Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 178

ตอนที่ 178 ฟ้าย่อมมีเมฆฝนที่ไม่อาจคาดเดา

“องครักษ์เสื้อแพรเป็นกองกำลังในพระองค์ การเลื่อนหรือปลดย่อมเกี่ยวพันกับการบริหารงานแผ่นดิน ที่หวังทงได้กระทำไปในครั้งนี้ ในส่วนตัวกระหม่อมก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง หากในส่วนรวมคิดว่าควรรอบคอบให้มาก ให้กระหม่อมกลับไปปรึกษากับคณะเสนาบดีใหญ่ก่อน ค่อยกราบทูลฝ่าบาท”

ได้ยินจางจวีเจิ้งกล่าวเช่นนี้ สีหน้าตื่นเต้นกระตือรือร้นของฮ่องเต้ว่านลี่ก็เลือนหายไปหลายส่วน สีหน้าจางจวีเจิ้งเรียบเฉยกล่าวถวายบังคมลา ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้พระสติตรัสอนุญาต

ฮ่องเต้น้อยไม่ตรัสอันใด แต่ทรงหยิบตำราขึ้นมาทอดพระเนตรไปครู่หนึ่ง สำนักส่วนพระองค์ทางนั้นมีเรื่องมา เฝิงเป่าได้ข่าวแล้วก็ขอทูลลา ฮ่องเต้ว่านลี่วางหนังสือในมือลง ตรัสเสียงเบาๆ ว่า

“จางปั้นปั้น เราต้องการเลื่อนตำแหน่งให้คนๆ หนึ่งยากเพียงนี้เลยหรือ?”

จางเฉิงรีบก้าวขึ้นหน้ามา โบกมือให้คนรอบๆ ขันทีที่คอยรับใช้ก็ถอยออกไป จางเฉิงจึงได้ก้มตัวลงกระซิบว่า

“รับสั่งฝ่าบาทเกรงว่าจะเป็นการกระทบจิตใจท่านจาง การเลื่อนตำแหน่งนี้ยังเป็นขุนนางฝ่ายบู๊คนสนิท ยิ่ง…”

ฮ่องเต้ว่านลี่ได้รับฟังก็ทรงอึ้งไป ตามมากระแทกหนังสือลงอย่างแรง สุรเสียงดังขึ้น ตรัสไปแค่คำเดียว ก็รีบลดเสียงลง ตรัสน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“กระทบจิตใจท่านจาง! แล้วจิตใจเราเล่า!!? เราเป็นโอรสสวรรค์ ในวังนอกวัง ทุกวันมีแต่ไทเฮา เฝิงกงกงและท่านจาง มีใครสนใจเราบ้าง…”

จางเฉิงแทบจะยื่นมือไปอุดปากในทันที พอเอื้อมไปยังไม่ทันถึงก็หยุด การกระทำของเขายิ่งทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่กริ้วยิ่งขึ้น ริมฝีปากของจางเฉิงกระดกขึ้นเล็กน้อย รีบทำหน้าลำบากใจ กระซิบเบาๆ ว่า

“พระรับสั่งฝ่าบาทนี้ต้องระมัดระวังพะยะค่ะ หากเก็บไว้ไม่ดีย่อมไปถึงหูใครสักคนเป็นแน่”

เขาจงใจกดเสียงให้เบาลง แม้แต่แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ได้ยินไม่ชัดเจน แต่ก็ทรงฟังเข้าพระทัยได้ในที่สุด สีพระพักตร์แดงขึ้น ถอนหายใจยาว ก่อนจะกลับคืนสู่ความนิ่งดังเดิม

ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าขาจะยังคงไม่ปกตินัก แต่เพราะว่าได้ฝึกฝนอยู่ที่ลานฝึกมานานแล้ว การเดินจึงค่อนข้างจะมั่นคงมากขึ้น เมื่อครู่กล่าววาจาเช่นนั้นจบ จางเฉิงก็ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก ได้แต่เดินตามไป

“วันนี้เราจะไปรับอาหารกลางวันที่ลานฝึก จางปั้นปั้นไปเตรียมการให้ด้วย!”

เสด็จออกมาได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รับสั่งสั่งการสุรเสียงนิ่งเรียบ พอเอ่ยถึงลานใก ในสมองของจางเฉิงก็มีความคิดมากมายแวบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กัดฟันก้าวออกไปด้านหน้ากล่าวว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอเสี่ยงชีวิตกล่าวสักประโยค ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วย!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดคิ้ว ก่อนจะหรี่พระเนตรรับสั่งว่า

“เจ้าก็ขอเสี่ยงชีวิต หวังทงก็ขอเสี่ยงชีวิต ตอนนี้เราได้แต่คอยฟังผู้อื่นทุกเรื่อง ยังจะไปตัดหัวใครได้ จางปั้นปั้นมีอันใดก็กล่าวมาได้ ไปสายไป แม้แต่ข้าวเปล่าพี่หงอิงก็จะให้น้อยลง”

จางเฉิงนิ่งอึ้งไปทันที ในใจคิดว่า พี่หงอิง คือผู้ใดกัน กลับบังอาจเพียงนี้ แต่ก็ยังรีบกล่าวเข้าประเด็นไปก่อน รีบกล่าวเสียงเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาททรงเห็นว่าหวังทงผู้นั้นจงรักภักดี อย่างไรก็จะต้องให้เขาปลอดภัยใช่หรือไม่?”

ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงอึ้งไป ในใจคิดว่าก็แค่เลื่อนตำแหน่งไม่ได้ ทำไมจึงโยงไปเรื่องความปลอดภัยได้ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่แต่ไรมาก็ไม่เคยทรงระแวงในความจงรักภักดีของหวังทง

ปีหนึ่งมานี้พระวรกายเติบโตขึ้นมา ที่ลานฝึกหู่เวยมีแต่ความสุขเช่นนั้น และการไว้ทุกข์ที่นำมาซึ่งคลื่นลมรุนแรงในราชสำนักครั้งนี้นั้น ก็ได้หวังทงเป็นคนเสนอความคิดที่แม่นยำถูกต้อง

ยิ่งไปกว่านั้นที่ยากจะหาได้ ก็คือหวังทงผู้นี้ไม่เอาแต่ประจบเพราะตนเป็นโอรสสวรรค์ แต่กลับมีสิ่งใดก็กล่าวสิ่งนั้น ไม่ปิดบังเด็ดขาด จำได้ว่าตอนเด็กๆ พระบิดาเคยกล่าวว่า นี่คือความจงรักภักดีอย่างสูงสุด

จางเฉิงอยู่เคียงข้างฮ่องเต้ว่านลี่มาหลายปี ฮ่องเต้น้อยรู้ดีว่าคนผู้นี้เป็นคนรักษาธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ไม่ค่อยได้กล่าววาจาน่าตกใจอันใด วาจาเมื่อครู่ย่อมทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกสนใจ จึงทางพยักหน้าอย่างจริงจัง ตรัสว่า

“หวังทงจงรักภักดี ย่อมไม่ต้องสงสัย จางปั้นปั้น ความปลอดภัยที่ว่าคืออะไร?”

“เดิมกระหม่อมไม่ควรทูลเช่นนี้ต่อฝ่าบาท แต่กระหม่อมขอบังอาจกล่าวสักประโยค ในสองสามวันนี้ย่อมมีขุนนางถวายฎีกากล่าวหาหวังทง”

ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดเดิน หันมามองจางเฉิง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ตรัสถามว่า

“กล่าวหาอะไรหรือ? ที่หวังทงทำทั้งหมดเรารู้ทุกเรื่อง เขาผิดตรงไหน?”

แม้ว่ากล่าวกับฮ่องเต้ แต่จางเฉิงก็อดกระทืบเท้ากล่าวอย่างร้อนใจไม่ได้ว่า

“ฝ่าบาท นำคนไปบุกโรงบ้านหลิวโสวโหย่ว ยังมีป้ายสงบสุขนั้นอีก นี่ไม่ใช่เรื่องผิดหรือ!”

“นี่มันผิดเรื่องอะไรกัน เรื่องป้ายสงบสุขนั่น เงินก็ส่งเข้าวังมาก็มีถึงสองหมื่นกว่าตำลึงนี้ เฝิงต้าปั้นกับจางต้าปั้นไม่ใช่ว่าคนละห้าพันหรอกหรือ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตอบกลับอย่างฉงนพระทัย จางเฉิงคิดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องนี้หวังทงก็เล่าด้วย อดหน้าแดงเล็กน้อยไม่ได้ ถอนหายใจกล่าวว่า

“ฝ่าบาท รู้ไม่ใช่ว่าจะถูกทำนองคลองธรรม ปกติเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรม ก็จะปิดตาข้างหนึ่งให้ผ่านไป แต่หากจะหาเรื่อง ก็แค่เอาเรื่องว่าไม่ถูกทำนองคลองธรรมกันเท่านั้นเอง”

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่แย่ลง ตรัสสุรเสียงเบาโหวงอย่างยิ่งว่า

“จะทำอะไรกัน หรือว่าคนใกล้ชิดเรามีความผิดใหญ่หลวงขนาดนั้นเลยหรือ?”

จางเฉิงถอนหายใจยาว กล่าวต่อว่า

“ขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหลายทนเห็นฝ่าบาทใกล้ชิดกับคนที่ไม่ได้ร่ำเรียนตำราไม่ได้ พวกบ่าวเองก็เป็นแค่ม้าแค่วัวรับใช้ เป็นผู้ที่คอยรับใช้ฝ่าบาท หากทำอะไรมากเกินไปก็จะถูกขุนนางพวกนั้นหากว่าทำแผ่นดินวุ่นวาย หวังทงเป็นแค่ขุนนางบู๊ตัวเล็กๆ กลับสามารถทำให้ฝ่าบาทตรัสเสนอขอเลื่อนตำแหน่งให้ได้หลายต่อหลายครา ยังมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการไว้ทุกข์ที่เป็นเรื่องใหญ่นี้อีก ท่านจางย่อมถือสาเรื่องนี้อย่างมาก เฮ้อ พวกขุนนางราชบัณทิตซื่อสัตย์จงรักภักดีหัวแข็งพวกนั้น ก็ล้วนสามารถหาเรื่องมากล่าวได้….”

ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์อึ้งไป ตรัสพึมพัมว่า

“เดิมเราต้องการแค่เลื่อนตำแหน่งให้ หรือนี่เป็นการทำร้ายหวังทงกัน”

ตรัสถึงตรงนี้ ฮ่องเต้น้อยก็ทรงคิดออกทันที หันมามองจางเฉิงกัดฟันตรัสขึ้นว่า

“จางปั้นปั้น เราจะปกป้องหวังทง เราจะต้องยึดเอาตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรของหลิวโสวโหย่วมาให้หวังทง ใครกล้าค้านอะไร เราจะลงโทษมันผู้นั้น”

ฮ่องเต้ว่าลี่กำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำ คิดไม่ถึงว่าท่าทางเช่นนี้ของพระองค์จะทำให้นางกำนัลและขันทีที่ยืนอยู่ที่ไกลๆ พากันก้มลงหมอบติดพื้นทันที เห็นท่าทางฮ่องเต้น้อยเอาเรื่องเช่นนี้ก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่มากเป็นแน่ อย่างไรก็คุกเข่าทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ไปดีกว่า

“ฝ่าบาท อย่าได้ทรงกริ้ว อย่าได้ทรงกริ้ว”

จางเฉิงรีบยื่นมือเข้าตบหลังฮ่องเต้ว่านลี่ กระซิบว่า

“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ เกรงว่าหวังทงคงมีความผิดเทียมฟ้า เรื่องของหวังทงหากไปถึงไทเฮาทั้งสองแล้วล่ะก็ ทั้งเรื่องป้ายสงบสุขที่เกี่ยวข้องกับหอคณิกานั่นอีก ไทเฮาทรงไม่พอพระทัยในเรื่องพวกนี้อย่างยิ่ง…”

ที่ลานฝึกยามเคร่งเครียดนั้น หวังทงมักจะให้คนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็สูดลมหายใจเข้าออกหลายทีทันที ก่อนจะค่อยๆ สงบลง ตรัสขึ้นว่า

“เราไม่ไปลานฝึกแล้ว จางปั้นปั้นให้คนส่งเครื่องเสวยมาที่ห้องอักษร มากินเป็นเพื่อนเรา ค่อยๆ วางแผนกัน”

********

“จื่อเหวย (ชื่อรองของจางซื่อเหวย) หรูโม่ (ชื่อรองของเซินสือหัง) วันนี้ข้าสอนฝ่าบาท ตอนเรียนอยู่นั้นฝ่าบาทตรัสว่าจะทรงเลื่อนตำแหน่งให้นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเป็นนายกองพัน”

ปลายเดือนสิบเอ็ด ในเมืองหลวงก็หนาวเหน็บและสงบเงียบยิ่ง แต่ในห้องหนังสือของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ หลายคนในห้อง ทั้งมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวย เสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหัง เสนาบดีกรมปกครองหลี่โย่วจือและขุนนางใหญ่อื่นๆ ล้วนนั่งประชุมหารือกันอยู่

จางจวีเจิ้งจิบชาไปหนึ่งคำก็กล่าวออกมาเช่นนี้ หลังจากเรื่องไว้ทุกข์จบลง จางจวีเจิ้งก็มีอำนาจสูงสุดผู้เดียว ทุกคนต่างสบตากัน ไม่เข้าใจความหมายของจางจวีเจิ้ง

“ฝ่าบาททรงตรัสว่าเดิมจะมีราชโองการยับยั้ง แต่ด้วยคำทูลของหวังทง ฝ่าบาทจึงทรงตัดสินพระทัยได้ทันที กล่าวเช่นนี้ แต่การมีราชโองการยับยั้งนั้น น่าจะมาจากการทูลฝ่าบาทของหวังทงแปดเก้าส่วนเลยทีเดียว”

อำนาจบารมีของขุนนาง มีทั้งมาจากอำนาจของตนเองและความไว้วางพระราชหฤทัยจากฝ่าบาท หวังทงสามารถทูลให้ฝ่าบาทมีราชโองการขอให้มหาอำมาตย์อยู่ต่อ อิทธิพลเช่นนี้เกรงว่าจะน่ากลัวเกินไปสักหน่อยแล้วกระมัง

เสนาบดีกรมปกครองคนใหม่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า

“หวังทงผู้นี้ก็แค่ขุนนางบู๊ตัวเล็กๆ ถึงกลับรู้การรู้งานเช่นนี้ได้ เป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริง”

ในสายตาของบัณฑิต พวกฝึกยุทธ์สามารถเดินได้พูดได้นับว่าแปลกแล้ว ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องให้ความเห็นในงานแผ่นดิน ตอนหลี่โย่วจืออยู่ที่กรมปกครองก็เคยได้ยินเรื่องหวังทงมาบ้างแล้ว จึงระมัดระวังมาก ดังนั้นวาจาจึงคลุมเครือยิ่ง

เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยได้ยินจางจวีเจิ้งกล่าวแล้ว สีหน้าก็ค้างไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ปฏิกิริยาเชื่องช้ายิ่ง เซินสือหังที่ทำการว่องไวมาโดยตลอด กำลังคิดเรื่องที่หลี่โย่วจือกล่าวนำตนไปก่อน ยามนี้จึงได้กล่าวขึ้นว่า

“หวังทงเป็นแค่นายกองร้อย กลับสามารถกล่าวชี้นำฝ่าบาท ระบบราชวงศ์หมิงเราฮ่องเต้เป็นแกนหลัก คณะเสนาบดีและหกกรมกองเป็นหน่วยสนับสนุน ผู้เป็นแค่ขุนนางบู๊คนสนิททำการเช่นนี้ได้ มิใช่ขัดต่อธรรมเนียมจารีตหรอกหรือ พวกเราเรียนรู้คัมภีร์ปราชญ์เมธีมามาก ย่อมต้องกล้าหาญในความชอบธรรม ต้องตักเตือนฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทห่างไกลจากคนชั่ว ให้เข้าใกล้ขุนนางดี”

“อดีตฮ่องเต้อู่จงทรงโปรดเจียงปินกับเฉียนหนิง ฮ่องเต้ซื่อจงทรงพระเมตตาต่อลู่ปิ่งด้วยเป็นบุตรของพระนมของพระองค์ ทำแผ่นดินหมิงเราวุ่นวาย รอบแผ่นดินไร้ความสงบสุข ราชวงศ์เรามีท่านจางช่วยราชกิจ เป็นยุคแผ่นดินรุ่งเรือง หากหวังทงผู้นั้นกลับอาศัยพระบารมีฝ่าบาท วางอำนาจในเมืองหลวง กล้ารีดเค้นเรียกรับเงินทองจากพ่อค้า และยังไร้ความเคารพยำเกรงขุนนาง บุกโรงบ้านผู้บัญชาการหลิวโสวโหย่ว ยังมาสร้างลานฝึกอะไรนั่นอีก ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ทุกวันควรทรงศึกษาคัมภีร์ปราชญ์ แต่กลับไปทรงเรียนรู้อาวุธอะไรนั่น มิใช่ว่าเป็นการล่อลวงให้ฝ่าบาทสนพระทัยสนุกสนานจนทำลายพระปณิธานยิ่งใหญ่หรอกหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไปมีเรื่องวิวาทข้างนอกไร้เหตุผลนั่นถึงสองครา”

จางซื่อเหวยกล่าวขึ้น เซินสือหังกับหลี่โย่วจือมองเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าเขารู้ละเอียดถึงเพียงนี้ได้อย่างไร จางซื่อเหวยกล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ฝ่าบาทมีนี้มีพระชนมายุ 15 ชันษา หวังทงผู้นั้นปีนี้ก็ 15 วันหน้ายังอีกยาวไกล ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นวันหน้าจะเป็นเช่นไร?”

วาจานี้กล่าวจบ หลายคนให้ห้องก็พากันพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาเป็นกลุ่มพลังที่มีอำนาจสูงสุดในราชวงศ์หมิง ย่อมไม่หวังให้คนที่ใกล้ชิดฝ่าบาทคนหนึ่งมาแทนที่พวกเขา แม้ว่าหวังทงจะไม่แสดงตัวออกนอกหน้ามาโดยตลอด แต่การกระทำครั้งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการถูกคุกคามอย่างแท้จริง

มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ลุกเดินไปมาสองสามก้าว หันมากล่าวกับทุกคนว่า

“พรุ่งนี้นำขุนนางยื่นฎีกา รอบองค์ฮ่องเต้ใสกระจ่าง ใต้หล้าย่อมกระจ่างใส”

ทั้งสามคนในห้องลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ก้มตัวรับคำสั่ง

*******

วันนี้หวังทงดีใจไม่หยุด ฮ่องเต้รับประกันเช่นนั้น การเลื่อนเป็นนายกองพันดูท่าไม่น่ามีปัญหาแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!