ตอนที่ 141 การตัดสินใจที่ไม่ขึ้นกับตน ต้องเลือกข้าง
เพิ่งผ่านพ้นเทศกาลห้าเดือนห้า[ 1 ]ไปได้ไม่กี่วัน เด็กๆ ในลานฝึกหู่เวยยังคงดื่มด่ำอยู่ในบรรยากาศแห่งเทศกาล ครูฝึกพาเด็กๆ ออกไปเก็บต้นอ้ายฮาวนอกเมือง พ่อครัวที่หอเลิศรสตั้งใจจะปรุงอาหารอร่อยสักมื้อให้พวกเด็กๆ ได้ฉลองเทศกาล วันเทศกาลห้าเดือนห้าวันนั้น แม้จะไม่อนุญาตให้พวกเขาออกไปข้างนอก แต่ก็อนุญาตให้พวกเขาไปเดินเล่นบนถนนทักษิณได้
ตั้งแต่เข้ามาในลานฝึก แม้เป็นเทศกาลก็ไม่หยุดฝึก เทศกาลห้าเดือนห้านี้ดี ได้พักทั้งวัน หอเลิศรสยังเลี้ยงดูจนอิ่มแปล้ และยังปล่อยให้ออกไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง นี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
ผลก็คือวันนี้วันที่ 11 เดือนห้า ในช่วงพักเด็กๆยังคงคุยเรื่องเที่ยวเล่นในวันนั้น
แต่ที่ครูฝึกคาดไม่ถึงก็คือ เด็กๆ ที่ลานฝึกไม่ได้แอบขี้เกียจเพราะการได้ออกไปข้างนอกมาในครั้งนั้น การฝึกเห็นได้ชัดว่าพัฒนาไปไม่น้อย
ครูฝึกหลายคนได้ปรึกษากับโจวอี้และหวังทง เดือนหนึ่งสามารถให้เด็กๆ ได้ออกไปเดินในเมืองกันได้หรือไม่ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ ไม่แน่ว่าจะยิ่งทำให้ผลการฝึกมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หวังไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ตอนนี้เรื่องในลานฝึกถูกในวังควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ โรงฝึกที่กะเตรียมไว้ว่าเด็กได้ฝึกกันในวันฟ้าฝนไม่เป็นใจนั้นตอนนี้กำลังสร้างอยู่
นอกจากพื้นที่ฝึกในห้องแล้ว ยังมีสถานที่สอนที่เหมือนเป็นโรงสอนส่วนตัว ยังมีโถงใหญ่โดยเฉพาะ ตรงกลางมีกะบะทรายขนาดใหญ่ สร้างได้สัดส่วนตรงเป็นแนว ยังมีคูเมืองที่ทำจากไม้และหุ่นคนวางอยู่ด้านบน
ผู้ตรวจการทัพอาวุโสของวังหลวงที่ได้ไปปฏิบัติงานอยู่ข้างนอกมาหลายปี และแม่ทัพเลื่องชื่ออวี๋ต้าโหยวที่ว่างภารกิจจากมณฑลฝูเจี้ยนจะมาสอนเด็กๆ ที่ลานฝึกนี่ นี่เป็นข่าวที่หวังทงรับรู้
พอได้ยินข่าวนี้ จิตใจหวังทงก็รู้สึกสับสน ตนเองสร้างลานฝึกหู่เวยนี้ขึ้นก็เพื่อไว้ให้ฮ่องเต้ได้ออกกำลังกาย จากนั้นก็จับพลัดจับพลูกลายมาเป็นชั้นเรียนฝึกทหารระดับต้น ดูจากสภาพการณ์แล้ว เหมือนจะมีความเป็นไปได้ว่าจะพัฒนาเป็นสำนักฝึกทหารในอนาคต
เด็กๆ ที่ฝึกและเรียนมาด้วยกันกับฮ่องเต้ว่านลี่วันหน้าจะมีอนาคตเช่นไร เป็นสิ่งที่ทุกคนตั้งตารอคอย
แต่วันที่ 11 เดือนห้าตอนบ่าย ถึงสับสนก็ต้องวางไว้ก่อน เพราะฮ่องเต้ว่านลี่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าดำคล้ำ หวังทงต้องระวังตัวไว้สักหน่อย
ความสัมพันธ์ในลานฝึกหลังจากพวกเฉินซือเป่ายอมอ่อนข้อเข้าหา ก็มาถูกทาง เกิดเป็นบรรยากาศแห่งความสามัคคี ตระกูลเฉินซือเป่าก็เป็นพวกฝึกยุทธ์ เคยออกรบทั้งตอนเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ มีหัวข้อสนทนามากมายที่คุยถูกคอกับบรรดาเด็กๆ ทุกครั้งที่พักระหว่างการฝึกหรือพักช่วงกลาง ทุกคนก็จะแบ่งปันประสบการณ์ของรุ่นบิดากันจนน้ำลายแตกฟอง สนุกสนานเฮฮาอย่างยิ่ง
ตระกูลถังซื่อไห่นั้นเป็นตระกูลพ่อค้าวานิชที่ค้าขายกับราชสำนัก มีประสบการณ์กว้างไกล จึงสามารถบรรยายทิวทัศน์แต่ละแห่งในราชวงศ์หมิง สีสันการเที่ยวเล่นในเมืองหลวงให้ทุกคนได้ฟังกันได้ เด็กๆ ต่างฟังกันอย่างออกรสออกชาติ
แต่พวกเฉินซือเป่าก็รู้จักมองสีหน้าของ ‘หวงอี้จวิน’ ทุกเรื่องไม่อาจเกินหน้าเกินตาเจ้าเด็กอ้วนที่คิดมากและเอาเรื่องผู้นี้ได้ มิเช่นนั้นย่อมจะเป็นการหาความยุ่งยากให้ตนเอง
วันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่พอถึงช่วงพักเล็กก็ลากหวังทงไปอีกทาง พวกเฉินซือเป่าก็วางใจที่จะคุยโขมงกันต่อ หลี่หู่โถวลังเลครู่หนึ่ง ก็ตัดสินในนั่งอยู่กับทางพวกเฉินซือเป่า เรื่องราวที่พวกมาใหม่เล่ามันจะน่าสนใจจริงๆ
*****
“หวังทง คาดว่าพรุ่งนี้เบื้องบนขององครักษ์เสื้อแพรก็คงส่งหนังสือมาถึงเจ้า เลื่อนให้เจ้าเป็นนายกองร้อย!”
ฮ่องเต้ว่านลี่พูดด้วยท่าทางตึงๆ พอได้ยิน หวังทงก็เขยิบเข้าไปใกล้กระซิบบอกว่า
“ตอนนี้ไม่สะดวก กระหม่อมขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณไว้ก่อน ไว้ส่วนตัวแล้วค่อยถวายคำนับ!”
แม้ว่าวันนี้ช้าเร็วก็ต้องมาถึง แต่พอเรื่องมาถึงหวังทงก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ในกององครักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งต่ำกว่านาย กองร้อยสามารถจัดการโดยนายกองพันได้เลย แต่นายกองร้อยจะต้องให้ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพระจัดการ และต้องรายงานต่อกรมกลาโหม
ก็หมายความว่า นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรเป็นตำแหน่งขุนนางบู๊อย่างเป็นทางการในราชวงศ์หมิง หากยืมคำในสมัยปัจจุบันชาติที่แล้วมาใช้ ก็คือเป็นเจ้าพนักงานราชการในระบบอย่างเป็นทางการนั่นเอง
เห็นความรู้สึกขอบคุณของหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ่งมึนตึง โบกมือกล่าวว่า
“เดิมเราคิดจะเลื่อนให้เจ้าเป็นรองผู้บัญชาการเลย คิดไม่ถึงว่าท่านจางจะไม่เห็นด้วย ผู้ตรวจการหลี่ว์กวงหมิงยังเอาเรื่องที่เจ้าไปช่วยหม่าซานเปียวมาฟ้อง ทำจนเราไม่สามารถทำได้ดังตั้งใจไว้”
หวังทงและพวกปิดหน้าไปช่วยหม่าซานเปียว ย่อมไม่มีปิดบังฮ่องเต้ว่านลี่ ได้แอบบอกกล่าวกันส่วนตัวตั้งแต่ต้นจนจบไปรอบหนึ่ง ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกซาบซึ้งกับเรื่องราวนี้มาก
‘รองผู้บัญชาการ’ เป็นถึงขุนนางบู๊ระดับ 3 เป็นขุนพลบู๊ระดับสูงที่มีอำนาจและกองกำลังแท้จริง แม้จะรู้ว่าตำแหน่งนี้ไร้วาสนากับตนแล้ว แต่หวังทงก็ยังรู้สึกเหมือนใจหลุดลอยตามไปอยู่บ้าง
ไม่อาจได้มาก็คือไม่อาจได้มา หวังทงยิ้มกล่าวเสียงอ่อนว่า
“พระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท กระหม่อมจะจดจำไว้ไม่ลืม ทว่าการเลื่อนตำแหน่งในทันที บางทีท่านจางและผู้ใหญ่คนอื่นอาจรู้สึกผิดธรรมเนียมปฏิบัติ ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้วอีกเลย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยกหยกวงขึ้นส่องกับแสงพระอาทิตย์ ตรัสอย่างไม่พอพระทัยว่า
“เจ็ดแปดวันนี้ ทุกวันมีขุนนางจำนวนมากทั้งจากในเมืองหลวงและจากแต่ละมณฑลได้เลื่อนตำแหน่ง ล้วนเป็นต้าปั้นและท่านจางจัดการ เราคิดเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า กลับทำไม่ได้ ช่างน่าโมโห…”
“ฝ่าบาทโปรดระวังรับสั่ง!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งพูดก็ยิ่งเกินเลย หวังทงอดส่งเสียงเอ็ดเบาๆ ไม่ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้หยุดวาจา หวังทงคิดไปคิดมา ก็เขยิบเข้าไปใกล้กล่าวว่า
“ฝ่าบาท บางนี้ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าวันหน้าจะทำไม่ได้ ฝ่าบาทมิต้องรีบทำให้ช่วงสองสามปีนี้ กระหม่อมขอบังอาจกล่าวสักคำ ตอนนี้ฝ่าบาทมีคำพูดบางคำไม่อาจตรัสได้ หากตรัสแล้ว วันหน้าเกรงว่าแม้แต่โอกาสได้ทำก็ไม่มี”
ได้ฟังคำหวังทงจบ สีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ก็ดำคล้ำลง เก็บก้อนหินขึ้นมาขว้างออกไปไกล
การฝึกในวันนี้สิ้นสุดลง หวังทงกลับไปบ้านก็ยังคิดถึงเรื่องหนึ่ง หากตนได้เป็นนายกองร้อย เช่นนั้นเถียนหรงหาวจะทำอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนานกองร้อยเถียนก็ไม่เท่าไร แต่ตนเองได้รับการดูแลจากลุงเถียนไม่น้อย อย่าได้ทำให้ชายชราต้องไม่รู้สึกไม่ดีเลยจะเป็นการดี
*****
เช้าวันรุ่งขึ้น หวังทงไม่ได้ไปรายงานตัวอีก ความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการออกไปต่อสู้นอกเมืองนั้นยังคงอยู่ จึงได้แต่แอบนอนต่ออีกสักพัก
รอจนตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็กำลังกินอาหารเช้าเสร็จ โจวอี้ก็มาถึงบ้านแล้ว โจวอี้เข้ามาก็ประสานมือยิ้มว่า
“น้องหวัง ยินดีที่ได้เลื่อนตำแหน่งสูง ยินดียินดีด้วย จะจัดเลี้ยงที่หอรุ่งเรืองไหม ให้ทุกคนได้มาแสดงความยินดีกันสักหน่อย”
หวังทงเกือบจะพ่นน้ำแกงออกมา ฝืนกลืนลงไปได้แล้วก็ชี้ไปทางโจวอี้ด้วยสีหน้าจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิง
“พี่โจว พี่ก็ล้อข้าเล่นด้วย นายกองร้อยอย่างข้าก็แค่ระดับ 6 ในสายตาพี่ยังจะนับว่าเลื่อนตำแหน่งสูงได้หรือ…”
โจวอี้หัวเราะคิกคัก เดินไปเบื้องหน้าก่อนจะหยิบผักดองโยนใส่ปาก เคี้ยวหนุบหนับ ก่อนจะแสร้งทำท่าจริงจังกล่าวว่า
“มีตำแหน่งนายกองร้อยนี้ วันหน้าเส้นทางเจ้าก็โอกาสก้าวหน้า เหมือนกับพวกสอบรับราชการ ก็เหมือนเข้าสู่เส้นทางอย่างเป็นทางการแล้ว จะว่าไปน้องหวังวันหน้าจะต้องกางปีกโบยบิน หรือว่ามีอะไรให้ต้องสงสัยอีกหรือ”
หยอกล้อกันต่อไปอีกสักพัก จางซื่อเฉียงก็ยกกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาเข้ามา พอรินน้ำชาเสร็จก็ออกไป โจวอี้ดื่มไปคำหนึ่งก็หัวเราะกล่าวว่า
“ขอเพียงมีคนในราชสำนักคอยสนับสนุน ความดีความชอบที่ได้จากการสังหารหัวหน้าโจรวัดฮุ่นหยวน จากตำแหน่งนายกองธงใหญ่ขึ้นไปเป็นนายกองพันยังได้ ไปถึงระดับผู้บังการกองกำลังเมืองหลวงก็ยังอาจจะได้ ในสำนักองครักษ์เสื้อทองตำแหน่งไม่มาก แต่ก็อาจจะได้ออกไปเป็นนายกองร้อยข้างนอกที่เป็นที่เคารพยำเกรง แต่เจ้ากลับได้แค่ก้าวหน้าเล็กๆ ในเมืองหลวงเท่านั้น รู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
เห็นหวังทงส่ายหน้า โจวอี้ก็เคาะโต๊ะกล่าวต่อว่า
“เจ้าไปพังโรงบ้านของหลิวโสวโหย่ว วันนั้นหลิวโสวโหย่วก็รู้ข่าวนี้แล้ว ตกดึกยังไปฟ้องท่านจาง หลิวโสวโหย่วเป็นคนสนิทของท่านจาง จะให้เจ้าเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไร”
ได้ยินก็สว่างวาบขึ้นทันที ที่แท้เบื้องหลังมีคนจัดการ มิเช่นนั้นพระบัญชาฮ่องเต้ และยังเป็นการเลื่อนให้ขุนนางคนสนิท ก็ไม่น่าจะมีผู้ใดขัดขวาง
สีหน้าหวังทงดำคล้ำลง โรงบ้านหลิวโหวโหยวกักตัวหม่าซานเปียวไว้ ตีจนเจ็บสาหัส ตนเองไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงปิดบังฐานะไปชิงตัวมา ก็ไม่ได้ทำลายข้าวของอะไร ก็เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องหมางใจกัน คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเป็นเรื่องเช่นนี้ได้
หลิวโสวโหย่วนั่นยังเป็นเจ้าหน้าโดยตรงของตนเองอีก แม้ว่าจะไม่มาหาเรื่องตนออกนอกหน้าด้วยเพราะมีฮ่องเต้ค้ำไว้ แต่ส่วนตัวก็ไม่แน่เหมือนกัน
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มว่า
“ต้องสั่งสอนใต้เท้าหลิวเสียบ้างถึงจะดี เขาคิดว่าเป็นผู้บังคับบัญชาบนศีรษะข้าหรือ?”
พอได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ โจวอี้ก็อึ้งไปก่อนจะส่งเสียงฮาดัง หยอกล้อว่า
“วาจานี้ไม่เหมือนว่าเป็นวาจาที่ออกจากปากของน้องหวังเลย ใต้เท้าหลิวระดับนั้น หรือน้องหวังไม่เห็นอยู่ในสายตา ต้องสั่งสอนให้ได้?”
“ข้าเป็นถึงขุนนางคนสนิทฝ่าบาท เป็นตัวแทนพระพักตร์ฝ่าบาท ย่อมสามารถสั่งสอนได้ พี่โจวท่านว่าใช่หรือไม่!”
หวังทงยังคงย้อนถามอย่างไม่ยี่หระ โจวอี้อึ้งไป พยักหน้ายิ้ม หวังทงกล่าวจบก็หันไปมองโจวอี้อย่างสงสัย ถามขึ้นว่า
“พี่โจว วันนี้อารมณ์ดี ร่าเริงเกินผู้ใด นี่ก็มิได้วางตัวสงบนิ่งตามแบบฉบับของพี่โจวทุกวัน มีเรื่องมงคลอันใดหรือ?”
วันนี้โจวอี้ท่าทางแปลกไปจริงๆ หวังทงถูกแหย่จนขาดสติ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีวาจาเสียดแทงหลุดออกมา โจวอี้ก็หัวเราะตบบ่าหวังทง กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“เมื่อก่อนน้องและพี่ยืนอยู่ข้างเดียวกัน ตอนนี้น้องและพี่เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่ย่อมไม่อาจไม่ดีใจไปด้วย”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็แปลกใจ ถามขึ้นว่า
“วาจาพี่โจวนี้ ข้าไม่เข้าใจ หรือพี่และข้าเมื่อก่อนไม่ใช่ วันนี้ทำไมกลายเป็นใช่แล้วล่ะ?”
“เมื่อก่อนฝ่ายในสนับสนุนเจ้า ราชสำนักฝ่ายนอกก็สนับสนุนเจ้า หลังจากการประชุมขุนนางเมื่อวาน เจ้าได้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นไปแล้ว ไม่อยู่กับฝ่ายในแล้วจะไปไหนได้ วันหน้าเจ้าและพี่เป็นฝ่ายเดียวกัน ผู้เป็นพี่จะไม่ดีใจได้อย่างไร”
หวังทงหัวเราะ กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า
“เฝิงกงกง จางกงกงและพี่โจวล้วนดูแลข้าเช่นนี้ ก็ควรยืนอยู่ฝ่ายนี้ ผู้ใดเอาใจใส่ข้า เช่นนี้ข้ายังจะไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรอีกหรือ?”
“ไม่เหมือน ไม่เหมือน…”
โจวอี้บ่นพึมพำ ถอนหายใจยาว ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าหวังทง กล่าวอย่างเฝื่อนๆ ว่า
“แต่น้องหวังเจ้าเป็นผู้กล้าอายุน้อย ยืนอยู่ฝ่ายนี้ เกรงว่าวันหน้าก็ต้องถูกรวมว่าเป็นพวกขันทีแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
[ 1 ] เทศกาลห้าเดือนห้าในปัจจุบันมีกิจกรรมแข่งเรือมังกรและกินขนมบะจ่าง