ตอนที่ 126 ระวังรอบด้าน มีเรื่องอีก
“ตอนนี้ข้าส่งคนทางบ้านกลับไปยังเมืองทงโจวแล้ว น้องหวัง ข้าและเจ้าตอนนี้เดินอยู่บนหน้าผา ทำการต้องระวัง!”
ในเมื่อจดรายชื่อไว้แล้ว หลี่ว์วั่นไฉพอดึกมาแล้วก็ขอตัวกลับ ก่อนจากไปยังกล่าวไว้เช่นนี้
หวังทงเอารายชื่อสอดในอกเสื้อเดินกลับไปพร้อมซุนต้าไห่ ในสมองคิดแต่คำพูดของหลี่ว์วั่นไฉก่อนจากไป ตอนนี้ไม่รู้ใครเป็นศัตรู แต่เรื่องเตรียมการป้องกันก็ต้องเตรียมไว้ก่อน
เดินถึงทางแยก หวังทงก็กล่าวกับซุนต้าไห่ว่า
“ต้าไห่ เจ้าไปตามหลี่เหวินหย่วนกับหลี่หู่โถวมา ให้พวกเขาเอาอาวุธมาด้วย มาพักบ้านข้า ต้าไห่กับพี่น้องเจ้าก็ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่ซื้อไว้ทางนั้น หากเงินทองไม่พอก็มาเอ่ยกับข้าได้”
“ตั้งแต่ติดตามใต้เท้า ที่บ้านข้าทุกคนล้วนมีเสื้อผ้าใหม่ กินอาหารดีๆ กระเป๋าไม่เคยขาดเงินทอง ไม่ต้องรบกวนใต้เท้าให้เป็นห่วงขอรับ”
ซุนต้าไห่ตอบด้วยรอยยิ้ม รีบวิ่งไปบ้านหลี่เหวินหย่วน
พอถึงบ้าน บนโต๊ะมีลังนึ่งวางไว้พร้อมผ้าขาวบางคลุมไว้ เปิดออกดูก็เห็นเนื้อนึ่งชามหนึ่ง และแผ่นแป้งร้อนๆ สองสามแผ่น น้ำซุปไข่ชามเล็กยังร้อนกรุ่น
ในห้องกลางก็ปัดกวาดสะอาดสะอ้าน ปกติหวังทงไม่อยู่ ก็จะใส่กุญแจห้องนอนเอาไว้ ยังทำสัญลักษณ์ไว้ด้วย ที่นั่นไม่มีคนแตะต้อง แต่บานประตูเช็ดถูเงาวับราวกับกระจกเงา
ผู้ชายอยู่กันเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเก็บกวาดได้เป็นระเบียบ อย่างไรก็ต้องรกอยู่บ้าง วันนี้กลับจัดได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
นางหม่าและคนงานหญิงต่างก็สาละวนอยู่ที่หอเลิศรสทุกวัน ไม่มีเวลาว่างที่ไหนมาทำความสะอาดให้ เห็นสภาพเช่นนี้ หวังทงก็พอเดาได้ว่าเป็นผลงานของจางหงอิง
กินไปได้สองสามคำ หวังทงก็เปิดรายชื่ออ่านภายใต้แสงตะเกียง ตอนเจี่ยงจงกาวขานชื่อคนนั้นยังสามารถขานหน่วยงานที่ประจำอยู่ได้ด้วย สำนักส่วนพระองค์ สำนักขันทีส่วนใน สำนักอาชาหลวง สามแห่งนี้เป็นหน่วยงานใหญ่มีอำนาจแท้จริง ไม่มีคนในรายชื่อเลย ส่วนสำนักที่มีเงินทองเข้าออกผ่านมืออย่างเช่นสำนักภูษา สำนักห้องเครื่อง สำนักดูแลพระราชฐานก็ไม่มีเช่นกัน หน่วยงานอื่นๆ ที่ยากลำบากและหน่วยงานที่ไว้จัดให้กับขันทีสูญอำนาจหรือแก่ชราโดยเฉพาะนั่น รายชื่อในส่วนนี้กลับมีไม่น้อยเลย
สำนักวัดหลวงที่ทำหน้าที่ดูแลจัดการธูปเทียนบูชา สำนักพาหนะทำหน้าที่แบกเกี้ยวและยกธง และสำนักเตรียมน้ำสรงที่ไม่ได้อยู่ในวังหลวงด้วยซ้ำ ไม่รู้จริงๆ ว่าจัดคนไว้ที่หน่วยงานพวกนี้มีประโยชน์อะไร
ที่เตะตาหวังทงที่สุดก็คือกองทหารอารักขา เป็นหน่วยงานที่ควบคุมจัดการอาวุธในพระราชฐานส่วนใน ยังมีอีกสองหน่วยงานอย่างสำนักตราประทับและสำนักเอกสาร ที่ดูแลเรื่องตราประทับของเจ้านายและหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งพวกป้ายคำสั่ง หน่วยงานพวกนี้มีความสำคัญอย่างมาก ขันทีพวกนี้อยู่ในหน่วยงานเหล่านี้ ก็ย่อมเป็นภัยใหญ่หลวง
เมื่อไขกุญแจห้องนอนออก หวังทงไปที่ช่องซ้อนทับในชั้นหยิบกระดาษคำให้การที่มีรอยนิ้วมือของซุนเหล่าเอ้อร์ประทับรับรองไว้เป็นหลักฐานออกมาแผ่นหนึ่ง ในนั้นเป็นเรื่องราวที่เสือซ่อนเล็บเล่าเกี่ยวกับบ่อนพนันของตน เช่นว่า มีพนักงานประจำโต๊ะพนันมาตามเวลาที่กำหนดไว้เพื่อแพ้พนันเงินให้กับนักเล่น มีขันทีและองครักษ์วังหลวงหลายคนเล่นชนะพนัน
บางทีของบางอย่างชิ้นเดียวไม่มีค่าอะไร แต่สองชิ้นรวมกัน สมองแม้จะช้าสักหน่อยก็ย่อมคิดความนัยที่ซ่อนอยู่ออก
หวังทงพับรายชื่ออย่างดีก่อนจะเก็บเข้าไปในซองจดหมายพร้อมกับคำให้การของซุนเหล่าเอ้อร์ เก็บเข้าไปในช่อง นั่นเป็นช่องที่เขาใช้มีดสั้นกรีดแผ่นไม้ออกเป็นช่องไว้ หากไม่รู้มาก่อนก็ย่อมไม่อาจสังเกตเห็น
จากนั้นก้มตัวลงเปิดอิฐสองสามก้อนข้างๆ ออก หยิบปืนไฟสั้นกระบอกนั้นออกมาจากกล่องในนั้น ข้างกันยังมีถุงหนังกวางสองสามถุงที่ใส่ดินปืนและกระสุนพร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ ไว้
สำหรับเขาแล้ว วิธีที่ดีที่สุดที่จะสงบจิตใจก็คือขัดเงาปืนกระบอกนี้ ทำความสะอาดทั้งด้านในด้านนอก จากนั้นก็บรรจุกระสุนและดินปืนเสมือนพร้อมยิง จากนั้นก็เทกระสุนและดินปืนออกมาใหม่ทำเช่นนี้ซ้ำไปมาหลายรอบ
ตอนนี้หวังทงคิดถึงการไปเรียนตีเหล็กทำอาวุธที่ร้านตีเหล็กในมาเก๊าว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต ตอนนั้นคิดแต่เรื่องเรียนวิชา และยังมีบิดาคอยดูแล เทียบที่นั่นกับที่นี่ ตอนนี้ที่อยู่ท่ามกลางภัยอันตราย การต่อสู้ดุเดือด ไม่อาจวางใจได้แม้เพียงครู่หนึ่ง
ฝึกคล่องแล้วก็เป็นเองจนเกือบจะเป็นความสามารถเฉพาะไปแล้ว หวังทงดึงเชือกยิงที่ยังไม่จุดไฟไปคล้องไว้กับสลักยิง จากนั้นเทดินปืนลงไปก่อนจะบรรจุกระสุน
ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อม หวังทงใช้มือเดียวยกปืนเล็งไปที่ม่านประตูห้องกลาง เริ่มหรี่ตาเล็งเป้า เหนี่ยวไก ขอปากนกคล้องด้วยเชือกจุดชนวน พร้อมหมุนสลักเปิดท่อส่งดินปืน ปลายเชือกฉนวนเสียบลงดินปืน หากเชือกชนวนจุดไฟ ปืนไฟก็คงยิงได้แล้ว
ปืนสั้นกระบอกนี้หนักมาก ยกมือเดียวหากไม่ได้ฝึกมาก่อนก็จะยกค้างได้ไม่นานนัก แต่หวังทงฝึกมานานจนสามารถยกค้างไว้ได้
กำลังหรี่ตาเล็งที่ม่านประตู ข้างนอกก็มีเสียงรายงานมาว่า
“ใต้เท้า หลี่เหวินหย่วนพาหลี่หู่โถวมาแล้ว”
หวังทงสะบัดศีรษะ หลุดออกจากอาการดื่มด่ำเมื่อครู่ เก็บปืนไฟไว้ในห้องนอน ก่อนจะเปิดประตูออกมา พอออกมาก็เห็นหลี่เหวินหย่วนพ่อลูกถือทวนยาวคนละอัน ที่เอวหลี่เหวินหย่วนยังเหน็บดาบไว้ด้วย
“พักห้องตรงข้ามข้าห้องนั้นละกัน คืนนี้อยู่กับหม่าซานเปียว”
ตอนเดินไปกลางห้อง หวังทงจัดการไปก็พูดไป ไปหยุดอยู่ที่บนขั้นกระได ด้วยความเคยชินถึงกับลืมว่าคืนนี้หม่าซานเปียวไม่กลับมา
ด้วยความสามารถรู้จักพื้นที่นอกเมืองเป็นอย่างดี แม้เรื่องซื้อโรงบ้านนอกเมืองจะซื้อไม่สำเร็จ ก็คงได้ความมาบ้างแล้ว ทำไมจึงเสียเวลามาถึงบัดนี้ได้
“หู่โถว ไปดูที่ย่าหม่าซิว่า ศิษย์พี่เจ้ากลับมาแล้วยัง!”
หลี่หู่โถวกำลังตื่นเต้นที่จะได้มานอนที่บ้านหวังทง พอได้ยินคำสั่ง ก็รีบตอบรับวิ่งออกไปตาม นางหม่าทางนั้นมีหญิงสาวมาอยู่ด้วย จะไปเองก็ย่อมไม่สะดวก หลี่หู่โถวเป็นเด็กจึงไม่มีปัญหาอะไร
ไม่นาน หลี่หู่โถวก็กลับมา ในมือยังมีถือลูกท้อกัดกินมาด้วย ตอบเสียงอู้อี้ว่า
“ย่าหม่าบอกว่า คิดว่าพี่ซานเปียวอยู่กับนายท่านที่นี่ไม่ใช่หรือ? ย่าหม่ายังบอกว่า หากไม่กลับมาก็ไม่ต้องกังวลอะไร พี่ซานเปียวเมื่อก่อนมักจะไปอยู่นอกเมืองไม่กลับบ้าน”
“รีบไปเรือนด้านข้างจัดการห้องหับ ผ้าห่มอะไรพวกนั้นอยู่ในตู้ หยิบออกมาปู”
หวังทงยกมือตบท้ายทอยหลี่หู่โถวเบาๆ รอจนหลี่หู่โถวเข้าไปห้องด้านใน หวังทงก็กล่าวกับหลี่เหวินหย่วนอย่างจริงจังว่า
“พี่หลี่ ระยะนี้ไม่ค่อยสงบ คืนนี้พี่ช่วยคอยระวังไว้สักหน่อย”
หลี่เหวินหย่วนพยักหน้ารับ ยื่นมือไปตบดาบที่เอว บุคคลที่คิดการณ์ปรุโปร่งเช่นนี้ การให้เขาติดดาบออกมาด้วยเกรงว่าก็คงเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว หวังทงรู้สึกสงบลงมากขึ้น คิดถึงหม่าซานเปียว อดไม่ได้เอ่ยขึ้นว่า
“ตอนนี้ทำงานเป็นคนของข้าแล้ว ทำงานยังเอาแต่ใจเช่นนี้ รอให้กลับมาคราวนี้จะต้องสอนให้รู้จักธรรมเนียมบ้างแล้ว”
หลี่เหวินหย่วนยิ้มรับคำกล่าวว่า
“ซานเปียวอารมณ์ร้อน ไม่เคยผ่านการอบรมสั่งสอน อีกสักระยะก็ดีขึ้นเอง ใต้เท้ามีอาวุธสั้นอะไรในมือไหม?”
“ใต้หมอนวางเล่มหนึ่ง ในห้องยังต้องวางไว้ในที่ๆ หยิบง่ายแต่มิดชิดอีกเล่ม ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถลุกขึ้นชักมีดได้ทันที”
หวังทงพยักหน้า บางทีตนเองอาจคิดมากไป แต่ยิ่งเกี่ยวพันลึกลงไปเรื่อยๆ ควรป้องกันก็ต้องป้องกัน จะรอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยเตรียมการคงไม่ทันการแล้ว
*****
“เอกสารสองฉบับนี้มีรายชื่อและคำให้การบันทึกไว้ อาศัยแค่หลักฐานสองชิ้นไม่อาจกล่าวได้ว่าเกิดเรื่องอะไรได้ แต่หากหวังว่ากงกงทุกท่านในวังจะคิดให้ลึกลงไปอีก ทำไมนอกวังมีคนจ่ายเงินให้คนในวังตามกำหนดเวลา และคนเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ตำแหน่งที่กุมอำนาจสำคัญอะไร”
วันรุ่งขึ้นเมื่อประตูวังเปิด หวังทงก็รออยู่ตรงนั้นนานแล้ว เป็นโจวอี้ออกจากวังมาตามปกติ พอถึงห้องที่มีกันเพียงสองคน หวังทงก็เล่าความสำคัญรุนแรงของเรื่องที่พบ
โจวอี้อ่านรายชื่ออย่างละเอียด พร้อมกับฟังหวังทงไปด้วย รอหวังทงกล่าวจบ ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มฝืดๆ กล่าวว่า
“ก็มีกงกงทุกท่านไม่กี่ท่านที่ได้เห็นสิ่งนี้ ข้าจะรีบเข้าวังไปรายงานท่านพ่อบุญธรรม เกรงว่าเรื่องนี้ท่านพ่อคงจัดการเองไม่ได้ อย่างไรก็คงต้องให้เฝิงกงกงได้อ่าน”
พูดจบก็ลุกขึ้นหุบรอยยิ้มประสานมือกล่าวว่า
“น้องหวังก็ระวังป้องกันตัวเองไว้ด้วย เรื่องนี้หากเป็นเรื่องขึ้น เกรงว่าคงไม่มีวันเวลาที่สงบสุขอีกแล้ว”
“แต่หากปิดเรื่องนี้ไว้ ใช้ชีวิตสงบสุขไปสักสองสามวันเกรงว่าคงต้องแหลกสลายเป็นผุยผง รบกวนพี่โจวจับตาเรื่องนี้ให้ด้วย!”
หวังทงประสานมือคำนับกลับ สองคนยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกันแล้ว ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก โจวอี้รีบออกไปทันที
พอโจวอี้จากไป หวังทงสงบใจอยู่ในห้องสักพักก่อนจะตามออกไป วันนี้เขาไม่ได้ไปรายงานตัว จังหวะชีวิตเปลี่ยนไป อย่างไรก็รู้สึกไม่ชิน
หวังทงเดินตรวจบนถนนรอบหนึ่ง ร้านค้าทุกร้านต่างทักทายหวังทง หวังทงพยักหน้ารับ เกือบจะเดินไปต่อไม่ได้ หวังทงตอนนี้เป็นดังฟ้าเบื้องบนของถนนสายนี้ หากไม่เอาใจให้ดี เกรงว่าจะไม่ได้
เดินไปถึงหัวเลี้ยวถนน เลี้ยวไปก็เป็นถนนที่หอรวมคุณธรรมตั้งอยู่ ปากทางมีโต๊ะและเก้าอี้นอนตั้งไว้ องครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งภายใต้สังกัดซุนต้าไห่นั่งอยู่ที่นั่น ตั้งแต่หอรวมคุณธรรมเปิดตัวอีกครั้ง ก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องที่นี่ ไม่มีคนของทางการที่ไม่มีลูกกะตามาตรวจจับเช่นกัน
พอเห็นหวังทงมา องครักษ์เสื้อแพรผู้นั้นก็ลุกขึ้นทักทาย หวังทงพยักหน้ารับ แม้ว่าเช้าขนาดนี้ แต่ยังเห็นนักพนันเดินกันเข้าไปเรื่อยๆ ดูท่ากิจการไม่เลวเลยจริงๆ
กำลังคิดจะเข้าไปดูในบ่อน ก็ได้ยินเสียงทักดังมาจากที่ไกลออกไป พอหันไปมองก็เห็นหลี่กุ้ยมือปราบศาลซุ่นเทียนขี่ม้ามุ่งมา
ม้าห้อตะบึงมาอย่างเร็ว ท่าทางหลี่กุ้ยก็แปลกประหลาด หวังทงโบกมือไปทางองครักษ์เสื้อแพร ตนเองเดินไปรออีกทาง หลี่กุ้ยหยุดม้าไว้ รีบลงจากหลังม้าวิ่งมากล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง วันนี้นอกเมืองมีเจ้าบ้านโรงบ้านนอกเมืองผู้หนึ่งส่งคนมาฟ้องที่ศาลว่า จับโจรก่อการชั่วในโรงบ้านได้ผู้หนึ่ง ให้พวกเราส่งมือปราบไปจัดการ”
หวังทงเลิกคิ้ว หลี่กุ้ยกล่าวขึ้นพร้อมคิดว่าเป็นดังคาดไว้
“โจรผู้นั้นชื่อว่า หม่าซานเปียว…”