ตอนที่ 179 เรื่องมาถึงไม่ทันรู้ตัว ฎีกานี้มีหลักสัจธรรมชัด
หลังหม่าซานเปียวพักรักษาตัวมาเป็นระยะเวลานาน ในที่สุดก็ลงมาเดินได้แล้ว ร่างกายแข็งแรง ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวไม่ต่างอะไรกับเมื่อก่อน
กว่าจะได้ออกมาเคลื่อนไหวได้เช่นนี้ไม่ง่ายเลย ตอนเคลื่อนไหวไม่สะดวกยังเอาตุ้มหินและที่ยกน้ำหนักมาคอยออกกำลังกาย ตอนนี้เดินแม้ว่ายังต้องคอยระวัง แต่ร่างกายช่วงบนนั้นบึกบึนแข็งแรงกว่าเดิมเล็กน้อย
เขามีนิสัยโผงผางอารมณ์ดี กับพวกหวังทงก็เข้ากันได้ดีมาก เห็นหม่าซานเปียวกลับมา ทุกคนก็ดีใจกันอย่างมาก โดยเฉพาะซุนต้าไห่ที่คิดจะฉลองใหญ่เลยทีเดียว
ตอนนี้ซุนต้าไห่ไม่ขัดสนเงินทอง ว่าจะเชิญทุกคนไปเลี้ยงกันที่หอรุ่งเรือง หอรุ่งเรืองเป็นกิจการของหวังทงแล้ว ต้องเก็บเงินกับเขาที่ไหนกัน จึงได้สั่งการให้พ่อครัวเตรียมจัดโต๊ะเลี้ยงหนึ่งโต๊ะ
ยังได้เชิญบรรดาหัวหน้าอีกสองสามคนมาร่วมโต๊ะด้วย จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ หลี่เหวินหย่วนที่เป็นผู้รู้ใจ ยังมีพ่อบ้านถานเจียง หลี่ว์วั่นไฉและหัวหน้ากองหวังซื่อและหลี่กุ้ย แน่นอนย่อมขาดหม่าซานเปียวและมารดาไปไม่ได้ ฉลองเลี้ยงกันอย่างครึกครื้น
นิสัยซุนต้าไห่เข้ากับหม่าซานเปียวได้ดีมาก เริ่มจากงานเลี้ยง สองคนก็เริ่มกรึ่มด้วยฤทธิ์สุรา บรรยากาศก็ยิ่งครื้นเครงยิ่งขึ้น แม้แต่หวังทงก็อดดื่มไปสองสามจอกด้วยไม่ได้
งานเลี้ยงนี้ได้กระชับความสัมพันธ์ของทุกคนให้สนิทแนบแน่นขึ้น ถานเจียงและลูกน้องที่สงวนท่าที ก็ปล่อยตัวตามสบายลงดื่มกับทุกคน ดื่มไปไม่น้อย
ดื่มกันไปมาก็ดึกมากแล้ว หลี่ว์วั่นไฉลุกขึ้นคารวะหวังทงหนึ่งจอก หลี่ว์วั่นไฉเป็นบุคคลที่ตำแหน่งสูงส่งที่สุดในบรรดาคนที่นั่งร่วมโต๊ะ กับคนอื่นๆ ก็แค่ชนแก้วมาแตะริมฝีปากพอเป็นพิธี แต่เขาก็รู้งาน ลุกขึ้นมาคารวะหวังทง หวังทงยิ้มยกจอกเหล้าขึ้น เทจนเต็มแก้วเตรียมจะมาชน
“เจ้าอายุยังน้อยดื่มสุราแรงอะไรกัน ดื่มน้ำชาแทนก็พอ!”
กำลังจะดื่ม นางหม่าข้างๆ ก็ส่งเสียงดังให้หยุด หลายคนในห้องได้ยินแล้ว ก็อึ้งไป ลอบมองหน้ากันแล้ว หวังซื่อก็หัวเราะ “กึก” ออกมา ทุกคนจึงได้พากันหัวเราะเสียงดังตามมา
เป็นนางหม่าเองกับหวังทงที่ไม่รู้ว่าทุกคนกำลังหัวเราะอะไร หลี่ว์วั่นไฉหัวเราะเสร็จ ก็ยกจอกเหล้าดื่มจนหมด กล่าวอย่างเก้ๆ กังๆ ว่า
“ซ้อหม่าไม่พูด ข้ายังลืมไปเลยจริงๆ ว่าน้องหวังปีนี้อายุแค่ 15 รู้สึกแต่ว่าน้องหวังเหมือนกับข้า รับราชการมาหลายปีแล้ว”
“ใต้เท้าหลี่ว์กล่าวได้ถูกต้อง เมื่อก่อนตอนอยู่จวนเสนาถานก็พบเห็นผู้คนมาไม่น้อย แต่ผู้ที่มีสง่าราศีองอาจเทียบเท่านายท่านถาน เป็นผู้มีสติปัญญาและยังถ่อมตนหมั่นทบทวนตนเองเช่นนี้ ไม่เคยพบผู้ใดเช่นนี้มาก่อน”
ถานเจียงยิ้มกล่าวรับลูกต่อ หวังทงส่ายหน้า ตนเองเก่งกาจเช่นนั้นเสียเมื่อไร ก็แค่มีความรู้ประสบการณ์ล้ำหน้าทุกคนไปมากหน่อยเท่านั้น แต่ก็รู้สึกดีใจ เห็นกลุ่มคนค่อยๆ เริ่มภักดีต่อตนอย่างแท้จริงจากใจเช่นนี้ ทุกคนล้วนกะตือรือร้นมองแต่มุมดี ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเสียจริง
หวังทงยกจอกเหล้าขึ้นหันไปทางนางหม่ากล่าวว่า
“น้าหม่าคืนนี้มีความสุข ข้าขอดื่มจอกนี้จอกเดียว”
นางหม่าเคารพหวังทงเป็นดังผู้มีพระคุณของครอบครัวตนมานานแล้ว วาจาเมื่อครู่ก็ย่อมไม่อาจค้านต่อ หวังทงยิ้มดื่มหมดจอก
อากาศเช่นนี้ สุรารสดีไหลลงคอไป จากนั้นก็เริ่มอุ่นวาบทั่วร่างกาย รู้สึกสบายตัวอย่างยิ่ง ไม่ได้ดื่มนานแล้ว สุราฤทธิ์แรงจอกหนึ่งก็ทำให้หวังทงรู้สึกมึนอยู่บ้าง
“นายท่าน ข้างนอกมีหญิงสาวผู้หนึ่งมาขอพบ บอกว่าเป็นแม่นางซ่งจากหอฉินก่วน”
คนงานในร้านหอรุ่งเรืองเป็นผู้มาแจ้งข่าว หลายคนที่นั่งล้วนรู้ว่าแม่นางซ่งเกี่ยวข้องใดกับหอฉินก่วน หวังทงโบกมือให้ทุกคนอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเดินเซไปมาเล็กน้อยออกไป
คนงานผู้นั้นแจ้งว่าแม่นางซ่งไปรออยู่ในเรือนรับรองส่วนตัวผู้เดียว เห็นว่าต้องการที่ลับตาคนเช่นนี้โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้หวังทงรู้สึกสงสัยขึ้นมา
พอเข้าไปในเรือนรับรอง ก็เห็นซ่งฉานฉานคลุมเสื้อคลุมอยู่ นายหญิงหอฉินก่วนยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าแลดูร้อนใจยิ่ง
พอเห็นหวังทงเข้ามา ซ่งฉานฉานก็กล่าวคารวะ ไม่รอให้หวังทงถาม ก็กล่าวขึ้นอย่างร้อนใจว่า
“นายท่านหวัง ข้าเพิ่งได้ยินข่าวมาจากหอฉินก่วน พรุ่งนี้บรรดาขุนนางราชบัณฑิตจะร่วมยื่นฎีการ้องเรียนใต้เท้า!!”
หวังทงอึ้งไป พวกขุนนางราชบัณฑิตจะยื่นฎีการ้องเรียนตน แต่ไรมาก็พยายามเลี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับขุนนางกลุ่มนี้ แม้ว่าระยะนี้จะแสดงอิทธิพลไปบ้าง แต่อย่างไรก็มีขอบเขต จะไปล่วงเกินคนพวกนี้ได้อย่างไร
พวกขุนนางราชบัณฑิตสำนักปราชญ์ ร่วมกับขุนนางบุ๋นในราชสำนักยื่นฎีกา บางครั้งก็อาจมองเป็นเพียงเสียงจักจั่นเรไร ไม่ต้องสนใจ แต่บางครั้งก็เป็นอาวุธสังหารรุนแรงได้เช่นกัน ขุนนางในราชสำนักรวมตัวกัน น้อยมากที่จะดำเนินการด้วยตนเอง เรื่องพวกนี้มักจะต้องเริ่มจากหัวหน้าหน่วยหรือไม่ก็เจ้ากรมตรวจสอบ”
แต่ตนเองไปล่วงเกินผู้ใดกันแน่จึงได้ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เหตุการณ์ที่หอรับวสันต์และหอฉินก่วน ยังมีการวิวาทบนท้องถนน ได้ล่วงเกินขุนนางและชนชั้นสูงไปจริง แต่หากอีกฝ่ายต้องการเอาคืน ก็ไม่เห็นต้องรอมาคิดบัญชีกันเอาตอนนี้
จะว่าไป ที่ใหญ่สุดอย่างเสนาบดีกรมปกครองจางฮั่นก็ล้มไปแล้ว จวนผิงอันโหวพอได้พบกับอู่ชิงโหว ก็ไม่กล้าเอาเรื่องอีก สำหรับกงเถี่ยชวน รองเจ้ากรมอาญานั่น ก็ยิ่งไม่ถือว่าเป็นบุคคลสถานะยิ่งใหญ่อันใด
นอกจากคนพวกนี้แล้ว คนอื่นๆ ในเมืองหลวงเห็นว่าเบื้องหลังตนมีมหาขันทีจางเฉิง รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ พวกที่รู้มากหน่อยยังรู้ว่ามีมหาขันทีเฝิงเป่า หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์อีกด้วย ผู้ใดก็ไม่กล้าล่วงเกินตน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังที่แท้จริงเป็นถึงโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์หมิง ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เล่นและคุยกับตนทุกวัน ใครกล้ายุ่งกับตน บางทีพวกขุนนางพวกนี้อาจได้ยินพฤติกรรมของตนมาโดยบังเอิญ จึงได้ยื่นฎีกา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
คิดถึงตรงนี้ หวังทงก็รู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย โบกมือยิ้มกล่าวว่า
“ไม่เป็นไรๆ อาจเป็นพวกขุนนางที่น่าเบื่อหน่าย ไม่มีเรื่องก็หาเรื่อง จะทำอะไรข้าได้”
หวังทงกล่าวอย่างเชื่อมั่นในตนเองเช่นนี้ ซ่งฉานฉานกลับยิ่งร้อนใจ เขยิบเข้ามาใกล้ขึ้นกล่าวอย่างหวาดหวั่นร้อนใจว่า
“นายท่าน คนระดับท่านไม่รู้ว่าเหตุการร่วมเข้าชื่อพวกนี้ พวกราชบัณฑิตขุนนางปกติก็ระวังตัวกัน ไหนเลยจะกระทำการเช่นนี้ง่ายๆ ต่างก็กลัวว่าครอบครัวตนจะต้องล้มครืนอนาคตสิ้นกันทั้งนั้น การร่วมลงชื่อเช่นนี้ เบื้องหลังย่อมมีขุนนางใหญ่หนุนหลัง นายท่าน ท่านต้องเตรียมตัวล่วงหน้า…”
วาจาของซ่งฉานฉานทำหวังทงเริ่มร้อนใจ คิดไปคิดมา ระยะนี้ตนเองไม่ได้ทำอะไรเกินเลยสักอย่าง เรื่องใหญ่ที่ทำไปมีเรื่องเดียว ก็คือทูลเตือนฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการยับยั้ง เรื่องพวกนี้มีผู้ล่วงรู้ นั่นก็ย่อมสร้างความดีความชอบ มีแต่เรื่องดีกับเส้นทางอนาคตดีถึงจะถูก
และยังกล่าววาจาอีกมากมายนับพันหมื่น เบื้องหลังตนเองมีโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์หมิง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ ผู้ใดกล้าทำอะไรตน คิดถึงตรงนี้ ในใจหวังทงก็สงบนิ่งลง กล่าวขึ้นว่า
“เจ้ายังไม่รู้ว่าที่พึ่งพิงเบื้องหลังข้าคือผู้ใด ขุนนางเหล่านี้จะทำอะไรได้ วางใจได้”
พูดอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ซ่งฉานฉานก็ยิ่งร้อนรนถึงกับคุกเข่าลง ลนลานกล่าวขึ้นว่า
“นายท่าน ป้ายสงบสุขขูดรีดเงินไปได้หลายหมื่นตำลึง เบื้องหลังหอคณิกาหรือบ่อนพนันใดไม่มีชนชั้นสูงในเมืองหลวงอยู่เบื้องหลัง นายท่านรีดเอาเงินพวกเขาไป ก็เหมือนว่าขูดเนื้อพวกเขาไปด้วย พวกเขาเหล่านั้นก็ย่อมโกรธแค้นนายท่านอย่างมาก การร่วมกันยื่นฎีกาของบรรดาขุนนางครั้งนี้ เกรงว่าจะเป็นกำแพงล้มหมู่ชนผลักซ้ำ คนในเมืองหลวงทุกคนก็จะร่วมเล่นงานใต้เท้าไปด้วยนะเจ้าคะ!”
หวังทงมึนเมาฤทธิ์สุราเล็กน้อย ถามกลับอย่างว้าวุ่นใจว่า
“ข้าก็รีดเอาเงินจากหอฉินก่วน ทำไม่เจ้ายังมาคิดเพื่อข้าด้วยเล่า”
วาจานี้ทำร้ายจิตใจยิ่งนัก ซ่งฉานฉานกลับไม่สนใจอะไรมากนัก คุกเข่าลงโขกศีรษะหลายที กล่าวน้ำเสียงสะอื้นไห้ว่า
“นายท่านจางฮั่นออกจากตำแหน่งลากลับบ้านเกิดไปแล้ว ในเมืองหลวงไม่รู้ว่ามีหมาป่ากระหายสักเท่าไรที่จ้องมองหอฉินก่วนและตัวข้า หากนายท่านไม่อยู่ ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี”
จากนั้นยังโขกศีรษะต่อ หวังทงก้าวขึ้นหน้ามาใกล้ดึงนางให้ลุกขึ้น ถอนหายใจกล่าวว่า
“ข้ากล่าวไร้มารยาทไปแล้ว เจ้าผู้หญิงตัวคนเดียวแบกรับมากมายเพียงนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
ซ่งฉานฉานได้ยินเช่นนี้ ก็ทนต่อไปไม่ไหวอีก น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่อาจกล่าววาจาใดได้อีกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“แม่นางซ่งไม่ต้องเป็นกังวล เบื้องหลังข้ามีผู้ใดหนุนอยู่ เจ้าแม้แต่จะนึกก็คงนึกไม่ถึง ข้าขอกล่าวไว้ตรงนี้เลย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้องหอฉินก่วนเจ้าได้”
ซ่งฉานฉานอึ้งไปกับความมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยมของหวังทง การสนทนานี้จึงไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีก หวังทงตบบ่านางเบาๆ กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ฟ้ามืดมากแล้ว ขุนนางพวกนั้นคงไม่อาจยื่นฎีกาข้าในคืนนี้ได้ มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยคิดกันก็ไม่สาย”
*******
งานเลี้ยงคืนวานนี้ ทุกคนพบว่าหวังทงกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ลองถามดูก็ไม่พูดอะไรสักคำ ทุกคนจึงไม่อาจครื้นเครงกันต่อไปได้ กินบะหมี่น้ำเสร็จก็พากันสลายตัวกันไปทันที
คืนนี้หวังทงนอนไม่หลับ ซ่งฉานฉานรู้ว่าตนเองไม่เกรงกลัวเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน ไม่เกรงกลัวนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ถึงกลับไม่กลัวอันผิงโหว ไม่กลัวเสนาบดีกรมปกครอง แต่การมาแจ้งข่าวด้วยท่าทางลนลานหวาดกลัวเช่นนี้ หรือว่าขุนนางพวกนี้ นอกจากเป็นสิ่งของไร้สามารถที่รู้หนังสืออย่างเดียวทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นพวกนั้น ฎีกาพวกเขานั้นจะทำอะไรตนได้ อย่างน้อยเรื่องการไว้ทุกข์นี้ ตนก็ยืนถูกข้าง ท่านจางย่อมไว้วางใจคนอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นบุคคลสำคัญหลักแห่งราชวงศ์หมิงก็ย่อมเป็นผู้ให้การสนับสนุนเบื้องหลังตน หรือยังต้องกลัวให้ได้กัน
แต่เมื่อพลิกตัวคิดไปคิดมา สุดท้ายก็นอนไม่หลับ ด้วยนิสัยเดิมของหวังทง หันไปเปิดหีบออก คิดจะแกะปืนไฟมาจัดประกอบใหม่ แต่พอเปิดออกมาจึงค่อยนึกได้ว่า ปืนไฟนั้นส่งมอบให้พวกเฉียวต้าพวกนั้นไปเป็นต้นแบบแล้ว
เช้าตรู่ตื่นขึ้นมา แสงตะวันสักแสงหนึ่งก็ยังไม่มีให้เห็น หวังทงก็ขึ้นมาฝึกเพลงทวน จิตใจจึงได้สงบลง แต่วันนี้ไม่ได้ไปตรวจกิจการของตนเหมือนเช่นปกติ ได้แต่รอคอย
ฟ้าค่อยๆ มีแสงรำไร แต่ท้องฟ้ายังคงเต็มไปด้วยเมฆสีเทา ทะมึนจนทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด ได้ยินเสียงระฆังเสียงกลองดังมาจากวังหลวง โจวอี้ก็ควรจะมาที่นี่แล้ว หวังทงรีบเปิดประตูออก
วันนี้โจวอี้มาเช้าอยู่ สีหน้าก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรแปลกไป ยังคงนุ่มนวลดังเดิม หวังทงยังไม่ทันได้สอบถาม โจวอี้ก็ยิ้มเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“ทำงานในสำนักส่วนพระองค์ ทุกวันกาแต่ชาดแดง ยังต้องเขียนอักษรให้สวย ลายอักษรเฝิงกงกงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง อักษรของท่านพ่อบุญธรรมข้าเจ้าก็คงยังไม่เคยได้เห็นมาก่อน มาๆ พวกเรามาเปิดหูเปิดตากัน”
โจวอี้ยิ้มพลางล้วงเอาม้วนกระดาษออกมาจากอกเสื้อ กางออกไว้ในฝ่ามือ เป็นแค่กระดาษสี่เหลี่ยมกว้างราวฟุตหนึ่ง ด้านบนมีอักษรเขียนได้สัดส่วนสวยงามเพียงคำเดียว
“อดกลั้น!”