ตอนที่ 198 พายุกระหน่ำทั่วเมืองหลวง
“พวกท่านยังเห็นเราเป็นโอรสสวรรค์อยู่อีกหรือ!!??”
บรรดาขุนนางพากันคุกเข่าหมอบลง จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นตามที่เคยปฏิบัติกันมา รอให้ฮ่องเต้รับสั่งให้ลุกขึ้น คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่กลับตรัสเช่นนี้ ทุกคนจึงได้หมอบลงไปกับพื้นตามเดิม
“พวกท่านให้เราขับไล่หวังทงออกจากเมืองหลวง เราก็ทำตาม แต่ระหว่างทาง หวังทงกลับถูกคนตามล่าสังหาร หรือว่าเป็นคนสนิทเราก็ต้องถูกส่งไปเชือดนอกเมืองหรืออย่างไร?”
พระดำรัสหนักหนาสาหัสเช่นนี้ แม้แต่มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งก็ได้แต่ร่วมโขกศีรษะไปกับทุกคนด้วย พลางอธิบายแก้ต่างไปด้วยว่า
“พวกเกล้ากระหม่อมมิบังอาจ ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วย!”
“เราไหนเลยจะกล้าตรวจสอบ ขุนนางที่รักทุกท่านจงรักภักดีต่อชาติ คิดจะสังหารหวังทงผู้นั้น ก็น่าจะสมเหตุสมผลตามหลักคัมภีร์ของพวกท่าน ใต้หล้ากว้างใหญ่ วันหน้าหากทุกท่านเห็นผู้ใดขัดเคืองตา แม้ถูกส่งไปนอกเมืองก็ยังส่งคนไปล่าสังหารได้ เราจะไม่เอ่ยถามอย่างเด็ดขาด เราไม่กล้าถามด้วยซ้ำ มิเช่นนั้น เฮอะๆ !”
ได้ยินฮ่องเต้น้อยยิ่งตรัสก็ยิ่งไปกันใหญ่ เฝิงเป่ากับจางเฉิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ไม่สนใจความบังควรหรือไม่ ก้าวเข้ามาดึงชายฉลองพระองค์ของฮ่องเต้น้อยไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดตรัส แค่นพระสรวลเย็นชาใส่ไปหลายที
“วันนี้เราเหนื่อยแล้ว ขอกลับวังก่อน เรื่องใหญ่ใต้หล้าทุกท่านก็จัดการไปเองแล้วกัน!”
วันนี้ฮ่องเต้น้อยมาที่ประชุม แม้แต่ประทับนั่งก็ยังไม่ได้ประทับนั่ง ตรัสไม่กี่คำก็เสด็จจากไปทันที ได้ยินเสียงขุนนางด้านนอกน้อมส่ง ทุกคนจึงเพิ่งได้สติคืนมา
เฝิงเป่าหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก้าวออกไปเป็นคนสุดท้าย ขุนนางทุกคนเพิ่งจะลุกขึ้นมา จางจวีเจิ้งไม่ได้สนใจสีหน้าผู้อื่น ก็รีบตามออกไป กล่าวเรียกเบาๆ ว่า
“เฝิงกงกง”
เฝิงเป่ายกมือขึ้นโบกเล็กน้อย กดเสียงให้เบาลงตอบกลับไปเช่นกันว่า
“เรื่องนี้ ข้าต้องรายงานไทเฮาให้ทรงทราบ ท่านจางก็ลองถามคนรอบตัว ว่ามีใครคิดจะทำเรื่องเช่นนี้เพื่อขอรับความดีความชอบหรือไม่ ไม่ว่ามีหรือไม่ ส่งข่าวมาให้ข้ารู้ก่อน ค่อยคิดกันก็ไม่สาย”
จางจวีเจิ้งประสานมือคารวะ ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
เฝิงเป่าออกจากหอเหวินเหยียนเก๋อ แต่ไม่ได้กลับไปที่ห้องทำงานในสำนักส่วนพระองค์ หากนั่งเกี้ยวออกจากประตูบูรพาของวังหลวงไป ทางซ้ายของประตูตะวันออกมีเรือนของมหาขันทีใหญ่อยู่รวมกันที่นี่ไม่น้อย บางครั้งก็จะมาพักที่นี่เพื่อเรียกพบคนสนิทของตนนอกวังอะไรพวกนั้น
พอลงจากเกี้ยวก็มีพ่อบ้านออกมานำทางไปยังห้องโถงด้วยท่าทางนอบน้อม นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งวัยกลางคนสวมชุดยาวสีน้ำเงินกระดุมเรียงเม็ดด้านหน้าพอเห็นเฝิงเป่าก้าวเข้ามา ก็รีบคุกเข่าลงคำนับอย่างนอบน้อม พอเฝิงเป่าเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้น ก็ไม่เรียกให้ลุกขึ้น หากถามน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เฝิงจิ่น เจ้ารู้เรื่องที่หวังทงเผชิญมาหรือไม่?”
“เรียนฉั่งกง ข้าน้อยเช้านี้เพิ่งรู้เรื่องนี้ขอรับ”
“เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นรีบโขกศีรษะ ตอบอย่างนอบน้อมที่สุดว่า
“ไม่มีคำสั่งฉั่งกง ข้าน้อยใจกล้าเพียงใดก็มิกล้าทำเรื่องเช่นนี้ขอรับ คนสำนักบูรพาก็ส่งออกไปแล้ว ภายในห้าวันย่อมได้รายงาน”
“มีข่าวเมื่อไร รายงานข้าเป็นคนแรก ยังไม่ต้องบอกผู้ใด”
กล่าวจบ เฝิงป่าก็หันหน้าเดินออกไป คนผู้นั้นยังคงคุกเข่าไม่ขยับ รอจนเสียงฝีเท้าไกลออกไปจึงได้กล้าลุกขึ้นจากพื้น เฝิงจิ่นเป็นนายกองพันกองอาญาสำนักบูรพา เป็นบุคคลที่มีบารมีไม่น้อยในเมืองหลวง พบเสนาบดีกรมอาญาก็แค่ประสานมือคำนับ แต่ต่อหน้าเฝิงเป่ากลับนอบน้อมเคารพเหมือนกับบ่าวรับใช้ในบ้าน
******
จางเฉิงชำระฎีกาอยู่ในห้องทำงานไปหลายฉบับ หลี่เฉิงเหลียงผู้บัญชาการทัพประจำเมืองเหลียวโจวถวายฎีกาว่า ปีนี้ทุ่งหญ้าเกิดพายุหิมะ วัวและม้าล้มตายไปจำนวนมาก พวกชนเผ่าหนี่ว์เจินนอกด่านก็เหมือนจะมีความไม่ปกติ ขอให้ราชสำนักส่งเสบียงและกำลังพลไปเตรียมการไว้ล่วงหน้า
หลี่เฉิงเหลียงชอบร้องเรียนว่ายากลำบาก หลายปีนี้ไม่รู้ว่าเก็บกวาดเงินทองผลประโยชน์ไปได้เท่าไร แต่ก็ทำศึกได้ดี แต่ไรมาราชสำนักจึงให้ความสำคัญ
เรื่องทุ่งหญ้าครั้งนี้ สายสืบและพ่อค้าที่กลับมาจากทุ่งหญ้าล้วนมีรายงานมามากมาย ก็เป็นเรื่องจริง ควรจะเตรียมการล่วงหน้า แต่นี่เป็นเรื่องทางการทหารที่สำคัญอันดับหนึ่ง ต้องการหารือกับหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์และมหาอำมาตย์จาง จางเฉิงไม่อาจตัดสินใจได้
หยิบพู่กันจุ่มชาดแดงเขียนลงไป ก่อนจะวางไว้ทางด้านซ้ายใช้ก้อนเงินทับไว้ ฎีกาที่สำคัญที่สุดล้วนวางไว้ด้านนี้ หากเฝิงเป่ามา จางเฉิงก็จะหยิบฎีกาด้านนี้นำส่งไป จางเฉิงไม่อยู่ ขันทีในห้องทรงงานก็จะนำส่งไปแทน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสำนักส่วนพระองค์
ตอนอ่านฏีกาฉบับที่สองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ๆ วิ่งมา ระยะนี้จางเฉิงเริ่มชินเสียงนี้แล้ว เป็นเจ้าจินเลี่ยงเด็กน้อยที่ไร้รอยยิ้มบนใบหน้าผู้นั้น
ได้ยินว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกับครอบครัวของเด็กน้อยผู้นี้ จึงได้ตอนตนเองเข้าวังมา อายุน้อยมากแต่กลับมีความนิ่งที่ไม่เข้ากับอายุอยู่ประการหนึ่ง จางเฉิงชอบเด็กผู้นี้มาก หลายครั้งกำชับให้โจวอี้ดูแลให้ดี
ฎีกาหรือเทียบที่เจ้าจินเลี่ยงนำเข้ามา แปดเก้าส่วนก็ย่อมเป็นโจวอี้ส่งมาให้จางเฉิง และยังมีข่าวสำคัญอันดับหนึ่งอีกด้วย
เจ้าจินเลี่ยงย่อเข่าน้อมส่งฎีกาวางไว้บนโต๊ะจางเฉิง ก้มหน้าทิ้งมือถอยออกไป จางเฉิงหยิบฎีกาขึ้นมากวาดตาอ่านสักพัก สีหน้าก็เปลี่ยนไป ปิดฎีกาลง เรียกขันทีในห้องทรงงานสองสามคนมาสั่งการ ก่อนจะลุกออกไป
*******
บรรดาขันทีน้อยในวังแบกเกี้ยวได้นิ่งเป็นพิเศษ ตอนแบกเกี้ยววิ่งไป คนที่นั่งอยู่นั้นไม่รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนใดๆ
เฝิงเป่าออกไปวังมารอบหนึ่งก็รีบกลับเข้าวังมายังตำหนักไทเฮาฉือเซิ่ง ในสมองเริ่มเรียบเรียงเรื่องที่ฮ่องเต้ตรัสในที่ประชุมตอนเช้าทูลไปรอบหนึ่ง กราบทูลไทเฮาไปตามจริงทุกอย่าง
ได้ฟังเฝิงเป่าเล่าจบ สีพระพักตร์ไทเฮาก็เยียบเย็น ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เด็กน้อยก็ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ไยจึงยังมีคนไม่ยอมปล่อย ในสายตามีฮ่องเต้บ้างไหม ในสายตามีไทเฮาอย่างเราบ้างไหม?”
ได้ยินรับสั่งรุนแรงของไทเฮา เฝิงเป่าก็รีบคุกเข่าลงกราบทูลว่า
“ทูลไทเฮา หม่อมฉันได้ข่าวมาว่า หวังทงส่งคนมายื่นฎีกาขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาท ผ่านมาทางจางกงกง ฎีกานั่นน่าจะไม่ได้บอกว่าเป็นขุนนางใดปลอมตัวเป็นโจร หรือว่าอาจเป็นโจรในพื้นที่”
สีพระพักตร์ไทเฮายิ่งเย็นเยียบ ตรัสสุรเสียงเย็นยะเยือกว่า
“สถานที่สำคัญอย่างเช่นเมืองหลวง ที่ประทับองค์ฮ่องเต้ รอบๆ กลับมีโจรเหิมเกริมเช่นนี้ได้ พวกรักษาการณ์ พวกขุนพลทั้งหลายทำงานกันอย่างไร ศาลเหอเจียนและศาลซุ่นเทียนมีคนตั้งมากมาย ทำอะไรกันอยู่ หากมีขุนนางปลอมตัวเป็นโจร นั่นก็เป็นการคิดก่อการร้าย หากเป็นโจรเหิมเกริม นั่นก็เป็นเพราะท้องที่ทำงานบกพร่อง ต้องจัดการให้หมด”
ตรัสถึงตรงนี้ เฝิงเป่าก็ได้แต่โขกศีรษะรับพระบัญชา ไทเฮาสุรเสียงยิ่งตรัสยิ่งนิ่ง แต่เนื้อความนั้นยิ่งรุนแรง
“ท่านจางทางนั้นกล่าวว่า เพื่อฮ่องเต้ เพื่อราชวงศ์หมิง มีเรื่องไม่ต้องตามธรรมเนียมใด เราก็อนุญาตไปแล้ว หวังทงเป็นแค่เด็กน้อย หากจิตใจหนักแน่น ตั้งแต่เป็นสหายฝ่าบาทมาก็มิเคยทำผิดอะไร ติดจะเล่นสนุกมากไปหน่อยเท่านั้น ไล่ออกนอกเมืองหลวงไปก็พอแล้ว หากมีผู้ใดอยากเอาอกเอาใจท่านจางกับเจ้าจนเสียสติไป เราจะไม่ปล่อยผู้นั้นเป็นแน่”
เฝิงเป่าไม่กล้าลุกขึ้นยืน ได้แค่กล่าวไปโขกศีรษะไป ไทเฮาเห็นท่าทางเช่นนี้ ก็ถอนพระปัสสาสะ ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า
“ลุกขึ้นเถิด เจ้าเป็นหัวหน้าราชสำนักฝ่ายใน อย่าได้แสดงตัวต่ำต้อยต่อหน้าบ่าวเล็กๆ พวกนี้ นอกวังในวังก็สืบสวนมาให้หมด จัดการให้ยุติธรรมก็พอ แต่ก็ควรรู้ว่าใต้หล้าเป็นของตระกูลจูเรา เป็นของฝ่าบาท ใครกุมอำนาจใหญ่ก็ควรรู้กันให้กระจ่าง”
*******
จางเฉิงหยิบฎีกาไปห้องทรงอักษร ขณะเดินไปตามระเบียงทางเดิน ก็มีขันทีน้อยคอยรับใช้ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เขาถามคนหน้าประตูเสียงเบาๆ ประโยคหนึ่ง ว่า
“ฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่?”
“เรียนจางกงกง ข้าน้อยเมื่อครู่ยกน้ำชาเข้าไป เห็นฝ่าบาททรงถือหนังสือทอดพระเนตรอยู่ข้างหน้าต่างและกำลังแย้มสรวล”
อ่านหนังสือเหม่อลอยหรือนี่ จางเฉิงส่ายหน้างง เสียงรายงานด้านนอกดังขึ้น ด้านในก็อนุญาตตามมา เขาเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ในห้องทรงอักษรอบอุ่นมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ถือหนังสืออยู่ในพระหัตถ์ สีพระพักตร์มีรอยแย้มสรวล แต่สายพระเนตรไม่ได้อยู่บนหนังสือ พอทอดพระเนตรเห็นจางเฉิงเข้ามา ก็หันพระพักตร์มา ดูท่าเมื่อครู่กำลังทรงเหม่อลอยอยู่
จางเฉิงหันไปปิดประตู ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสขึ้นด้านหลังว่า
“เมื่อครู่อ่านหนังสือ เราคิดไปถึงเรื่องที่ลานฝึกอย่างไม่ทันรู้ตัว เรา หวังทง ยังมีหลี่หู่โถวสามคน สู้กับพลทหารคนอื่นๆ ตอนนั้นชุลมุนวุ่นวายมาก หากไม่ใช่หลี่หู่โถวบังเราไว้ เกรงว่าเราคงต้องถูกพวกนั้นอัดเละแน่ ผ่านไปไม่ถึงปี คิดแล้วก็เหมือนนานมาแล้ว”
พระดำรัสจบลง จางเฉิงก็รู้ถึงน้ำหนักของหวังทงในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ ประเมินค่าใหม่อีกครั้ง ก้าวขึ้นหน้าไปทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ได้ข่าวมาจากทางหวังทง ห่างจากจดหมายฉบับนั้นราวหนึ่งชั่วยามครึ่ง ในจดหมายส่งมาบอกว่ากองกำลังรอบสองที่โจมตีดูแล้วน่าจะเป็นกองกำลังทหารละแวกนั้น ในนั้นมีคนผู้หนึ่งถูกเรียกว่า ใต้เท้าจาง”
เสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น ถ้วยชากระเบื้องเนื้อดีถูกฮ่องเต้ว่านลี่เขวี้ยงแตกเป็นเสี่ยง สีพระพักตร์ก็ดำทะมึนยิ่ง สีพระพักตร์น่ากลัวอย่างที่สุดในทันที ทรงกัดฟันกรอดตรัสขึ้นว่า
“สืบสวน!! สืบสวนมาให้ละเอียด!!”
จางเฉิงโบกมือให้ขันทีและองครักษ์ที่กรูเข้ามาถอยออกไป ทูลเสียงเบาว่า
“หวังทงนำกำลังตนปราบคนเกือบห้าร้อยลงได้แล้ว คนในขบวนหวังทงไม่มีผู้ใดเป็นอะไร”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้น้อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย เอนลงพิงที่ประทับสีพระพักตร์เย็นเยียบตรัสว่า
“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึง ถึงกับใช้กำลังทหารมาสังหารคนสนิทเรา ไม่รู้ว่าแผ่นดินนี้ยังเป็นของเราอีกหรือไม่ จางปั้นปั้น สำนักบูรพา สำนักองครักษ์เสื้อแพร ศาลซุ่นเทียน ศาลเหอเจียนและหน่วยงานต่างๆ ส่งออกไปสืบ มีข่าวอะไรก็รีบมารายงาน เราจะต้องจัดการให้เด็ดขาด ต้องตัดหัวทิ้งให้รู้ถึงความร้ายกาจกันเสียบ้าง”
จางเฉิงรีบน้อมกายลงรับพระบัญชา กล่าวว่า
“หม่อมฉันจะไปถ่ายทอดรับสั่ง ทำตามพระบัญชา กองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายส่งทหารม้า 500 นายไปแล้ว นายกองเติ้งจิ้นเป็นผู้มีความสามารถ”
เห็นฮ่องเต้พยักหน้า จางเฉิงกำลังจะออกไป ก็ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเบาๆ ว่า
“สำนักบูรพานั่นอยู่ใต้บังคับของเฝิงต้าปั้น สำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นของท่านจาง ใช้สายของเราเองสืบ ใช้สำนักรักษาความสงบนั่นแหละ!!”