ตอนที่ 128 หากใครล่วงเกินข้า ข้าจำต้องล่วงเกินตอบ
แขนข้างที่ถือแส้ยกขึ้นชี้ไป เพิ่งจะยกขึ้นไป ก็ได้ยินเสียง ‘ฉึก’ แหวกอากาศดังมา ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด
แส้ร่วงลงพื้นไปแล้ว แขนถูกลูกธนูแทงทะลุ พวกคนงานโรงบ้านปกติไหนเลยจะรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ เบิกตากว้างอ้าปากค้างมองแขนตน จากนั้นก็อึ้งไปก่อนจะร้องตะโกนเสียงดังออกมา
พี่หม่านหันไปมองด้วยความตกตะลึง มองเห็นขบวนพ่อค้าที่เดินผ่านไปเมื่อครู่ไม่รู้ว่าชักอาวุธออกมากันตอนไหน ยังปิดหน้าปิดตาอีกด้วย
“หม่าซานเปียว เจ้าสมคบกับพวกโจรในยุทธภพจริงด้วย!”
พี่หม่านผู้นี้ก็มีปฏิกิริยาฉับไว ตะโกนส่งเสียงเอ็ดตะโรดังขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยเสียง ‘ฉึก’ หวีดดังขึ้นอีก ลูกธนูดอกหนึ่งปักลงบนก้นเขาอย่างแรง ก้นมีเนื้อเยอะ แม้ว่าเจ็บปวดอย่างสุดแสนแต่ก็ยังพอตั้งตัวไหว รีบสาวเท้าวิ่งไปยังประตูบ้าน ปากยังตะโกนเสียงดังว่า
“โจรปล้น รีบตีฆ้อง!!”
คนที่มุงดูอยู่เดิมนั้นได้แตกฮือกันไปหมดแล้ว มีคนที่สมองไวบางคนยังครุ่นคิดอยู่ว่า ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงไม่ถึงสามลี้ โจรบุกมาที่นี่ หาที่ตายหรือไร?
พี่หม่านวิ่งไปได้สองก้าว ในกลุ่มคนปิดหน้าคนหนึ่งก็ฟาดไม้กระบองสั้นใส่ ฟาดลงบนขาทั้งสองของเขาพอดี พอก้าวไปอีกก้าวก็ถูกไม้กระบองขัดไว้ คนทั้งคนก็ล้มลงกับพื้นทันที หมอบคลานอยู่ตรงนั้น
พวกคนงานในโรงบ้านนอกเมืองกับคนงานรับใช้ในเมืองนั้นต่างกัน บรรดาชายปิดหน้ากรูกันมาเช่นนี้ พวกคนงานหลายสิบคนที่ล้อมหม่าซานเปียวไว้นั้นไม่ใช่เลือกวิ่งหนีอันดับแรก แต่กลับหยิบสามง่ามข้างกาย ชักดาบสั้นที่เอวออกมาเตรียมเปิดฉากลุย
พวกคนปิดหน้าพวกนี้ก็ช่างกล้าแกร่งไปหน่อยแล้ว คนถือมีดดาบก็ยืนประจำตำแหน่ง พวกที่ลุยอยู่ด้านหน้าก็ตวัดไม้พลองกระหน่ำใส่ พวกที่กล้าลงมือกันก็ถูกตีหมอบกับพื้นไป ลุกไม่ขึ้น
พวกปิดหน้าที่ฝีมือกล้าแกร่งเข้าแย่งเสาที่มัดหม่าซานเปียวไว้ คว้ามีดสั้นออกมาตัดเชือกขาด หม่าซานเปียวก็ช่างแข็งแรง ถึงตอนนี้ยังไม่ยอมสลบ คนปิดหน้าคนหนึ่งกระซิบถามว่า
“ซานเปียว บาดแผลเจ้าเป็นอย่างไร ยังเดินไหวไหม!”
เสียงนี้หม่าซานเปียวรู้สึกไม่คุ้น แต่ก็รู้ว่าเป็นคนกันเอง กัดฟันตอบไปว่า
“ขาถูกตีหักไปข้าง ขี่ม้าไม่ไหว ที่ตัวยังเต็มไปด้วยบาดแผล”
ในยามนี้เอง คนปิดหน้าผู้หนึ่งที่ไม่ออกเสียงเลยตั้งแต่เข้ามา ก็ตะโกนออกคำสั่งเสียงดังว่า
“เจ้าคนที่ถูกลูกธนูยิงทะลุก้นนั่น ตีขาทั้งสองของมันให้หัก ใครมีแส้ก็โบยมันแรงๆ อีก 5 ที พยุงซานเปียวขึ้นรถ หาหญ้าแห้งรองไว้ด้วย!”
เสียงนี้หม่าซานเปียวคุ้นเคยดี หวังทงนั่นเอง เขารีบพูดอย่างร้อนใจว่า
“นาย…เงิน 500 ตำลึงที่ข้าน้อยนำมาด้วยยังอยู่ในบ้านนั่น ยังมีอีกที่ก่อนออกจากเมืองมาได้ไหว้วานให้คนเขียนสัญญา…”
หวังทงพยักหน้า เดินไปตรงหน้าพี่หม่าน ถามเสียงเข้มว่า
“เดิมจะตีขาทั้งสองเจ้าให้หัก เงินกับข้าวของหม่าซานเปียววางไว้ที่ไหน ส่งมอบมาก็จะตีหักเพียงข้างเดียว!!”
“เจ้าพวกบัดซบ รู้ไหมว่านี่เป็นโรงบ้านของใคร นี่ก็คือโรงบ้านของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าหลิวโสว…”
หวังทงหันไปสั่งคนด้านข้างที่รอลงมืออยู่ว่า
“ขาขวา!”
ชายปิดหน้าที่อยู่ด้านข้างก็ยกกระบองใหญ่ในมือขึ้นฟาดลงไปทันที ได้ยินเสียง ‘พลั่ก’ ดังชัดเจน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส หวังทงถามต่ออีกว่า
“วางอยู่ที่ไหน เจ้ายังมีขาอีกข้าง!”
“นายท่าน นายท่าน เงินกับเอกสารอยู่ที่ห้องนอนข้าน้อย ใต้ผ้าห่ม นายท่านโปรดเมตตา อย่าได้ตีอีกเลย!”
หวังทงลุกขึ้นยืน หันไปสั่งคนข้างๆ สองสามคนว่า
“รีบไปเอาของมา จัดการหักแขนซ้ายเจ้าหมอนี่ให้ด้วย!!”
พี่หม่านผู้นั้นได้ยินแล้วก็ตะเกียกตะกายลนลานอยู่ที่พื้น หวังทงกล่าวเสียงเยียบเย็นว่า
“เจ้าทำคนของข้าขาหักไปข้างหนึ่ง ข้าหักเจ้าสอง เราหายกัน”
กล่าวจบก็ไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนด้านหลัง นำคนแบกหม่าซานเปียวขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ยังมีคนขี่ม้าอีก 20 กว่าคนทะยานจากไปอย่างเร็ว
โรงบ้านนอกเมืองหลังนี้เป็นเพียงแค่กลุ่มหมู่บ้านเล็กๆ เป็นสถานที่ใกล้เมืองหลวงที่ไม่มีกำแพงสูงหรือคูน้ำลึกกั้น บริเวณด้านนอกมีแค่คอกสัตว์ขนาดใหญ่เท่านั้น คน 20 กว่าคนขี่ม้าเข้ามาก็สะดวกสบายไร้สิ่งกีดขวาง
เหมือนที่หม่าซานเปียวเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ คนเลี้ยงสัตว์หลายคนที่นี่ล้วนเป็นชาวมองโกลหรือไม่ก็พวกชาวฮั่นที่กลับมาจากดินแดนบนทุ่งหญ้า คนพวกนี้ใจกล้ากว่าชาวฮั่นทั่วไปอยู่มาก
พอเห็นคนปิดหน้า 20 กว่าคนปิดหน้าขี่ม้าเข้ามา ถึงกับมีคนหยิบธนูขึ้นมาคิดจะลอบยิง หากผู้กล้าบนหลังม้ากลับมีฝีมือกว่า
ถนนในหมู่บ้านแคบ หากคิดจะแอบซ่อนก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงพวกที่คิดลอบยิงแสดงตัวออกมา ยังไม่ทันได้ขยับ ทางนี้ก็จะส่งลูกธนูดอกหนึ่งปักลงตรงหน้าคนลอบยิงแล้ว
ไม่ได้ทำร้ายผู้คน แต่ระยะห่างไม่กี่นิ้ว การเตือนเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครกล้าทำการพลการอีก มีคนที่ตามหลังคนบนหลังม้ามาพร้อมจับคนของโรงบ้านมาด้วย พอถึงบ้านของพี่หม่าน ก็รีบค้นหาเงินและเอกสาร ตรวจสอบครู่หนึ่ง ก็วางของลงในห่อผ้ารีบออกจากโรงบ้านไปทันที
พวกคนว่างงานที่มุงดูกันเมื่อครู่ต่างตกใจ มีบ้างที่ไปแจ้งความ แต่ศาลอำเภอในละแวกนั้นครั้งนี้กลับดูดายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน รองนายอำเภอยังถึงกับมีคำพูดบาดหูว่า
“เมื่อครู่ข้าเตือนพี่หม่านไปหลายคำ เขาไม่ยอมรับปาก ยังไง อยู่ๆ ก็นำโจรมาถึงที่?”
พวก ‘โจร’ นั้นก็ไปมาราวกับสายลม และยัง ‘ไม่ทำร้ายใครแม้แต่น้อย’ พวกผู้หญิงและทรัพย์สินก็ยังอยู่ดี มีแต่พี่หม่านที่ขาหักแขนหัก หลังถูกโบยเนื้อขาด คนงานคนหนึ่งถูกลูกธนูแทงแขน กำลังร้องโหยหวนดังลั่น
ขาหักแขนหัก บาดแผลเนื้อปริเลือดอาบ ไม่มีความสูญเสียคนและทรัพย์สิน อย่างมาก็แค่หญ้าแห้งไม่กี่มัด เรื่องพวกนี้ไม่นับเป็นคดีจนถึงศาล และพี่หม่านก็ไม่ค่อยเป็นที่รักของคนงานและลูกจ้างนัก เขาโชคร้าย ทุกคนกลับดีใจ
พี่หม่านผู้นี้ตะโกนด่าฟ้าด่าดินด่าโจรเหิมเกริมพวกนี้ แต่ไม่มีใครสนใจ ที่โรงม้าไม่มีอะไรเสียหาย แม้ว่ารายงานไปที่หลิวโสวโหย่วก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่อันใด จึงได้แต่ปรึกษาหารือยาวกันต่อไป
มีแต่พวกรองนายอำเภอที่ศาลนอกเมืองเท่านั้นที่เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับพวกเขาแล้วเป็นแค่เรื่องการตีกันของพวกเทพ อีกฝ่ายจัดการได้เรียบหมดจด ตนเองทางนี้ก็มีอะไรขัดข้อง นี่นับเป็นเรื่องดี จะไปสืบความเรื่องอื่นก็ขี้เกียจสืบแล้ว
ตอนที่พวกหวังทงมาถึงประตูเมืองก็สวมชุดองครักษ์เสื้อแพรกันแล้ว พวกทหารของศาลอาญาใหญ่พอเห็นชุดทางการของหวังทง เห็นรถม้าปูหญ้าแห้ง บนนั้นมีชายบาดเจ็บเนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิตนอนอยู่ ในใจก็คิดว่าพวกองครักษ์เสื้อแพรออกไปปฏิบัติหน้าที่ เรื่องงานทางการพวกนี้ อย่างไรก็สนใจใคร่รู้น้อยหน่อยเป็นดี
พอตรวจป้ายประจำตำแหน่งของหวังทงแล้ว ก็ไม่พูดอะไรเปิดทางเข้าไปทันที หลี่เหวินหย่วนขี่ม้ามาที่ข้างกายหวังทง เห็นว่าห่างจากพวกถานเจียงค่อนข้างไกลแล้ว ก็กระซิบบอกหวังทงว่า
“ใต้เท้า พวกมือธนูของจวนถานนั้นแม่นยำยิ่งนัก เมื่อครู่ตอนลงมือกันที่โรงบ้านนั่น นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนืออันดับหนึ่งของราชวงศ์หมิงเราเลยทีเดียว หากพวกเขาภักดีกับใต้เท้าจริง ย่อมเป็นกำลังหนุนที่ยอดเยี่ยม”
หวังทงหันกลับไปมองหม่าซานเปียวที่นอนอยู่บนรถม้า ชายผู้นี้ทนเจ็บปวดได้ดี ตามตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด กระดูกยังหักอีกด้วย แต่กลับนอนกัดหญ้าฮัมเพลง ดูท่าทางเช่นนี้แล้ว ก็คงต้องพักรักษาตัวสองสามเดือน แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ในใจก็พลันผ่อนคลายลงมาก หันไปบอกกับหลี่เหวินหย่วนว่า
“พี่หลี่เป็นนายทหารในกองทัพแม่ทัพชี ไหนเลยจะสู้ทหารจวนถานไม่ได้ อย่าได้ดูแคลนตนเอง”
ใครก็อยากได้ยินวาจาดี สีหน้าหลี่เหวินหย่วนอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขึ้น เอ่ยถามขึ้นว่า
“ใต้เท้าชมเกินไป เหวินหย่วนไม่เคยได้ร่ำเรียน ความสามารถที่ติดตัวมาก็เพราะติดตามแม่ทัพออกศึก ฝึกตามแม่ทัพ ออกรบในสนามเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้มาอย่างยากลำบาก ปีนั้นที่เจ้อเจียง เคยได้ยินท่านแม่ทัพกล่าวว่า ใต้เท้าถานฝึกทหาร เลือกชายหนุ่มเข้ารับการฝึกเข้มข้น พวกที่ฝึกขึ้นมานั้นเรียกว่าทหารต้นแบบ คนอื่นๆ ฝึกตามกันเท่านั้น ข้าว่าอายุและความสามารถของพวกเขาทั้งสิบกว่าคนนี้ ดีไม่ดีอาจเป็นทหารต้นแบบก็ได้”
หากยอมฟังคำสั่งตนจริง เห็นตนเองเป็นคนกันเองอย่างเต็มที่ นั่นก็นับว่าเก็บของมีค่าได้จริง แต่ตอนนี้ พวกถานปิงถานเจี้ยนเป็นคนที่สำนักบูรพาส่งมาจับตาดู ระวังการใช้งานไว้ดีกว่า
หม่าซานเปียวบาดเจ็บเช่นนี้ยังกลับบ้านไปรักษาตัวไม่ได้ อย่างไรบ้านใหม่ก็จัดเสร็จแล้ว ก็ไปอยู่ที่นั่นละกัน ถานเจียงไว้ใจได้หรือก็สำคัญ แต่เรื่องนี้ให้พวกเขาไปจัดการก็วางใจได้แน่นอน
เชิญหมอมา จัดพ่อครัวไปทำอาหารรสอร่อยให้ แล้วจ้างคนมาดูแลโน่นนี่นั่น ที่หวังทงมีไม่ขาดก็คือเงิน จ่ายเงินไปก็ใช้ได้แล้ว
แต่โรงบ้านนี่ยังไงก็ต้องซื้อ มิเช่นนั้นของพวกนี้หากถูกคนใส่ร้าย ก็เป็นเรื่องใหญ่ หวังทงหันไปบอกกับซุนต้าไห่บนหลังม้าว่า
“ต้าไห่ เงินพวกนี้เจ้าเอาไว้ ถามซานเปียวดู รีบออกไปนอกเมืองช่วยดูเรื่องโรงบ้านนอกเมืองพวกนั้น”
ซุนต้าไห่พยักหน้ารับ ขณะพูดกันนั้นก็มาถึงบ้านที่จัดให้พวกถานเจียงและพวกผู้ช่วยงานพัก จางซื่อเฉียงรออยู่ที่นั่น หวังทงลงจากหลังม้ามาก็นึกได้เรื่องหนึ่ง เรียกจางซื่อเฉียงมากระซิบว่า
“พี่จาง ไปหอรวมคุณธรรมเอามา 300 ตำลึงเงิน มอบให้หลี่ว์วั่นไฉกับหวังซื่อ หลี่กุ้ย หลี่ว์วั่นไฉ 200 อีกสองคนคนละ 50 บอกพวกเขาว่า น้ำใจนอกเมืองพวกนั้นให้พวกเราออกเงินจัดการเอง ไม่ต้องรบกวนเงินทองใต้เท้าหลี่ว์…”
จางซื่อเฉียงรีบคำนับรับคำจากไปทันที หวังทงเงยหน้ามองฟ้า พระอาทิตย์ยามเช้าเลยไปบ่ายแล้ว เริ่มไปทางตะวันตกแล้ว ที่ลานฝึกน่าจะเริ่มฝึกกันได้สักพักแล้ว รายชื่อพวกนั้นก็น่าจะส่งไปถึงมือจางเฉิงกงกงในวังแล้ว ไม่รู้ว่าผลเป็นเช่นไร
******
รายชื่อถึงตอนนี้ยังส่งไม่ถึงเมืองจางเฉิงกงกง ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว ฮ่องเต้ออกไปฝึกที่ลานฝึกแล้ว แต่เฝิงเป่าหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์กับจางเฉิงรองหัวหน้าสำนักพระองค์ล้วนอยู่กันที่สำนักคณะเสนาบดีใหญ่ ยังไม่ออกมากัน โจวอี้ได้แต่พาฮ่องเต้ไปส่งแล้วก็กลับมารอ
ในห้องโต้แย้งกันไม่หยุด ขันทีน้อยถูกไล่ให้ออกไปไกลรัศมี คิดจะฟังก็ได้ยินไม่ชัด โจวอี้ยิ่งอยู่รอบนอกไปอีก
ในที่สุด ก็เงียบเสียงลง เฝิงเป่าและจางเฉิงเดินออกมาด้วยสีหน้าหน้าบึ้งตึง โจวอี้รีบออกไปรับ…