ตอนที่ 186 สำนักรักษาความสงบ ในที่สุดก็ได้พบกัน
ในรับสั่งของฮ่องเต้ว่านลี่เต็มไปด้วยความไม่พอพระทัยเฝิงเป่าและจางจวีเจิ้ง จางเฉิงฟังอยู่ข้างๆ แค่เบื้องหน้านี้ก็รู้แล้วว่าผู้ใดเป็นผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยที่สุดในวังหลวง
หน่วยงานที่หวังทงอธิบายมาเมื่อครู่ ทั้งสองก็ฟังกันอย่างตั้งใจ แต่ก็รู้สึกว่านี่เป็นการวางหมากไว้เพื่อตนเองของหวังทง สุดท้ายคนที่ควบคุมหน่วยงาน แปดเก้าส่วนก็ย่อมเป็นบุคคลที่หวังทงเสนอ
คิดไม่ถึงว่าคนสองคนที่หวังทงพูดถึง หนึ่งเป็นขุนนางบุ๋น อีกหนึ่งเป็นจางเฉิง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหวังทง การตั้งหน่วยงานใหม่นี้ อาจกล่าวได้ว่าไม่ได้เพื่อประโยชน์ตนเองเลย
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้นว่า
“ทุกครั้งราชสำนักจะเก็บภาษีเพิ่ม ตั้งแต่บนลงล่างก็บอกว่าห่วงใยประชา ราชสำนักไม่ควรรีดเอาจากประชา หน่วยงานใหม่นี้หากตั้งขึ้น ก็ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ แล้วจะรับมืออย่างไร?”
ฮ่องเต้เริ่มสอบถามรายละเอียด แสดงให้เห็นว่าทรงยอมรับในเรื่องนี้ เริ่มครุ่นคิดหาทางดำเนินการ หวังทงคิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว จึงทูลตอบเสียงดังกังวานว่า
“เก็บจากประชา ใช้เพื่อประชา ทั้งเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนกำแพงเมืองและการที่ราชสำนักใช้เงินก้อนใหญ่ไปขนเสบียงมาจากทางใต้ มิใช่ว่าใช้เงินทองมากมายหรอกหรือ มาตั้งรกรากกันในเมืองหลวงทำมาหากินกัน ได้รับประโยชน์ตรงนี้ฟรีๆ กลับไม่มีตอบแทนราชสำนักแม้แต่สตางค์แดงเดียว นี่มันสมเหตุสมผลที่ไหนกัน??”
การเก็บภาษีการค้าในราชวงศ์หมิงเป็นเรื่องน่าขัน ร้านค้าบนถนนทักษิณมีมากมาย หวังทงเคยคุยสนทนากันอยู่ พอเข้าใจเรื่องราวที่พวกเขาต่างรู้สึกแปลกประหลาด
ตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้งที่ 42 ถึงตอนนี้เก็บภาษีการค้ามาได้แค่สองครั้ง วิธีการเก็บก็เหลวไหลสิ้นดี เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนวางสมุดบัญชีไว้ที่หน้าประตู วางกล่องไว้ เจ้าหน้าที่ศาลตีกลองแจ้งให้ทุกคนรับทราบ
พ่อค้าที่ยอมเสียภาษีก็จะมาจดรายได้ของตนลงในสมุดบัญชีที่หน้าประตูศาล จากนั้นก็โยนเงินที่ควรจ่ายลงกล่อง ที่ประตูไม่มีคนมาเฝ้าแม้แต่คนเดียว
ว่ากันวางไว้ได้สามวัน ทั้งหมดได้มาเพียง 33 ตำลึง ทำเอาขันทีที่รับหน้าที่ดูแลงานนี้จากสำนักอาชาหลวงผู้นั้นถึงกับโกรธจนเกือบเป็นลม แต่เจ้ากรมศาลผู้นี้กลับได้รับการยอย่องว่าเป็นขุนนางมือสะอาด ไม่รังแกประชา
กิจการและการค้าภายในและภายนอกในราชวงศ์หมิงนั้นค่อยๆ รุ่งเรืองมาถึงวันนี้ได้ แทบไม่เก็บภาษีพ่อค้าเลย แต่กลับไปคิดเอาจากที่นาของชาวบ้านตาดำๆ ไม่รู้จริงๆ ว่า คิดไม่เข้าใจหรือว่าตั้งใจจะทำเช่นนั้น
ป้ายสงบสุขนับเป็นการเก็บภาษีครั้งแรกที่ขอแบ่งกำไรการค้าครั้งใหญ่ ก้าวต่อไปหวังทงคิดว่า ปีหน้าก็จะเปิดป้ายสงบสุขเบอร์เล็ก ร้านค้าธรรมดาก็ต้องจ่ายภาษี แต่น่าเสียดายตอนนี้ต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว ไม่มีทางดำเนินการต่อไป
ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะพระหัตถ์ลงบนเก้าอี้เบาๆ ค่อยๆ ตรัสว่า
“ท่านจางกล่าวว่า ใต้หล้าร่ำรวย เป็นสิ่งที่ควร ท้องพระคลังก็ต้องสะสมไว้ให้มากด้วยการ หนึ่งต้องจัดการที่นา หาพวกคดโกงที่แอบซ่อนที่นาออกมาให้พบนเพื่อจัดเก็บภาษีเพิ่ม สอง ต้องรวมภาษีกับการเกณฑ์แรงงาน การเกณฑ์แรงงานเป็นฝันร้ายประชา หากไม่หักเป็นเงินแทน ต้องการใช้แรงงานที่ไหนก็ส่งไปที่นั่น นับเป็นการสูญเสียและการชดเชยที่ไร้ค่า สาม ได้เท่าไรใช้เท่านั้น ประหยัดรายจ่ายด้านต่างๆ แต่ที่หวังทงว่ามา หากดำเนินการในเมืองหลวง หากทุกแห่งราชวงศ์หมิงทำเช่นนี้ล่ะก็ ก็ต้องดูว่ามีเท่าไร”
ขณะทรงซักถามนั้นก็เหมือนกับกำลังทรงพึมพำกับพระองค์เอง แต่หวังทงก็ฟังเข้าใจไม่น้อย จางจวีเจิ้งอัดแนวนโยบายเศรษฐกิจให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ควรจะรัดเข็มขัดพระคลัง และยังเน้นเรื่องจัดการที่นาเป็นสำคัญ
แม้ว่าหวังทงเพิ่งจะออกจากเมืองหลวงไปได้ครั้งเดียว แต่ก็รู้ว่าเขตแดนใต้ไม่ว่าที่เมืองซูซงฉังหรือเจ้อเจียงบนที่ราบหังเจียหู หรือที่มณฑลหูกว่าง เจียงซี กวางตุ้งที่เหล่านี้มีการค้ารุ่งเรืองหาที่เปรียบมิได้ รายได้กำไรของร้านค้าพวกนี้ก็ไม่รู้ว่ามากกว่าบรรดาพวกทำไร่ทำนาที่ต้องลำบากคอยฟ้าคอยฝน แต่กลับไม่มีใครมาเก็บภาษี
“กระหม่อมขอทูลแทรกสักคำ ที่หวังทงกล่าวมาเป็นจริงอย่างยิ่ง แต่ฝ่าบาทอย่าได้ตรัสเรื่องเมื่อครู่นี้ออกไปนะพะยะค่ะ”
จางเฉิงที่มักทำการรอบคอบอดแทรกขึ้นไม่ได้ เห็นสายตาของฮ่องเต้น้อยและหวังทงมองมา ก็เสียงอ่อยว่า
“ฝ่าบาท การค้าพวกนั้น ประชาชนทั่วไปทำได้ที่ไหน เบื้องหลังล้วนมีสายสัมพันธ์กับขุนนางในราชสำนักทั้งนั้น ทางใต้แต่ละแห่งก็เป็นเช่นนี้ หากเอาภาษีจากพวกเขาก็เท่ากับเฉือนเนื้อพวกเขาออก หากฝ่าบาทมีพระประสงค์ในเรื่องนี้ ย่อมเป็นที่ลุกฮือในราชสำนัก จะนำมาซึ่งความวุ่นวายใหญ่หลวง ทำไมท่านจางจึงสนใจแต่เรื่องภาษีที่นา ไม่สนใจภาษีการค้าใหญ่ ท่านจางคงคิดในเรื่องนี้นะพะยะค่ะ!”
แม้แต่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างจางจวีเจิ้งยังเกรงในเรื่องนี้ แค่คิดก็รู้ว่า เข้าไปยุ่งเรื่องรายได้ของกลุ่มการค้าพวกนี้ก็ย่อมถูกต่อต้าน
ฮ่องเต้น้อยสีพระพักตร์สงสัยขึ้น ตรัสถามเสียงแผ่วเบาว่า
“หากเก็บภาษีในเมืองหลวง หรือว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายกัน พ่อค้าพวกนั้นเบื้องหลังคือผู้ใด เราก็พอรู้ไม่น้อย”
“ฝ่าบาท ในเมืองหลวง ใกล้พระเนตรพระกรรณ ยังไม่ถึงขั้นไร้ความเกรงกลัวเบื้องบน สำนักคณิกาและบ่อนพนันก็เก็บมากหน่อย ร้านค้าปกติก็เก็บน้อยหน่อย ไม่ใช้คำว่าภาษี แต่บอกว่าเป็นค่าใช้จ่ายซื้อป้าย คิดว่าพวกเขาย่อมไม่ว่าอะไร”
หวังทงเขยิบเข้าใกล้มาทูลเสริม ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ตัดสินพระทัย ตรัสว่า
“จางปั้นปั้น หวังทงกล่าวได้มีเหตุผล ท่านเป็นคนดูแล เรื่องศาลซุ่นเทียนนั่นก็มอบให้หลี่ว์อะไรนั่นไปจัดการละกัน คนสำนักบูรพาให้ท่านเลือกใช้ได้ สำนักองครักษ์เสื้อแพรนั่นก็ให้หวังทงแนะนำที่ไว้ใจได้มา จัดการเรื่องนี้พร้อมกัน งานนี้ให้เป็นงานของสำนักส่วนพระองค์ ตั้งชื่อว่าอะไรดีนะ?”
“สำนักรักษาความสงบ”
“ชื่อนี้ดี รักษาความสงบยืนนาน สำนักรักษาความสงบก็ให้เจ้าหน้าที่หลี่ว์ศาลซุ่นเทียนผู้นั้นมาดูแล ทุกเรื่องให้รายงานจางเฉิงโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับศาลซุ่นเทียน”
จางเฉิงล้วงสมุดออกมาจากอกเสื้อ และพู่กันกับกระบอกทองแดงออกมาจากเอว หยิบพู่กันจุ่มในกระบอกทองแดง รีบจดลงไปอย่างเร็ว
เรื่องนี้นับว่าจัดการก้าวแรกแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่มองหวังทง สีพระพักตร์โปรดปรานยิ่ง แย้มพระสรวลตรัสว่า
“ยิ่งได้คุยกับเจ้า เราก็ยิ่งอยากรั้งเจ้าไว้ น่าเสียดาย เงินทองที่ได้มาจากสำนักรักษาความสงบจะต้องไม่ให้เจ้าเสียเปรียบแน่ ทุกปีจะแบ่งให้เจ้าหนึ่งในสาม”
จากการคำนวณของหวังทงจากที่ผ่านมา สำนักรักษาความสงบหากเก็บได้ปีละสองแสนตำลึงก็คงได้แต่กล่าวว่าผู้ดูแลไม่สามารถพอ แม้ว่าเป็นเช่นนี้ ตัวเลขหนึ่งในสามก็ตั้งเจ็ดหมื่นตำลึง นับเป็นเงินจำนวนมหาศาลไม่น้อย
หวังทงรีบคุกเข่าลง โขกศีรษะขอบพระทัย พอศีรษะโขกพื้นก็นึกอะไรออก ตอนเงยหน้าขึ้นก็ทูลเสียงดังว่า
“เก็บจากประชา ใช้เพื่อประชา เงินทองที่ข้าได้มาก็จะต้องใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน”
วาจากล่าวได้โดนพระทัยพอดี ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์ไปมองจางเฉิง ตบพระหัตถ์ทีหนึ่ง ยิ้มตรัสว่า
“ดูๆ นี่สิเรียกว่าภักดีซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน นี่สินับเป็นขุนนางภักดีของเรา เจ้าคิดจะใช้เงินยังไง?”
หวังทงเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ฝ่าบาท ลานฝึกหู่เวยเปิดมาถึงตอนนี้ก็พอมีผลงานบ้าง เด็กขยันฝึกฝนเรียนรู้ มีอาจารย์ดีมาชี้แนะ ตอนนี้ล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ขุนพล หากเลิกไปตอนนี้ เกรงว่าน่าเสียดายเกินไป หากมีคนอยากตามกระหม่อมไปเทียนจิน กระหม่อมก็จะไปตั้งลานฝึกที่นั่น ฝึกฝนผู้ภักดีให้มากเพื่อรับใช้ฝ่าบาท ทั้งได้ฝึกฝนผู้กล้ามากความสามารถ และยังมีทหารชั้นยอดที่ภักดีต่อฝ่าบาทอย่างสูงสุด จะได้สร้างผู้มีความสามารถให้แก่ราชวงศ์หมิงไว้ใช้งานให้มากขึ้น”
ได้ยินวาจาหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้สึกตื้นตันพระทัยยิ่ง ลุกขึ้นจากที่ประทับตรัสเสียงดังว่า
“เงินทองพวกนี้นับว่าใช้จ่ายถูกที่แล้ว เด็กๆ ที่ลานฝึกอยู่กับเรามาทุกวัน ล้วนเป็นผู้กล้าอายุน้อย ล้วนเป็นอนาคตเสาหลักแห่งราชวงศ์หมิง หากเสียไปเปล่า มิใช่น่าเสียดายหรือ เรียนมาเพื่อใช้งาน ฝึกให้เป็นทหารที่ภักดีเรา ให้เด็กพวกนั้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของลานฝึกทหารจริง ทำได้ดี ทำได้ดี!!”
รอยหมึกบนกระดาษที่จางเฉิงจดบันทึกแห้งแล้ว กำลังจะพับเก็บ ได้ยินที่ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงสนทนากัน ก็อดส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ได้
ขันทีชราผู้นี้รู้สึกได้ว่า หวังทงอายุไม่มาก แต่สามารถเข้าถึงพระทัยฮ่องเต้ อายุแค่นี้ จะไปเข้าใจการฝึกทหารได้อย่างไร ก็แค่เอาพระทัยฮ่องเต้เท่านั้น แต่เรื่องการเอาพระทัยนี้นับเป็นอันดับหนึ่งบนอันดับหนึ่งจริงๆ
“ทุกคนล้วนมาจากลานฝึกหู่เวย ทหารที่เจ้าฝึกมาก็เรียกว่ากองกำลังหู่เวยละกัน ให้อยู่ภายใต้สำนักอาชาหลวงไปก่อน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสด้วยความตื่นเต้นดีพระทัย หวังทงโขกศีรษะลงกับพื้น ทูลขอบพระทัยเสียงดังก้องว่า
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระราชทานชื่อนี้!!”
********
เด็กๆ ลานฝึกที่สวมชุดทหารระดับหกรวมตัวกันอยู่ที่สนามได้ครึ่งชั่วยามแล้ว แม้ว่าสวมเสื้อผ้าไม่น้อย แต่ยืนไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น ยังเป็นช่วงเดือนสิบสองอันหนาวเหน็บ ก็พอให้หนาวสั่นกันอยู่บ้าง
มีบางคนกระโดดเบาๆ ไปมา แต่ทุกคนก็มิได้บ่นเรื่องหนาว แต่มองซ้ายมองขวาแอบวิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น
รอบๆ ขบวนแถวสี่เหลี่ยมของเด็กๆ ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นกองทหารเต็มยศ จับตามองมาที่เด็กๆ ด้านนอกของทหารพวกนี้ ยังเป็นขันทีที่ทำหน้าที่ต่างๆ เป็นเพราะฮ่องเต้จะมาดูทุกคนจริงๆ
เด็กถูกเรียกออกจากที่พักให้มารวมตัวกันที่นี่ เพิ่งบอกว่าฮ่องเต้จะเสด็จ ต้องการพบทุกคน
ตอนนี้ไม่มีคนสงสัยอีกแล้วว่าลานฝึกหู่เวยนี้เป็นลานฝึกกองทัพของราชสำนักหรือไม่ มีมหาขันทีจากสำนักอาชาหลวงและขุนพลมีชื่อมาสอน สวมชุดทหารระดับหก ควรรู้ว่าบรรดาบิดา อา พี่ชายและญาติๆ ของเด็กพวกนี้ก็เป็นแค่ทหารระดับหกเช่นกัน มีไม่น้อยที่ยังต่ำกว่านี้ ความประหลาดใจนี้ยังไม่เท่ากับที่ฮ่องเต้รับสั่งให้เข้าเฝ้า
ทุกคนยินดีอย่างยิ่ง ต่างคิดถึงอนาคตตัวเองว่าจะเป็นเช่นไรกัน เฉินซือเป่าที่มาจากตระกูลดี ก็พอรู้ว่าระยะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงในราชสำนัก พวกที่รวมตัวกันอยู่แถวหลังก็แอบวิพากษ์วิจารณ์กัน สงบเสงี่ยมกว่ายามปกติไม่น้อย
หลี่หู่โถวกลับมองไปมองมา อดไม่ได้กล่าวว่า
“พี่หวังไปไหนกัน หวงอี้จวินไปไหนกัน ฮ่องเต้จะมา เรื่องนี้เขาสองคนไม่อยู่ได้ไง”
ขันทีหลายคนหน้าตานิ่งเฉยไร้อารมณ์เดินไปเดินมาอยู่หน้าขบวน กำชับไม่หยุด บอกเด็กๆ ว่าจะต้องถวายคำนับอย่างไร อย่าได้เสียธรรมเนียมต่อเบื้องพระพักตร์
ได้ยินเสียงลากยาวตะโกนดังมาว่า ฝ่าบาทเสด็จ~~~
บรรดาทหารเบื้องหน้าเด็กทุกคนก็แยกออกเป็นสองแถว มีคนผู้หนึ่งสวมชุดมังกรค่อยๆ เดินมาบนแท่นไม้ชั่วคราวเบื้องหน้าขบวนแถวของเด็กๆ
บรรดาขันทีรีบกระซิบว่า “รีบคุกเข่า คุกเข่า!”
เด็กๆ มิได้ทำตาม สายตาทุกคู่มองตาค้างไปยังฮ่องเต้บนแท่นประทับ มีใครสักคนอดไม่ได้เอ่ยขึ้นว่า
“นี่มันหวงอี้จวินไม่ใช่หรือ หรือว่าเขาเป็นฮ่องเต้!!!???”