ตอนที่ 171 นายกองเหรินแห่งกรมโยธา
“ขอเรียนถามว่าที่นี่เป็นจวนใต้เท้าหวัง นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรใช่หรือไม่?”
ซุนต้าไห่กินข้าวอยู่ในห้องโถงบ้านหวังทงอิ่มแล้ว กำลังจะไปหอรวมคุณธรรมที่ไม่ไกลจากที่นี่นักเพื่อเก็บเงินกลับมา ฟ้าใกล้มืดแล้ว พอออกจากประตูไปก็พบกับผู้มาถามเช่นนี้
มองการแต่งกายของผู้ถาม สวมชุดขุนนางสีน้ำเงินทั้งชุด ภายใต้โคมไฟยังเห็นด้านหน้ามีลายนกกระยาง ขุนนางสายบุ๋นระดับหก
ในเมืองหลวงนี้ ขุนนางระดับหกก็ไม่เท่าไรนัก แต่ซุนต้าไห่ก็เป็นแค่นายกองธงเล็กเท่านั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่อันใด อีกฝ่ายสุภาพนอบน้อมเช่นนี้ ซุนต้าไห่ก็ไม่กล้าชักช้า รีบพยักหน้าตอบไปว่า
“ที่นี่ก็คือจวนใต้เท้าหวังของเรา ขอเรียนถามว่าใต้เท้าคือ?”
ผู้นั้นก้มตัวลงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“ข้าน้อยเป็นนายกองกรมโยธา ใต้เท้าเบื้องบนมีคำสั่งมาว่า ใต้เท้าหวังต้องการเครื่องมือวัด ให้ข้าน้อยส่งคนนำมาให้”
มิน่าถึงได้ยินเสียงรถคันใหญ่ คนผ่านไปมาที่ ‘ว่างงาน’ ก็มามุงกันมิด ซุนต้าไห่ยิ้มกล่าวว่ารอสักครู่ รีบหันหลังวิ่งกลับเข้าไปด้านใน
ตอนเข้าไป หวังทงกำลังคุยกับหลี่ว์วั่นไฉอยู่ บนโต๊ะยังมีกองกระดาษปึกหนึ่ง หวังทงอ่านภายใต้แสงไฟรู้สึกแสบตา กำลังขยี้ตาไปกล่าวไปว่า
“เจ้าหน้าที่ทุกคนให้ไปถามทุกที่มีป้ายสงบสุขว่ามีเรื่องใดหรือไม่ พอกลับมาก็ให้บันทึกเป็นลายลักษณ์ จ้างผู้รู้หนังสือมา หาที่ไว้ใจได้ ให้เงินมากหน่อย เรื่องพวกนี้พวกเขาบันทึกไปก็ไม่อาจรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทุกวันมารายงานข้าที่นี่หนึ่งรอบ”
หลี่ว์วั่นไฉมองไปบนกองกระดาษบนโต๊ะ เอ่ยเตือนว่า
“น้องหวัง หากทำเช่นนี้ เพียงแค่กองรายงานพวกนี้ก็ตั้งมากมายแล้ว เจ้าอยู่ในช่วงวัยกำลังเติบโต อย่าได้เหน็ดเหนื่อยเกินไป”
หวังทงยิ้มรับ มือยังคงขยี้ตาอยู่ กล่าวตอบเบาๆ ว่า
“หากพี่หลี่ว์ยินยอม ก็มาตรวจเป็นเพื่อนข้าด้วยกัน ตอนนี้ท่านจางจะไว้ทุกข์หรือไม่ยังไม่แน่ชัด ในเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป พวกเรารู้มากหน่อยย่อมไม่ผิดพลาด โดยเฉพาะคนพวกที่เกี่ยวกับชนชั้นสูงและขุนนางระดับสูง ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ”
“พี่ชายเช่นข้าย่อมต้องช่วยเหลือ แต่น้องหวัง ขอพี่กล่าวสักคำ ตอนนี้เจ้าเป็นแค่นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร พื้นที่จำกัด การสืบหาข่าวเช่นนี้ เกรงว่าจะ…”
หวังทงหยุดมือที่กำลังขยี้ตาลง มองหลี่ว์วั่นไฉ ยิ้มถามว่า
“พี่หลี่ว์ต้องการใช้ชื่อของสำนักองครักษ์เสื้อแพรหรือสำนักบูรพาดำเนินการ เรื่องนี้ก็ไม่ยาก”
หลี่ว์วั่นไฉตะลึงงันไปทันที ค่อยๆ ตรึกตรองก่อนจะคลี่พัดออก ยิ้มกล่าวว่า
“น้องหวัง เจ้าช่างทำให้พี่คาดไม่ถึงอยู่เรื่อย สำนักองครักษ์เสื้อแพรหรือสำนักบูรพายิ่งใหญ่ไป ยังไงก็เอาชื่อศาลซุ่นเทียนของพี่มาดำเนินการละกัน”
สองฝ่ายสบตากันและยิ้มให้กัน ในใจหวังทงกำลังคิดถึงว่าคนทำงานเพียงพอ แต่ข่าวคราวที่รวบรวมมาได้จากบรรดาสายสืบเจ้าถิ่นในเมืองหลวงนั้นมีเพียงตนและหลี่ว์วั่นไฉสองคนวิเคราะห์แยกแยะ ย่อมไม่มีเวลาว่างพอ ก็ควรหาผู้ที่ไว้ใจได้มาถึงจะถูกต้อง แต่เรื่องลับสำคัญเช่นนี้ คนเช่นไรจึงจะวางใจได้กัน?
ซุนต้าไห่เข้ามารายงานเรื่องด้านนอก หวังทงอดยิ้มเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า
“ช่างเหล็กที่โรงบ้านเราคิดว่าเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง แต่ข้าแค่เอ่ยกับโจวกงกงก็มีคนส่งมาถึงที่ มิน่าใครๆ ก็อยากเป็นขุนนาง!”
ทุกคนหัวเราะฮาลั่น หวังทงลุกขึ้นออกไปต้อนรับ พื้นที่หอเลิศรสกว้างขวาง จุดโคมไฟก็สว่างไสวขึ้น ให้คนที่นำของมาส่งวางของไว้ทางหนึ่ง
ที่ถนนทักษิณนี้ หวังทงคิดจะหาคนสิบกว่าคนมาขนย้ายของก็สะดวกอยู่ เครื่องวัดนี้ก็มิได้หนักอันใด จึงย้ายเข้าไปในบ้านได้อย่างรวดเร็ว
หวังทงหยิบเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินออกมาแบ่งเป็นสองส่วน กล่าวกับซุนต้าไห่ว่า
“เอาห้าสิบตำลึงให้ขุนนางผู้นั้น อีกห้าสิบให้คนส่งของไปแบ่งกัน กล่าววาจาให้สุภาพหน่อยนะ”
เพิ่งจะหันหน้ากลับเข้าห้องมา ยังไม่ทันได้คุยกับหลี่ว์วั่นไฉต่อ ซุนต้าไห่ก็เดินเข้ามาอีก ท่าทางคิดไม่ตกกล่าวกับหวังทงว่า
“ใต้เท้าหวัง นายกองกรมโยธาผู้นั้นไม่ยอมกลับ บอกว่าจะขอพบใต้เท้าได้หรือไม่?”
หวังทงขมวดคิ้ว ถามเสียงเย็นเยียบว่า
“ไปเอามาให้เขาอีกสิบตำลึง หากต้องการมากกว่านี้ ก็ให้เอาเงินที่ให้ไปก่อนหน้านี้กลับมาคืนข้าให้หมด”
ซุนต้าไห่ส่ายหน้า รู้สึกมึนงง วางห่อเงินลงบนโต๊ะ กล่าวว่า
“ใต้เท้า นายกองผู้นั้นไม่เอาแม้แต่ห้าสิบตำลึงนี่ ขอแค่พบใต้เท้าเท่านั้น”
ที่แท้มิได้ต้องการเพิ่ม หวังทงกับหลี่ว์วั่นไฉสบตากัน หลี่ว์วั่นยืนขึ้นยิ้มกล่าวว่า
“น้องหวังมีแขก พรุ่งนี้ข้าค่อยมาคุยกับน้องหวังละกัน ขอตัวก่อน”
หวังทงให้จางซื่อเฉียงที่อยู่ห้องข้างๆ ออกไปส่ง แล้วก็ให้ซุนต้าไห่ไปเชิญคนผู้นั้นเข้ามา นายกองผู้นั้นพอเข้ามา เห็นหวังทงก็อึ้งไป ตามมาด้วยการคำนับด้วยรอยยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังทงช่างเป็นผู้กล้าอายุน้อย ข้าน้อยแซ่เหริน คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าจะอายุยังน้อยเช่นนี้ พบกันครั้งแรก ข้าน้อยขอคารวะ”
กล่าวจบก็คำนับ นายกองร้อยก็ระดับหกเช่นกัน นายกองโยธาก็ระดับหก แต่ในราชวงศ์หมิงนั้นขุนนางบุ๋นสูงส่งกว่าขุนนางบู๊ ย่อมไม่มีนายกองในหน่วยงานเช่นนี้ทำการคำนับนายกองร้อยก่อน
แต่นายกองเหรินรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดน้ำเงินลายนกกระยางผู้นี้ แม้ว่าจะสะอาดสะอ้าน แต่ก็เก่าซีดมาก บนตัวนายกองผู้นี้ดูเหมือนไม่มีกลิ่นอายของพวกบัณฑิตถือตัวสักนิด ท่าทางซื่อสัตย์จริงใจ ฉายแววอ่อนน้อมนุ่มนวลอย่างยิ่ง
สรุป คนผู้นี้ไม่ทำให้คนรู้สึกไม่ดี หวังทงยิ้มลุกขึ้นคำนับตอบ อธิบายพร้อมถามว่า
“เมื่อครู่เหม่อลอยไปสักหน่อย ต้อนรับใต้เท้าเหรินช้าไป ไม่ทราบว่าใต้เท้าเหรินต้องการพบข้าน้อยด้วยเรื่องอันใด?”
นายกองเหรินอย่างไรก็เป็นขุนนางกรมโยธา ประสบการณ์ไม่น้อย ตนเองเข้ามาก็ทักทายคำนับอย่างสุภาพก่อน นายกองร้อยอายุน้อยผู้นี้กลับรับการคำนับ จากนั้นก็หาเหตุคำนับคืน ท่าทางองอาจผ่าเผยเช่นนี้ ไม่ใช่พวกมีที่พึ่งพิงหนุนหลังก็ต้องเป็นพวกตระกูลใหญ่โต
ใต้เท้าในกรมยังกำชับว่าต้องมาส่งเครื่องวัดนี้ด้วยตนเองที่นี่ คิดถึงเรื่องต่างๆ พวกนี้ นายกองเหรินผู้นี้ก็จัดสถานะตนได้แล้ว ท่าทางและวาจาก็สุภาพขึ้นหลายส่วน ยิ้มกล่าวว่า
“กล่าวกับใต้เท้าตามตรง เครื่องมือวัดของกรมโยธานี้แม่นยำสุดในใต้หล้า แต่ไม่เคยมีผู้ใดใช้มากว่า 40 ปี วันนี้มอบให้ใต้เท้า ข้าน้อยกับเจ้าหน้าที่ปัดฝุ่นทำความสะอาดกันอยู่นาน ข้าน้อยอยากทรายว่า ใต้เท้าหวังเอาไปทำอันใด?ไ
หลักการทำงานของหวังทงก็คือเปิดเผยไม่ปิดบัง กอปรกับเขายังรู้สึกไม่เลวกับนายกองเหรินผู้นี้ จึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า
“โรงตีเหล็กของข้าน้อยกำลังตีปืนไฟ แต่เครื่องมือวัดในมือก็หยาบเกินไป ต้องการเครื่องมือที่แม่นยำมาวัดให้ดี จะได้ไม่ทำของไม่ดีออกมา”
ขณะที่กล่าวอยู่ นายกองเหรินก็ตาเป็นประกาย เอ่ยถามว่า
“ใต้เท้าหวัง โรงผลิตปืนไฟของท่านนั้นต้องการเครื่องมือวัดที่แม่นยำมากหรือ?”
“แน่นอน ปืนไฟลำปืนต้องตรง ด้านในก็ต้องขัดให้เรียบลื่น ต้องประกอบกับด้ามไม้พอดี ไกปืนและช่องดินปืนก็ต้องขยับได้คล่องและทนทาน หากไม่ตรวจสอบให้ได้มาตรฐาน จะทำปืนไฟที่ใช้งานได้ออกมาได้อย่างไร”
อย่างไรก็เคยเป็นช่างเหล็ก และยังมีประสบการณ์จากระบบคุณภาพในสมัยปัจจุบันมา หวังทงกล่าวได้คล่องแคล่ว เพิ่งพบว่าใบหน้าของนายกองกรมโยธานั้นมีสีหน้าแปลกประหลาดตกใจอย่างมาก อดหยุดถามกลับไม่ได้ว่า
“มีอะไรผิดหรือ?”
คำถามกลับนี้ทำให้นายกองเหรินรู้สึกตัว ถอนหายใจกล่าวว่า
“เรื่องพวกนี้จะมีผิดพลาดได้อย่างไร แต่โรงช่างอาวุธปืนราชวงศ์หมิงเราเคยทำได้ตามนี้ที่ไหนกัน โรงช่างเหมือนกับโรงเลี้ยงสัตว์ ตอนตีอาวุธก็ตีกันมั่วซั่ว ใครอยากจะเสียแรงไปใช้เครื่องวัดว่าแม่นยำไหม ตีออกมาได้ก็ไม่เลวแล้ว ตีออกมาได้ก็นับว่าดีแล้ว โรงช่างทางการในเมืองหลวงและเมืองเทียนจินหลายแหล่ง แม้แต่จะทำก็ใช่ว่าจะทำออกมาได้ พวกไร้ฝีมือไร้สามารถอย่างที่สุด แต่หากโรงอาวุธเหล่านี้ผลิตอาวุธปืนไฟที่ได้มาตรฐานออกมาได้บ้าง กรมโยธาและกรมทหารก็คงไม่ต้องไปซื้อปืนไฟจากพวกโรงผลิตของพวกพ่อค้าที่กวางตุ้งนั้นทุกปีหรอก”
ยิ่งพูดก็ยิ่งใส่อารมณ์ นายกองเหรินสีหน้าโกรธแค้น กล่าวด้วยความโมโหว่า
“ที่ทำออกมาไม่ได้ มีแต่ปืนไฟที่ไหน โรงช่างราชวงศ์หมิงของเราอ้างตัวว่าไม่มีอะไรทำไม่ได้ แต่กลับไม่มีอะไรที่ทำได้ ทำออกมาแต่ละอย่างก็ล้วนเป็นของเน่าๆ พังๆ ใช้การไม่ได้ แม้แต่โรงช่างของพ่อค้าบางแห่งก็ยังติดโรคนี้ไปด้วย นานวันเข้า ราชวงศ์หมิงเราจะมีคำว่า ‘ฝีมือ’ กันต่อไปได้อย่างไรกันเล่า ยังมีเรื่องช่างตีเหล็กอะไรพวกนั้นอีก”
หวังทงยกมือปิดปากกระแอมไอสองที นายกองเหรินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง หยุดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ ยิ้มเก้ๆ กังๆ กล่าวว่า
“ข้าไปไกลเลย วันนี้มาที่นี่ก็เพื่อคิดจะดูว่าผู้ที่ทำการจริงจังผู้นี้คือผู้ใดกัน คิดไม่ถึงว่า ใต้เท้าสายงานองครักษ์เสื้อแพรกลับเชี่ยวชาญเรื่องการตีเหล็กเช่นนี้ได้”
หวังทงรู้สึกไม่อาจทนกับการกล่าวอย่างไร้ทิศทางของอีกฝ่ายได้ จึงเอ่ยถามตรงๆ ไปว่า
“ใต้เท้าเหรินมาเพื่อชมข้าโดยเฉพาะหรือ?”
นับว่ากล่าวตรงประเด็นแล้ว นายกองเหรินกระแอมไอให้โล่งคอ ก่อนจะคำนับกล่าวว่า
“ยากที่จะได้เห็นที่ทำงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ข้ารู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ใต้เท้าหวังช่วยเหลือข้าได้หรือไม่ ให้ข้าได้ไปชมโรงตีเหล็กนั่น และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง”
หวังทงมองนายกองเหรินครู่หนึ่งก็ส่ายหน้ายิ้ม ในยุคสมัยนี้ ยากที่จะได้พบเห็นขุนนางที่มีฝีมือเช่นนี้ ในชาติก่อนนั้นเขาค่อนข้างเคารพพวกมืออาชีพ เห็นนายกองผู้นี้แล้วทำให้เขารู้สึกดี จึงเอ่ยอนุญาตไปว่า
“ใต้เท้าเหรินอยากไป ข้ายินดีต้อนรับ หากท่านคิดว่าที่โรงตีเหล็กมีอะไรต้องปรับปรุงก็กล่าวมาได้ ต้องการให้ซื้อหาสิ่งใดเพิ่มเติมก็เอ่ยมาได้เลย ทำของที่ดีออกมาได้ เราต่างได้ประโยชน์”
ได้ยินคำของหวังทง นายกองเหรินก็ยินดีอย่างกลั้นไม่อยู่ คำนับอย่างยินดี รีบกล่าวอำลา หวังทงรีบเรียกให้หยุดก่อนว่า
“ใต้เท้าเหริน โอกาสคบหากันวันหน้ายังมีอีกมาก เงิน 50 ตำลึงช่วยรับไปก่อน โรงตีเหล็กหากทำได้ดี ข้ายังมีค่าตอบแทนมอบให้”
นายกองเหรินมองหวังทง ลังเลครู่หนึ่งก็รับเงินมา ประสานมือคำนับจากไป
*******
“ใต้เท้าจาง นายท่านเราสองวันนี้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจวางภาระบ้านเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ไปได้ เรื่องส่วนตัวและเรื่องแผ่นดินเทียบกันแล้ว ยังคงเป็นแผ่นดินที่สำคัญกว่า นายท่านเราต้องการให้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยแล้วค่อยกลับไปไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด การยับยั้งให้อยู่ต่อนั้นก็ขอให้เริ่มทูลเกล้าจากใต้เท้าจางตามธรรมเนียมปฏิบัติ ขอรบกวนแล้ว”
กลางดึก ในจวนจางฮั่นเสนาบดีกรมปกครอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม จางฮั่นสีหน้าอึมครึม ไม่กล่าววาจาใดแม้แต่คำเดียว