ตอนที่ 170 เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั่วเมือง
“ความกตัญญูของท่านจางนี้ ฟ้าดินซาบซึ้งยิ่งนัก”
จางซื่อเหวย ราชบัณฑิตสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ประคองฎีกามหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งไว้ในมือพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นซาบซึ้งใจ
จางซื่อเหวยเป็นขุนนางลำดับสามในสำนักคณะเสนาบดีใหญ่ และยังเป็นเสนาบดีกรมทหาร แต่ในคณะเสนาบดีใหญ่ ต่อหน้าจางจวีเจิ้งแล้ว กลับไม่สนใจไยดีศักดิ์ศรีตนแม้แต่น้อย วาจานี้กล่าวจบก็โขกศีรษะลงกับพื้น
เสนาบดีกรมพิธีการว่านซื่อเหอสีหน้าเรียบเฉย มองซ้ายมองขวาไม่กล่าวอันใด เพราะเรื่องของเสนาบดีกรมปกครองอย่างหวังกั๋วกวงทำเขาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่กล้ายุ่งเรื่องใดอีก ขอใช้ชีวิตวัยชราของตนบนตำแหน่งนี้ก็แล้วกัน
หากเป็นเสนาบดีจางฮั่นคนใหม่ของกรมปกครองที่แสดงออกเปิดเผยยิ่ง ยิ้มพยักหน้ากล่าวสำทับว่า
“หากมิใช่เพราะท่านจางมีความกตัญญูเช่นนี้ ไหนเลยจะเป็นขุนนางภักดี เสาหลักแห่งแผ่นดินได้ ความจงรักภักดีและความกตัญญูนี้นับเป็นโชคดีของราชวงศ์หมิงเรา เป็นแบบอย่างของเหล่าขุนนางและปวงประชาใต้หล้า”
ในคณะเสนาบดีมีการแสดงออกที่ตามน้ำกันไป เซินสือหังเสนาบดีแห่งกรมอาญาลุกขึ้นยืนด้วยน้ำตานองหน้ากล่าวว่า
“ข้าน้อยมีคำพูด ไม่ทราบว่าควรกล่าวหรือไม่ กล่าวออกไปจะทำให้ท่านจางต้องถูกกล่าวหาว่าไร้ความกตัญญู แต่หากไม่กล่าวก็ไม่สบายใจอย่างยิ่ง”
ที่ประชุมเริ่มส่งเสียงวุ่นวายกันตั้งแต่เช้าไม่ได้หยุด ทุกคนต่างสรรเสริญความกตัญญูของท่านจาง จางจวีเจิ้งกลับนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล่าววาจาใด
แน่นอน ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ทุกคนก็แอบลอบประเมินสีหน้าของจางจวีเจิ้งไปด้วย ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว พรุ่งนี้จางจวีเจิ้งก็ต้องอยู่ที่บ้านเตรียมพิธีศพ วันนี้มาก็เพื่อส่งมอบงาน
แต่ไม่ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร ตอนนี้จางจวีเจิ้งก็ยังคงเป็นมหาอำมาตย์ ผู้ใดก็มิกล้าตัดสินใจเส้นทางข้างหน้าของมหาอำมาตย์จาง วาจาทุกคนเต็มไปด้วยบทสรรเสริญยกย่องก็เพียงพอแล้ว
แต่เสนาบดีกรมอาญาเซินสือหังกลับเดินหมากเช่นนี้ เมื่อครู่คณะเสนาบดีที่เสียงเอ็ดอึงกันอย่างกับตลาดสดตอนนี้ก็เงียบกริบลงทันที สายตาทุกคู่พุ่งไปที่เซินสือหัง จางจวีเจิ้งมองไปทางเซินสือหังแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“หรู่โม่ (ชื่อรองของเซินสือหัง) เจ้ามีสิ่งใดก็กล่าวออกมา”
เซินสือหังอายุ 43 ปีแล้ว ยามนี้ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยน้ำตา กล่าวด้วยอารมณ์อัดอั้นอย่างยิ่งว่า
“ท่านจาง ความกตัญญูนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่ก็เพื่อครอบครัวเล็กๆ หากไร้ท่านจางคอยช่วยราชกิจฮ่องเต้แล้ว ใต้หล้าจะทำเช่นไร การปกครองบ้านเมืองนี้จะทำเช่นไร หากท่านจางคิดเพียงกตัญญูต่อบิดา แต่ละเลยความกตัญญูต่อแผ่นดิน สองเรื่องนี้ยากที่จะทำให้สมบูรณ์พร้อมกันได้ ข้าน้อยรู้ดีกว่าท่านจางรู้สึกหนักใจ แต่ขอให้ไตร่ตรองเพื่อปวงประชา ขอท่านจางโปรดเสียสละเพื่อแผ่นดินเถิด!”
เซินสือหังกล่าวเช่นนี้ ทำเอาบรรดาขุนนางในห้องต่างตะลึงงัน ไม่ว่าในใจจะคิดเช่นไร แต่ก็ล้วนยืนขึ้นพร้อมกัน หันไปทำความเคารพท่านจางทีละคนกล่าวว่า
“ขอใต้เท้าจางโปรดไตร่ตรองเพื่อแผ่นดิน”
จางจวีเจิ้งค่อยๆ เหลือบสายตาขึ้นมองความกะตือรือร้นของทุกคน นอกจากเสนาบดีว่านซื่อเหอแห่งกรมพิธีการที่นั่งอยู่กับขุนนางที่พอจะมีอาวุโสที่นั่งไม่ขยับแล้ว คนอื่นๆ ล้วนลุกขึ้นยืน รอบด้านเงียบงันไปครู่หนึ่ง จางจวีเจิ้งตบพนักเก้าเก้าอี้เสียงดังพลางตำหนิด้วยสีหน้าโมโหยิ่งว่า
“หรู่โม่ ส่งเสริมให้เจ้ามานั่งอยู่ในคณะเสนาบดีนี้ มิใช่ให้เจ้ามากล่าววาจาเหลวไหล บิดาจากไป เป็นบุตรไหนเลยจะมัวแต่อาลัยตำแหน่ง คำสอนจารีตสามหลักห้าคุณธรรมหายไปไหนสิ้น พวกเจ้านั่งลง เหลวไหลสิ้นดี เหลวไหลจริงๆ”
เซินสือหังน้ำตาไหลอาบแก้ม คุกเข่าลงกล่าวว่า
“ท่านจาง ที่ข้าน้อยกล่าวมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่ตรึกตรองอยู่ในใจ ฝ่าบาทไม่อาจขาดท่านจางได้ คณะเสนาบดีก็ไม่อาจขาดท่านจางได้ ราชวงศ์หมิงยิ่งมิอาจขาดท่านจางได้ เรื่องครอบครัวเรื่องประเทศชาติ สิ่งใดหนักสิ่งใดเบา ขอท่านจางโปรดไตร่ตรองด้วย!”
บรรดาคนอื่นๆ ที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็คิดจะลงคำนับ สีหน้าจางจวีเจิ้งยิ่งโมโหมากขึ้น ลุกขึ้นยืนตำหนิด้วยความโกรธว่า
“พวกเจ้าเป็นขุนนางของแผ่นดิน กลับไร้ธรรมเนียมเช่นนี้ได้ ข้าจะอยู่หรือไม่ ล้วนเป็นพระบัญชาฝ่าบาท ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า ลุกขึ้นๆ ทุกคน ฝ่าบาทใกล้จะเสด็จแล้ว อย่าได้เสียกิริยาต่อเบื้องพระพักตร์”
ทุกคนจึงได้พากันลุกขึ้น จังหวะพอดีที่ขุนนางแต่ละคนในที่ประชุมกำลังจัดชุดขุนนางให้เรียบร้อย ด้านนอกก็มีเสียงขานดังว่าฝ่าบาทเสด็จ
ฮ่องเต้ว่านลี่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย บรรดาขุนนางต่างพากันถวายคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่มองไปที่จางจวีเจิ้งเป็นคนแรก ก่อนจะตรัสว่า
“ทางบ้านเกิดเรื่องเช่นนี้ ขอท่านจางโปรดระงับใจ รักษาสุขภาพด้วย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ท่านจางก็ต้องคุกเข่าลงขอบพระทัย จากนั้นก็เป็นการสนทนาโต้ตอบกันตามธรรมเนียมปกติ ตามประเพณีปฏิบัติของราชสำนัก จางจวีเจิ้งก็จะกลับไปรอที่จวนของตน ไม่ว่าราชโองการจะมีพระราชานุญาตให้กลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์หรือขอยับยั้งให้อยู่รับราชการต่อ ก็ต้องรออีกสองสามวัน
จิตใจของบรรดาขุนนางต่างคิดกันไป แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่พบเห็นความผิดปกติใดบนพระพักตร์ของฮ่องเต้ว่านลี่ รู้สึกเพียงว่าฮ่องเต้ทรงเงียบขรึมมาก เหมือนไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับพระองค์
การประชุมครั้งนี้ ทุกคนต่างไม่อาจคาดเดาท่าทีหรือนโยบายทางการเมืองใดๆ ได้ จึงได้แต่กลับไปที่จวนของตนกันก่อน
เรื่องที่ประชุมในสำนักเสนาบดีใหญ่ย่อมไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ การประชุมตอนเช้า ตอนบ่ายข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ท่าทีของฮ่องเต้ว่านลี่ ความโกรธของจางจวีเจิ้ง ยังมีท่าทีของบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปในวงขุนนางเมืองหลวง แต่ท่าทีเช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างไม่อาจเดาความนัยใดๆ ได้
วิธีการเดียวที่ขุนนางจะดำรงอยู่ได้ก็คือในยามเช่นนี้ต้องเข้าแถวยื่นฎีกา ยิ่งสถานการณ์ไม่แน่ชัดเช่นนี้ การตัดสินใจเลือกข้างเด็ดขาด วางเดิมพันสักครั้ง ย่อมได้มาซึ่งอำนาจวาสนาไม่สิ้นสุด เช่นกัน หากยืนผิดข้าง ก็ย่อมนำมาซึ่งเภทภัยหลายหมื่นชาติกระหน่ำซ้ำเติมไม่อาจฟื้นคืนเช่นกัน
เดิมเมืองหลวงที่เริ่มคึกคักกันวุ่นวายนั้นก็สงบลงอีกครั้ง
เสนาบดีกรมปกครองจางฮั่นกลับไปที่จวนของตน เรื่องที่ทำอันดับแรกก็คือตามพ่อบ้านต้อนรับแขกมากำชับว่า
“เหมือนเช่นปกติ ไม่รับแขก”
พ่อบ้านพยักหน้า หันกลับไปสั่งคนงานเฝ้าประตู จางฮั่นถอดหมวกขุนนางลง ค่อยๆ เดินไปยังห้องหนังสือ พ่อบ้านเดินตามเข้าไปอย่างนอบน้อม
พอก้าวพ้นประตูไป จางฮั่นก็หันมองซ้ายขวา พ่อบ้านที่ตามเข้ามาก็เข้าใจทันที หันไปโบกมือให้ชายหญิงรับใช้ในห้อง ทุกคนพากันยอบกายออกไป
จางฮั่นไม่กล่าวอันใด เดินไปสองสามก้าว อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“หญิงสาวผู้นั้นอยู่ที่นั่นสถานการณ์เป็นอย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า 18 นางฟ้าสระสวรรค์เหยาฉือเป็นที่เลื่องลือทั่วเมืองหลวงแล้ว นับประสาอะไรกับการที่หญิงสาวผู้นี้งดงามยิ่งกว่า 18 นางฟ้า ย่อมได้รับความเอ็นดูเป็นแน่”
จางฮั่นหยุดฝีเท้าลง หันหน้ากลับไปถามเสียงเยียบเย็นว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มีข่าวคราวใดส่งมา?”
พ่อบ้านเหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ก้มตัวลงต่ำกว่าเดิม กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่งกว่าเบาว่า
“นายท่านโปรดอภัย ในจวนท่านจางดูแลแน่นหนา เข้าออกก็ต้องผ่านหลายด่าน ตอนนี้ข้าน้อยเพิ่งแค่ส่งเข้าไปได้เท่านั้น”
“ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าความคิดบ้าบอ เจ้าก็ยังส่งหญิงนั่นเข้าไป จางซื่อเหวยก็สร้างหอไท่ซีอะไรพวกนั้นไม่ใช่หรือ ก็ไม่เห็นหาข่าวอะไรมาได้”
ในจวนจางจวีเจิ้งมีภรรยาน้อยนางบำเรอมากมาย เป็นความลับที่เปิดเผยในเมืองหลวง คำว่า ไท่ซี นี้เป็นคำที่ใช้เรียกประเทศทางยุโรป จางซื่อเหวยได้คัดเลือกหญิงไท่ซีจากเมืองกวางตุ้งมาให้จางจวีเจิ้ง เป็นเรื่องเกิดในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 4 เป็นที่ฮือฮาไปทั่วเมืองหลวง บัณฑิตไม่น้อยต่างเสวนาเรื่องนี้กันเป็นเรื่องอภิรมย์
จางฮั่นไม่ได้เข้าไปในห้องหนังสือ แต่กลับเดินไปในศาลาข้างๆ นั่งลงกล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“ปลอมตัวเป็นญาติของหญิงนางนั้น หากไปบ่อยไปก็จะถูกสงสัยเอาได้ อย่าเพิ่งดำเนินการเรื่องนี้ เอาเป็นหมากเปล่าไว้ก่อน วันหน้าค่อยใช้การก็ไม่สาย”
พ่อบ้านก้มตัวคำนับรับคำ จางฮั่นตบหน้าผากลุกขึ้นเดินจะเข้าห้องหนังสือ ยังไม่ทันถึงประตู ก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากทางด้านหน้า มีคนวิ่งมาอย่างรีบร้อนมาจากทางประตู พอมาถึงตรงหน้าก็กระหืดกระหอบรายงานว่า
“นายท่าน มีราชโองการๆ”
เพิ่งประชุมเสร็จ กลับมีราชโองการมา จางฮั่นรีบหันกายกลับ พ่อบ้านเห็นเรื่องพวกนี้มามาก ก็รีบตะโกนเสียงดังไปว่า
“เสี่ยวซาน รีบไปเตรียมโต๊ะรับราชโองการสิ…เจ้ามัวอึ้งทำไมกัน รีบไปเปิดประตูรับราชโองการสิ”
คนเฝ้าประตูกระหืดกระหอบอีกสองสามทีก็รีบกล่าวว่า
“กงกงที่มาถ่ายทอดราชโองการกล่าวว่า เป็นราชโองการลับ ไม่ต้องเตรียมการเอิกเกริก เข้าไปในห้องโถงรับราชโองการก็พอ”
จางฮั่นอึ้งไป ส่งสัญญาณให้พ่อบ้านออกไปรับราชโองการ ตนเองเข้าไปเปลี่ยนชุดขุนนางเดินเข้าไปในห้องโถง ขันทีที่มาถ่ายทอดราชโองการสวมชุดสีแดงเข้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเดินเข้ามาให้ห้อง
ทำการเคารพกันตามธรรมเนียมเสร็จ ขันทีผู้นั้นก็ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าจาง ความหมายของฝ่าบาทชัดเจนมาก มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งมีคุณงามความชอบอย่างยิ่ง และยังกำลังดำเนินการเพื่อประโยชน์ของชาติและประชา แม้ว่าทางบ้านจะเกิดเรื่องใหญ่ แต่ประเทศชาติไม่อาจขาดมหาอำมาตย์จางได้ ฝ่าบาททรงต้องการให้ยับยั้งไว้ เรื่องนี้ตามธรรมเนียมแล้ว ก็ต้องให้เสนาบดีกรมปกครองเป็นผู้นำดำเนินการ…”
จางฮั่นที่คุกเข่าฟังอยู่มาตลอด ยามนี้จึงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ตอนเช้าข้าเข้าประชุมมา ที่ประชุมก็ไม่เห็นได้ยินเรื่องเช่นนี้ ทำไมไม่รู้ว่ามีราชโองการนี้ หรือว่าเป็นพระบัญชาส่วนพระองค์ หรือว่ามีผู้ใดแอบอ้างพระบัญชา?!”
ในสมัยถังและสมัยซ่งนั้น พระบัญชาฮ่องเต้หากไม่ส่งผ่านไปทางสำนักราชโองการออกราชโองการมา ก็จะเรียกว่าพระบัญชาส่วนพระองค์ พระบัญชาอย่างเป็นทางการของฮ่องเต้หมิงนั้นล้วนต้องผ่านสำนักคณะเสนาบดีใหญ่อนุมัติก่อนจึงจะนับว่าเป็นทางการ พระบัญชาโดยตรงเช่นนี้เรียกว่า พระบัญชาส่วนพระองค์ พระบัญชาเช่นนี้ ขุนนางที่รับราชโองการก็มักจะไม่รับ
และพฤติกรรมการไม่รับราชโองการนี้ยังได้รับการยกย่องจากบรรดาบัณฑิตในราชสำนักและในหมู่ประชา ว่าเป็นผู้มีความกล้าหาญ การไว้ทุกข์หรือการยับยั้งของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งนั้น เป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้า พระบัญชาส่วนพระองค์ถ่ายทอดลงมาเช่นนี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ดูแล้วขอไปทีไปสักหน่อย
ได้ยินการปฏิเสธของจางฮั่นแล้ว สีหน้าขันทีผู้นี้ก็พลันเปลี่ยนสี เสียงแหลมเล็กดังขึ้นว่า
“ใต้เท้าจาง พระบัญชาในวังเช่นนี้ ท่านกล้ากล่าวเช่นนี้หรือ? ในสายตาท่านมีฝ่าบาทหรือไม่ เคารพกฎราชวงศ์ หมิงหรือไม่?”
พระบัญชาไม่กล่าวว่าเป็นของฝ่าบาท หากกลับกล่าวว่า ‘ในวัง’ และการโต้ตอบนี้ยังร้อนใจโมโหเช่นนี้ จางฮั่นก็ยิ่งรู้สึกสงสัย เอ่ยโต้ไปว่า
“การกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อเคารพกฎราชวงศ์หมิง เพื่อไม่ให้พวกคนชั่วกังฉินฉวยโอกาส!!”
นับว่าน้ำเสียงและสีหน้าของเขานั้นรุนแรงไม่เบา ขันทีผู้นั้นสีหน้าบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวเขียว สุดท้ายแค่นเสียงเยียบเย็น ม้วนพระราชโองการเก็บ สะบัดชายเสื้อจากไปทันที จางฮั่นยืนขึ้นด้วยสีหน้าทะมึนตึงเช่นกัน ใช้แขนเสื้อปัดชุดขุนนางยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงกลางมองขันทีผู้นั้นจากไป
*****
“ท่านพ่อบุญธรรม เฝิงกงกงวันนี้ให้เสี่ยวหม่าที่ห้องหนังสือไปถ่ายทอดราชโองการที่จวนจางฮั่น จางฮั่นก็มิได้โง่ มิได้รับราชโองการ”
คืนวันนั้น โจวอี้กระซิบรายงานจางเฉิง เห็นจางเฉิงไม่กล่าวอันใด โจวอี้ก็แอบลองหยั่งเชิงดูว่า
“ท่านพ่อบุญธรรม หรือว่าลูกจะหาคนสนิทกันไปสืบเรื่องนี้”
จางเฉิงถลึงตาใส่โจวอี้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมาทันที กล่าวเสียงเรียบว่า
“เจ้าเลอะเลือนหรือว่าสมองพิการ อยู่นิ่งๆ อย่าได้กล่าว อย่าได้ทำอันใด เฝ้ามองเฉยๆ ก็พอ”