ตอนที่ 188 ขอคำนับฝากตัวกับผู้มีพระคุณ ย้ายบ้านวางแผน
“หวงอี้จวินเป็นฮ่องเต้ หวงอี้จวินเป็นฮ่องเต้”
“ไปอยู่บ้านศิษย์พี่เจ้าไป เอาแต่บ่นมาทั้งคืนแล้วเนี่ย!!”
ในห้องโถงบ้านหวังทง หลี่หู่โถวเห็นได้ชัดว่าตื่นตกใจเกินไป พอกินข้าวเย็นเสร็จก็เดินวนไปมา ปากก็พร่ำบ่นไม่หยุด
หลี่เหวินหย่วนและคนอื่นๆ รวมตัวกันอยู่ในบ้านหวังทง เด็กน้อยนี้โดดไปมา ทุกคนไม่ต้องคุยธุระกันพอดี หลี่เหวินหย่วนขมวดคิ้วดุไป
หลี่หู๋โถวก็หัวหด เลิกม่านวิ่งออกไปทันที ในห้องหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นพร้อมกัน บรรยากาศดีขึ้นมาก
คนของหวังทงพวกนี้ หลายวันนี้เตรียมตัวสำหรับเหตุเภทภัย จัดการครอบครัวตนเอง สำรวจเส้นทางออกนอกเมือง ที่พักแรมแรกก็กำหนดไว้ที่ริมแม่น้ำหนึ่ง
แต่พอหวังทงรับคำสั่งมา บ่ายวันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ยังไปที่ลานฝึกกล่าวเรื่องเหล่านั้นอีก ความกังวลของทุกคนก็มลายหายไป ตอนนี้สีหน้าทุกคนในห้องล้วนยินดีปรีดายิ่ง
สำหรับซุนต้าไห่กับจางซื่อเฉียงแล้ว ที่พึ่งเบื้องหลังหวังทงเป็นผู้ใดพวกเขาไม่รู้ จากเมืองหลวงไปก็คิดแค่ว่าหลบภัย
คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้รู้ว่าเบื้องหลังที่พึ่งของหวังทงเป็นถึงฮ่องเต้ว่านลี่ และภารกิจที่ได้รับมาก็ไม่เหมือนว่าเป็นเภทภัยอันใด สำหรับองครักษ์เสื้อแพรอย่างพวกเขาแล้ว หัวหน้าตนถูกส่งไปประจำการนอกเมืองหลวง และยังได้นำกองกำลังพันนายคุมพื้นที่ พวกเขาไม่อยากจากหวังทงไป ไม่ใช่เพราะวาสนาเงินทองอันใด แต่พวกเขาคิดเพียงว่า นายตนได้งานอวบอ้วนนอกเมืองนี้ ตนก็ต้องติดตามไปเติบโตไปด้วยไม่ใช่หรือ
ตอนนี้ทุกคนเป็นนายกองธงเล็ก ไปถึงเทียนจิน อย่างไรก็คงได้ตำแหน่งนายกองร้อยกันบ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นั่นอุดมสมบูรณ์เพียงใด
หม่าซานเปียวกับถานเจียงกลับยุ่งวุ่นวาย หลายเรือนก็เคลื่อนย้ายของไปหมดแล้ว ดำรงชีวิตไม่สะดวกนัก หวังทงอีกห้าวันออกเดินทาง ของที่ได้ใช้ก็เอาไปด้วยทั้งหมด
หวังทงกวาดตามอง สีหน้าทุกคนอยู่ในสายตาหมด กำลังจะกล่าว ก็ได้ยินหม่าซานเปียวตะโกนดังมาจากด้านนอกว่า
“นายท่าน นายกองหลี่ว์มา”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็หันไปทางหลี่เหวินหย่วนกล่าวว่า
“เรื่องประตูอันติ้งนั้นสอบถามมาได้ความว่าอย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า ถามมาแล้ว ผู้ทำผิดหากต้องผ่านประตูอันติ้ง ก็ต้องจ่ายเงินก่อน รอให้คนแซ่ต่งผู้นั้นประจำการ ออกนอกประตูเมืองก็ไม่มีผู้ใดสอบถามขัดขวาง”
หลี่เหวินหย่วนกล่าวจบ หวังทงก็ตะโกนออกไปด้านนอกว่า
“เชิญใต้เท้าหลี่ว์เข้ามา!”
ก็เพียงแค่ช่วงเวลาถามไม่กี่คำ รู้สึกไม่ได้ว่ารอคอยอะไร หลี่ว์วั่นไฉสวมชุดสามัญก้าวยาวๆ เข้ามา พอเข้ามาก็ประสานมือคารวะอย่างเป็นทางการ ปากกลับบอกว่า
“ยินดีกับน้องหวังที่ได้เลื่อนตำแหน่ง ขออวยพรล่วงหน้าก่อนว่าขอให้อนาคตยาวไกล”
“ใต้เท้าหลี่ว์เกรงใจไปแล้ว เชิญนั่งๆ”
ทุกคนในห้อง โดยเฉพาะซุนต้าไห่ที่เป็นพวกอารมณ์ร้อน พอเห็นหลี่ว์วั่นไฉเข้ามาก็ชักสีหน้าใส่ทันที จางซื่อเฉียงกับหลี่เหวินหย่วนก็สีหน้าเรียบเฉย หวังทงก็รู้ว่า หลี่ว์วั่นไฉเป็นขุนนางบุ๋น ทำได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว เมื่อครู่เข้ามาก็คารวะ ความจริงก็คือการขอโทษ
เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหวังทงแล้ว ในใจหลี่ว์วั่นไฉก็คลายลง เอียงตัวนั่งลง หวังทงหันมากล่าวกับหลี่เหวินหย่วนว่า
“พี่หลี่ ข้าไปครานี้ ในเมืองก็มอบให้ท่านช่วยดูแล ถึงตอนนั้นโปรดช่วยดูแลด้วย”
หลี่เหวินหย่วนรีบลุกขึ้น ก้มตัวประสานมือกล่าวว่า
“ขอใต้เท้าวางใจ กิจการใต้เท้าในเมืองหลวง ข้าน้อยจะเฝ้าให้อย่างดีแน่นอน ไม่ให้เสียหายแม้แต่น้อย”
“วันหน้าที่ท่านต้องยุ่งวุ่นวายมิใช่แค่เฝ้าแล้ว งานที่ต้องทำยังอีกมาก”
หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น มองสีหน้างุนงงของหลี่เหวินหย่วน เขาจึงเล่าเรื่องสำนักรักษาความสงบที่ได้สนทนากับฮ่องเต้วันนี้ให้คนในห้องฟัง เล่าอย่างละเอียดทุกซอกมุม ซุนต้าไห่กับจางซื่อเฉียงไม่ค่อยรู้อะไร แต่หลี่เหวินหย่วนที่เป็นคนที่สงบนิ่งมาโดยตลอดกลับตื่นเต้น พัดจีบที่ไม่เคยห่างมือของหลี่ว์วั่นไฉร่วงลงพื้น
เขาก้มลงไปเก็บ พอลุกขึ้นก็คิดไปมา ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าหวังทง คำนับสามที จากนั้นก็ลุกขึ้นประสานมือกล่าวว่า
“หากไม่ได้ใต้เท้าสนับสนุน จะมีวาสนาเช่นนี้ตกลงบนหัวข้าได้อย่างไร วันหน้าใต้เท้าเป็นผู้มีพระคุณของข้าแล้ว จะให้บุกน้ำลุยไฟ ย่อมไม่รั้งรอ”
กล่าวอย่างหนักแน่นจบก็โขกศีรษะอีกที ผู้ที่พอมีประสบการณ์ในวงราชการก็รู้ได้ว่าสำนักรักษาความสงบนี้หมายถึงอะไร แม้ว่าตำแหน่งไม่เปลี่ยนแปลง และอาจจะถูกราชสำนักโจมตี แต่ก็เป็นวาสนาใหญ่ ก็เหมือนว่าทุกคนด่าสำนักบูรพาและองครักษ์เสื้อแพรว่าเป็นสุนัขราชสำนัก แต่หากมีโอกาสได้เป็น ไม่มีใครไม่อยากเป็น
สืบข่าวทั่วไป รายงานตรงต่อฮ่องเต้ นี่หมายถึงอะไรกัน นี่มันเรียกได้ว่าอยู่ๆ ได้เข้าไปอยู่ในตำแหน่งแกนหลักกะทันหันเลยทีเดียว หรือจะเรียกว่ามีโอกาสรับใช้แกนหลักเลยก็ว่าได้
หลี่ว์วั่นไฉเป็นแค่บัณฑิตระดับจวี่เหริน ตั้งแต่ได้พบหวังทง ก็มีเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อย แต่ก็ร่ำรวย เส้นทางราชการนี้มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นยินดีไม่หยุด
ตอนนี้ยิ่งรู้ว่าหวังทงเป็นสายตรงฮ่องเต้ แม้ว่าไปไกลจากเมืองหลวงวันหน้าไม่รู้เป็นเช่นไร แต่เมื่อสามารถทูลให้ฮ่องเต้ตั้งสำนักรักษาความสงบขึ้นมาได้ แม้แต่คนประจำตำแหน่งก็เสนอได้
ได้รับความไว้วางใจต่อเบื้องพระพักตร์เพียงใดกัน ต้องได้รับความโปรดปรานเพียงใดจึงทำได้กัน พฤติกรรมที่หัวหดในที่แจ้ง แอบส่งข่าวในที่ลับของตนก่อนหน้านี้ แม้ว่าตนจะคิดว่าก็ไม่ง่ายแล้ว หวังทงจิตใจนักเลงแต่อายุน้อยเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะรู้สึกว่าทิ้งกันได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าพอเข้ามาก็เห็นสีหน้าพวกซุนต้าไห่ไม่ถูกต้องนัก
บุคคลเช่นนี้ ขอฝากตัวไว้ย่อมไม่เสียเปรียบ เกรงก็แต่ว่าสายไปเสียแล้ว
สำหรับการคำนับใหญ่ของหลี่ว์วั่นไฉ หวังทงไม่ได้เข้าไปประคอง กลับนั่งอยู่ตรงนั้นยิ้มกล่าวว่า
“สำนักรักษาความสงบมีความสำคัญกับพวกเรามาก เหวินหย่วนกับวั่นไฉอยู่ ต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงให้พวกเราได้แน่นอน อย่าได้ปล่อยคนอื่นมาแย่งไปได้”
ได้ยินหวังทงกล่าวดังนี้ หลี่เหวินหย่วนก็คุกเข่าลงคำนับพร้อมกันกับหลี่ว์วั่นไฉ เอ่ยขึ้นว่า
“ขอใต้เท้าโปรดวางใจ!”
หวังทงเรียกหลี่เหวินหย่วนและหลี่ว์วั่นไฉว่า “พี่” มาตลอด แต่เมื่อสักครู่ใช้ท่าทีแบบเจ้าบ้านปฏิบัติต่อลูกน้องในบ้าน ฝากฝังก่อนเดินทาง ต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจน ไม่อาจให้คนในบังคับบัญชาถือโอกาสแอบละเว้นหน้าที่ไม่ปฏิบัติงานได้
เห็นทั้งสองคนแสดงความเคารพเช่นนี้ หวังทงก็ยิ้มพยักหน้า ยังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“หากมีอะไรแบกรับไม่ไหว ม้าเร็วจากเมืองหลวงไปกองพิทักษ์เทียนจินก็แค่สามวันเท่านั้น บอกข้า ข้าจะหาคงมาจัดการให้”
สำนักรักษาความสงบเดิมก็วางโครงสร้างให้หลี่ว์วั่นไฉและหลี่เหวินหย่วนรายงานตรงต่อจางเฉิง หวังทงกลับกล่าวเช่นนี้ เพื่อปิดบังความคิดอีกชั้นหนึ่งไว้ นั่นก็คือแสดงให้เห็นว่าหวังทงจะเกี่ยวข้องกับเมืองหลวงเมื่อไรก็ได้ตลอดเวลา อย่าได้ลืมตัวคิดว่าตนเองคิดจะทำอะไรก็ได้ แม้ว่าในเมืองหลวงก็ยังมีวิธีการควบคุม
คนฉลาดไม่ต้องกล่าวให้มากความ หลี่ว์วั่นไฉคำนับอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“ขอใต้เท้าโปรดวางใจ เรื่องสำคัญในเมืองหลวง ข้าน้อยจะต้องส่งม้าเร็วไปรายงานที่เทียนจินให้ใต้เท้าได้ทราบเป็นคนแรก”
หวังทงเผยยิ้มกว้าง ลุกขึ้นประคองทั้งสองที่อายุมากว่าตนเองเท่าหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า
“เราคนกันเอง วันนี้ทำไมจึงได้เกรงใจกันขึ้นมาเช่นนี้ได้ นั่งลงๆ ทำข้าอึดอัดไปหมดแล้ว”
ทุกคนหัวเราะฮาครืน หวังทงกล่าวกับซุนต้าไห่ว่า
“ตามซานเปียวกับถานเจียงเข้ามา ทุกคนนั่งลง คืนนี้ไม่ว่าใครก็เข้านอนเร็วไม่ได้ ยังมีเรื่องปรึกษากันอีกมากมาย”
คนที่เพิ่งถูกตามเข้ามา หวังทงก็ให้นั่งลง หันไปกล่าวกับหลี่เหวินหย่วนว่า
“พี่หลี่ หู่โถวอายุยังน้อย ตอนข้าอยู่ ทุกวันอยู่ด้วยกันยังช่วยจับตาดูได้ แต่พอข้าไม่อยู่ พี่หลี่ต้องใส่ใจควบคุมดูแลให้ดี อย่าให้เขาทำผิดอะไรแม้แต่น้อย พี่ก็รู้ ฝ่าบาทสนิทกับเขามาก วาสนาเงินทองก็มากองอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ อย่าได้เสียไปด้วยเรื่องเล็กน้อย!”
หลี่เหวินหย่วนเดิมเป็นครูฝึกในลานฝึก ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่กับหลี่หู่โถวเล่นด้วยกันทุกวัน ท่าทางสนิทสนมก็เห็นอยู่ หลี่หู่โถวมีฝีมือมากกว่าฮ่องเต้วานลี่ หลายครั้งยังคอยกั้นอยู่ด้านหน้าว่านลี่ สองคนที่รูปร่างเล็กจึงมีความสัมพันธ์กันดีมาก
ตอนนี้สถานะฮ่องเต้ว่านลี่เป็นที่เปิดเผยแล้ว คนที่ฉลาดสักหน่อยก็รู้ว่าวันหน้าหลี่หู่โถวย่อมมีอนาคตเช่นไร แต่อายุเขายังน้อย นิสัยซื่อ ไม่เข้าใจการเมืองอะไรนั่น แม้แต่พวกขุนนางก็ยังต้องเกรงเขาอยู่บ้าง วาสนาเงินทองเป็นเรื่องที่แน่นอนราวกับตอกตะปูแน่นไว้แล้ว
ได้ยินหวังทงกำชับ คนในห้องก็อดยิ้มไม่ได้ ฟังแล้วเหมือนว่าหวังทงเป็นบิดาบุญธรรมของหลี่หู่โถว หลี่เหวินหย่วนเป็นแค่คนผ่านทางมาเท่านั้น
“หู่โถวไม่อยู่ปักกิ่ง จะตามใต้เท้าไปเทียนจิน”
หวังทงอึ้งเล็กน้อย ด้วยเหตุใดกัน หลี่เหวินหย่วนส่ายหน้ากล่าวว่า
“หู่โถวอายุน้อยเกินไป อำนาจวาสนาไม่มีประโยชน์กับเขาในตอนนี้ แต่กลับจะทำร้ายเขา ได้ติดตามใต้เท้าในช่วงนี้ มีผู้ใหญ่สั่งสอน หู่โถวรู้ความขึ้นมาก ไปเทียนจินครั้งนี้คนใกล้ชิดมีน้อย หู่โถวฝีมือยังพอนำออกมาใช้ได้ และเคยลงมือหนักมาแล้ว เป็นองครักษ์ข้างกายก็พอจะให้วางใจได้บ้าง”
ในเมื่อบิดาหลี่หู่โถวกล่าวเช่นนี้ หวังทงก็ไม่อาจปฏิเสธ หลี่หู่โถวแม้ว่ายังเล็ก แต่เป็นคนที่ตนไว้ใจได้อันดับหนึ่ง ไปเทียนจินนี้ก็ไม่คุ้นกับสถานที่ พื้นที่และคน มีคนสนิทข้างกายก็พอช่วยให้วางใจได้บ้าง
“ต้าไห่ พรุ่งนี้เจ้ากับพี่หลี่นำคนไปยังที่ที่เคยแจกป้ายสงบสุขดูหน่อย เงินพวกนี้ยังต้องเก็บต่อ หากมีคนมาหาเรื่องก็ให้จัดกลับไปให้หนัก มิเช่นนั้นวันหน้างานของพี่หลี่จะจัดการได้ยาก”
ทางนี้รับคำสั่ง หวังทงก็หันไปหาถานเจียงกล่าวว่า
“นอกจากสัมภาระและของจิปาถะแล้ว ของอื่นๆ ไม่ต้องย้ายมาในเมือง ม้าที่โรงบ้านนอกเมืองก็ให้สวมเครื่องม้าไว้ให้พร้อม รถใหญ่หากไม่พอ ก็เอาเงินไปซื้อหามา”
ถานเจียงฟังไปพยักหน้าไป เอ่ยถามว่า
“นายท่าน ที่โรงตีเหล็กนอกเมืองคนมากของมาก อย่างน้อยต้องรถใหญ่หกคัน ข้าน้อยคิดแล้ว หรือว่าไปจัดตั้งไว้ที่เทียนจินดีกว่า”
หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“เอาไปให้หมด ในเรื่องโรงตีเหล็กนี้ ข้าไม่สนใจต้องเสียเงินทองเท่าไร สามารถตีของดีออกมาก็พอ”
ถานเจียงรีบคำนับน้อมรับคำสั่ง ตอนเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนอื่นๆ ในห้องมองตากันไปมา ในใจคิดกันว่านายท่านผู้นี้ ยากปกติประหยัดใช้จ่ายมาก โรงตีเหล็กนี้มีคนงานฝีมือชั้นยอดอะไรกัน จึงได้ใส่ใจเช่นนี้ สามกองกำลังพิทักษ์ประจำเมืองเทียนจินมีโรงผลิตอาวุธใหญ่ของทางการอยู่ไม่ใช่หรือ จะจ้างใครไม่ได้เลยหรือ?