้ายก็ยังต้องกลับไปอยู่ดี ได้แต่ตีหน้าบึ้งตึงใส่พ่อบ้านผู้นั้นตลอดทาง
เฉินซือเป่าก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รู้อะไรจากปากพ่อบ้านผู้นี้ ตลอดทางก็เอาแต่ตกอยู่ในภวังค์ ก้มหน้าคอตก พอเข้าประตูจวนไป ผู้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดบิดาเขาก็คอยอยู่ที่ประตูกลางด้านในแล้ว
“คุณชายรอง รีบตามข้าน้อยเข้าไป นายท่านต้องการให้ท่านไปพบด่วนที่สุด”
“…ประตูเมืองใกล้ปิดแล้ว ไม่น่าต้องรีบส่งข้าออกนอกเมืองไปคืนนี้เลยมั้ง!”
เฉินซือเป่ายู่ปากด้วยความขัดเคืองใจ ผู้ติดตามผู้นั้นหันกลับมาทันที ยิ้มกล่าวว่า
“ออกนอกเมืองไปทำอะไรขอรับ วันนี้นายท่านดีใจมาก!”
เฉินซือเป่าย่อมเข้าใจธรรมเนียมของตระกูล หากบิดาตนจะลงโทษตน ผู้ติดตามและพ่อบ้านก็จะเงียบกันกริบ จะไม่พูดอะไรกับเขา แต่หากดีใจ ก็จะยอมบอกข่าวให้เขารู้ เพื่อซื้อใจบ้าง
หรือว่าบ้านเรามีโชคดี บิดาตนได้พบเรื่องอะไรที่น่ายินดี เฉินซือเป่าคิดอย่างมึนงง เดินไปครู่หนึ่งก็ถึงห้องทานอาหารเล็ก
จวนเซียงเฉิงป๋อพื้นที่กว้างใหญ่ สมาชิกในจวนมีมากมาย แต่ผู้ที่สามารถมาทานข้าวกันที่นี่ได้ ก็มีแต่เซียงเฉิงป๋อและฮูหยิน บรรดาภรรยารองภรรยาน้อยทั้งหลายเข้ามาไม่ได้ พอมาถึงที่นี่ ใจของเฉินซือเป่าก็พลันนิ่งสงบลง บิดากินข้าวที่นี่ ก็ย่อมเป็นเวลาที่อารมณ์ดี
เฉินซือเป่าเดินเข้าไปอย่างสบายใจ พอเข้าไปถึงก็เห็นบิดาและมารดานั่งหัวเราะคุยกันอยู่ เห็นท่าว่าวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เฉินซือเป่ารู้สึกวางใจลง คิดไม่ถึงว่าท่าทางเช่นนี้จะถูกบิดาเห็นทัน เซียงเฉิงป๋อสีหน้าเคร่งขึ้นทันใด เสียงเข้มดังขึ้นตำหนิว่า
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ไปหาเรื่องเหลวไหลข้างนอกก็ช่างเถอะ แต่กลับสู้เด็กไม่ได้ ชื่อเสียงออกศึกที่ข้าสั่งสมมาถูกเจ้าทำลายหมดแล้ว”
เซียงเฉิงป๋อในปีนั้นมีกิตติศัพท์ในเรื่องความกล้าหาญ เดิมหากพ้นรุ่นปู่ไปแล้ว ตระกูลเฉินก็จะเป็นตระกูลอันดับสามของชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่เพราะการต่อสู้เสี่ยงชีวิตอย่างกล้าหาญของเฉินซือเป่า จึงได้แย่งชิงตำแหน่งกลับคืนมาอยู่ในตำแหน่งอันดับสอง ณ ตอนนี้ได้ เฉินซือเป่าได้ยินคำพูดของบิดาก็หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที เดิมคิดว่าบิดาอารมณ์ดี ไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว ทำไมยังเอามาพูดอีก
“เป็นเพราะข้าสอนสั่งเจ้าใกล้ชิด เจ้าจึงได้เรียนวิชาติดตัวมาบ้าง ไม่ทำให้ตระกูลเราต้องขายหน้ากันไปหมด”
คิดไมถึงว่าคำพูดกลับหักมุม เฉินซือเป่าเบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เฉินจินเซิ่งเห็นท่าทางเซ่อร์ซ่าของเขา ก็แค่นเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นเสียงหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“ยังจะยืนอยู่ตรงนั้นทำไม รีบมากินข้าวสิ!”
ฮูหยินเซียงเฉิงป๋อมองเฉินซือเป่าด้วยความรัก ยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า
“วันนี้ไทเฮาทรงเรียกพบแม่ ไทเฮายังทรงชมเจ้าด้วย ว่าเจ้าอายุยังน้อยก็รู้จักยุทธวิธีรบ ในบรรดาลูกหลานชนชั้นสูง เฉลียวฉลาดและมีความสามารถเช่นนี้นับว่าหาได้ยาก”
“อายุ 18 แล้ว จะบอกว่าเฉลียวฉลาดและมีความสามารถได้อย่างไร ตอนข้าอายุเท่าไอ้ลูกไม่รักดีเนี่ย ก็ออกไปสู้ตายกับพวกโจรสลัดทางใต้แล้ว”
เซียงเฉิงป๋อยกจอกสุราขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวแทรกขึ้น ถึงตอนนี้แม้แต่เฉินซือเป่าก็รูว่านี่ไม่ใช่การตำหนิแต่เป็นความยินดี
ตระกูลชนชั้นสูงยิ่งยศถาบรรดาศักดิ์ นอกจากตระกูลขุนนางที่สร้างผลงานในการรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิงจูหยวนจางและร่วมรบกับจักรพรรดิจูตี้ในการปราบจลาจลจิ้งหนานแล้ว นอกนั้นก็เพราะว่าสมรสกับเชื้อพระวงศ์และสร้างผลงานจนได้ปูนบำเหน็จ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สามระดับ ตั้งแต่กง โหว และป๋อลงมา ล้วนเป็นตำแหน่งในรัชสมัยนั้นๆ ฮ่องเต้ที่พระราชทานให้นั้นยังนั่งบังลังก์อยู่ ก็เป็นพวกชนชั้นสูงยิ่งยศ หากผลัดเปลี่ยนฮ่องเต้ ก็ต้องระวังตัวให้ดี ไม่รู้ว่าจะถูกปลดเมื่อไร แม้ว่าไม่เกิดเหตุร้ายอะไร หลายรุ่นผ่านไปก็จะถูกละเลย ค่อยๆ หมดความสำคัญลง
เฉินจินเซิ่งอาศัยความดีความชอบจากการปราบโจรสลัด จึงได้รักษาตำแหน่งเซียงเฉิงป๋อของตระกูลเอาไว้ได้ แต่ตอนนี้ประเทศชาติสงบสุข พี่ชายเฉินซือเป่าก็ไม่กล้าหาญ ทำอะไรก็ขลาดกลัวไปหมด เฉินซือเป่าก็ซุกซน วงศ์ตระกูลต้องล่มสลายลงก็เป็นอะไรที่ดูเหมือนจะคาดเดาได้ นี่เป็นสาเหตุที่เซียงเฉิงป๋อแต่ไรมาเอาแต่ชักสีหน้าไม่พอใจใส่เฉินซือเป่า
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า อยู่ๆ ฟ้าจะโปรยขนมเปี๊ยะลงมา เฉินซือเป่าร่วมกับพวกไปหาเรื่องแก้แค้นส่วนตัวกลับเป็นเรื่องที่ไทเฮาทรงทราบ และไทเฮายังกลับไม่ได้ทรงตำหนิความวู่วามของเฉินซือเป่า แต่หากทรงเรียกพบฮูหยินเซียงเฉิงป๋อ ตรัสชมเชยมา
แม้ว่าจะไม่กี่ประโยค แต่ฮูหยินเซียงเฉิงป๋อพอออกจากวังมา ก็ร้องไห้มาตลอดทาง เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ
ไทเฮาฉือเซิ่งเรียกไปชมเชย นี่เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่เพียงใด ไทเฮาแต่ไรมาก็จะระมัดระวังพระองค์กับพวกชนชั้นสูง แม้แต่น้องชายได้รับตำแหน่งอ๋องระดับโหวไปก็ยังไม่มีท่าทีอะไร ในรัชสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งและฮ่องเต้ว่านลี่นี่ ก็ไม่เคยได้ยินว่าทรงเรียกพบฮูหยินชนชั้นสูงตระกูลใด
ข่าวแบบนี้แพร่กระจายเร็วมาก พอฮูหยินเซียงเฉิงป๋อกลับถึงจวน บรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวง ยังมีพวกฮูหยินราชบัณฑิตในสำนักคณะเสนาบดี ฮูหยินขุนนางใหญ่ทั้งหลาย และยังมีฮูหยินของกั๋วกงอีก ทั้งหมดต่างให้คนมาเชิญถึงจวน ให้ไปดูงิ้วสนทนากัน ให้ไปมาหาสู่กันมากขึ้น
หลายคนต่างบอกว่าตระกูลตนมีลูกสาวหลานสาวรอการแต่งงานอะไรพวกนี้อยู่ ซือเป่าของตระกูลเจ้าองอาจกล้าหาญ มาเกี่ยวดองกันเป็นอย่างไร?
นี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ตอนคิดจะหาคู่ครองให้บุตรชายคนโตของเซียงเฉิงป๋อในกลุ่มชนชั้นสูงในเมืองหลวงด้วยกัน ทุกคนต่างมองข้ามอนาคตของตระกูลเซียงเฉิงป๋อ ไม่มีผู้ใดตอบตกลง สุดท้ายจึงได้แต่หาหญิงครอบครัวธรรมดามาเกี่ยวดองแทน คิดไม่ถึงว่าเฉินซือเป่าที่เอาแต่ซุกซนไม่เชื่อฟังกลับได้รับการต้อนรับอุ่นหนาฝาคั่งเช่นนี้ได้
ฮูหยินเซียงเฉิงป๋อรีบส่งม้าเร็วไปตามนายท่านกลับมา เล่าเรื่องได้ทรงเรียกพบในวันนี้ เฉินซือเป่าไปทำอะไรข้างนอกไว้ เซียงเฉิงป๋อย่อมทราบดี เดิมคิดว่ากระทำเรื่องเหลวไหลอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องดีเช่นนี้ไปได้ ทำเรื่องจนเข้าตาไทเฮา
แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สองสามีภรรยาก็ยินดีปรีดายิ่งนัก เรียกบุตรชายกลับมา กำลังจะถามให้รู้เรื่อง คิดไม่ถึงว่าถามอยู่นาน ก็ถามไม่ได้อะไรออกมา กลับยิ่งทำให้สับสนมากขึ้น
“ไทเฮารับสั่งให้เจ้าและพรรคพวกพี่น้องอีกสามคนนั่นของเจ้าไปร่วมฝึกที่ลานฝึก ที่นั่นจริงๆ แล้วเป็นลานฝึกของสำนักอาชาหลวงไว้ รับพวกลูกหลานทหารมาร่ำเรียนฝึกฝน”
พูดถึงสุดท้าย ฮูหยินเซียงเฉิงป๋อจึงได้พูดถึงประเด็นหลัก ไปที่ลานฝึกนั่น เฉินซือเป่าฟังแล้วก็หน้าบึ้ง เซียงเฉิงป๋อสั่งสอนสีหน้าเข้มงวดว่า
“ไทเฮาทรงพระเมตตา หรือจะปฏิเสธได้ พรุ่งนี้ถามให้รู้เรื่องแล้วก็ไปซะ วาสนาร่วงหล่นมาจากฟ้าเจ้ายังทำหน้าเช่นนี้อีก”
พูดไปก็เงยหน้าดื่มสุราไป น้ำเสียงเซียงเฉิงป๋อผ่อนลงว่า
“เดิมคิดว่ารอให้ข้าแก่ลงก็คงล่มสลายไป เจ้าและพี่ชายมีชีวิตที่ราบรื่นไปชั่วชีวิตก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าวาสนาจะร่วงมาจากฟ้า ยังมีหวังที่จะสร้างตระกูลให้รุ่งเรืองได้อีก เสี่ยวเป่าเอ๋ย ไปลานฝึกแล้วตั้งใจเรียนให้ดี อย่าให้เสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูลเราได้”
เฉินซือเป่าไม่เคยเห็นบิดาที่ขี้โมโหของตนพูดจาเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกว่าลำคอตีบตัน พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินไป
*****
วันที่ 3 เดือนห้าวันนี้ ครูฝึกสองคนเดินพาเฉินซือเป่ามา จากนี้ทุกเดือนเขาจะได้กลับบ้านหนึ่งครั้ง ที่เหลือต้องอยู่ร่วมกันกับทุกคนที่ลานฝึก
ลานฝึกมีนักเรียนมาเพิ่มอีกสี่คน เฉินซือเป่า ถังซื่อไห่ ที่เรียกกันว่า เสี่ยวถัง และคนอื่นๆ อีกสองคน พวกเขาล้วนอายุราว 17 – 18 รูปร่างก็สูงกว่าเด็กคนอื่นๆ ในลานฝึก ยืนอยู่ในแถวก็รู้สึกโดดออกมาอย่างเด่นชัด
พวกนี้แม้ว่าสถานะทางบ้านไม่เลว แต่พวกเขาแตะต้องสุรานารีก่อนวัย แรงกำลังจึงไม่พอเพียง และยังไม่ค่อยเข้าใจการฝึกแบบขบวนแถวพวกนี้เท่าไรนัก
หลี่เหวินหย่วนมาแยกฝึกให้พวกเขาสี่คนด้วยตนเอง เริ่มจากการเข้าแถวที่ง่ายที่สุด เริ่มฝึกจากซ้ายหันขวาหัน เป็นเรื่องน่าเบื่อไร้สีสันอย่างมาก
ทั้งสี่คนรักษาท่าทางยืนตรงได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ทนไม่ไหว ทางฝั่งเด็กๆ กำลังตะโกนนับหนึ่งสองๆ วิ่งรอบสนามอย่างพร้อมเพรียง
“พี่เป่า เรามายืนอยู่ตรงนี้ทำอะไรกันเนี่ย โง่เง่าเกินไปแล้วมั้ง ใครเห็นเข้ามิหัวเราะฟันหักไปหรือนี่!”
พอเห็นหลี่เหวินหย่วนเดินไกลออกไป ถังซื่อไห่ก็แอบบ่นเบาๆ เฉินซือเป่ายืนตรงได้มาตรฐานดี เขาแอบด่าขึ้นว่า
“เจ้ายังจะสนใจเรื่องพวกนี้อีกหรือ ไม่เห็นสายตาเด็กพวกนั้นที่มองพวกเราหรือ คิดว่าอีกสักครู่จะรับมือไงดีกว่า!!”
ถังซื่อไห่เพิ่งจะรู้สึกว่าเด็กๆ ที่กำลังวิ่งบนลู่พวกนั้น สายตาทุกคู่จ้องพวกเขาสี่คนด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
*****
“พลทหารทุกท่าน ทุกท่านๆ วันนั้นเข้าใจผิดกันไม่ใช่หรือ เราฝึกฝนด้วยกันที่นี่ ไยต้องแตกสามัคคี?”
เฉินซือเป่าเค้นรอยยิ้มออกมา ก่อนจะประสานมือคำนับติดๆ กัน
ในช่วงเวลาพัก พอครูฝึกออกไป เด็กๆ ก็ล้อมวงกันเข้ามา สายตามุ่งร้ายจ้องมองเขาสี่คน เฉินซือเป่าเหงื่อไหลเย็นเยียบด้วยความกลัว ทุกคนมือเปล่า แต่สี่คนกับหนึ่งร้อยคน เมื่อถึงคราวต้องก้มหัวก็ต้องยอมก้มหัว รีบกล่าววาจาอ่อนข้อให้ หวังว่าจะสามารถหลบไปได้
ที่ยืนอยู่หน้าสุดก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ พับแขนเสื้อ ใบหน้าอ้วนเล็กเต็มไปด้วยสีหน้ามาดร้าย ชี้ไปที่เฉินซือเป่าพลางตะโกนดังว่า
“เจ้าหมอนี่พาคนมาหาเรื่องลานฝึกเรา รังแกลานฝึกเรา ทุกคนจัดการมัน!!”
เด็กๆ ตอบรับขึ้นพร้อมกัน ลุยพร้อมกัน