Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 205

ตอนที่ 205 ไม่เสียใจภายหลัง ไม่รีบร้อน

จางซื่อเฉียงขนหีบเงินออกมา หยิบกรรไกรและตาชั่งออกมา เริ่มให้ทุกคนคนละ 2 ตำลึงก่อน จากการลงไม้ลงมือ ไปสู่การแจกจ่ายเงินทองและข้าวปลาอาหาร พลทหารองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินยังคงอึ้ง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ข้าวสารและเนื้อแช่แข็งจับต้องได้ที่เห็นเบื้องหน้า บรรดาคนงานยกเข้ามาวางไว้ตรงหน้าตน บรรดาคนท่าทางดุร้ายเมื่อครู่สองสามคนก็กำลังหยิบสมุดรายชื่อออกมาขานชื่อแจกให้คนละ 2 ตำลึง

รับเงินมาประเมินน้ำหนักในมือ ก้อนเงินหนักไม่น้อย มือลูบข้าวสารและเนื้อแช่แข็งตรงหน้า ไม่ใช่ของปลอม ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนั้น ก็คิดถึงวันเวลาหลายปีที่ต้องทนทุกข์มานี้ ทุกคนแอบคิดตรงกันว่าวันเวลาเหมือนว่ากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว

ผ่านช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลามาเมื่อครู่ ตอนนี้ทุกคนก็พากันดีอกดีใจพากันก้าวออกมา มีบางคนสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ปล่อยโฮออกมาทันที แม้แต่หังต้าเฉียวที่เกเรเหลวไหลที่สุดก็ยังอึ้งอยู่ตรงนั้น

มือกำก้อนเงินไว้แน่นมองไปรอบๆ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ และก็ยังจ้องมองหวังทงอย่างไร้มารยาท จากนั้นก็ก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ รอจนแจกจ่ายเงินเสร็จ บันทึกรายชื่อเรียบร้อย

หวังทงก็ลุกขึ้นกล่าวเสียงดังกังวานว่า

“ของพวกนี้เอามาให้พวกเจ้าดู รถใหญ่ข้าจ้างไว้แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราก็ขนไปขึ้นรถเอง ลากไปบ้านพวกเจ้า กลางวันนี้ไม่เลี้ยงพวกเจ้าแล้ว กลับบ้านไปได้!”

มีข้าวสารและเนื้อ นี่เป็นสิ่งจริงที่จับต้องได้ ใครจะไปสนใจอาหารมื้อนี้กัน ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ได้สติคืนมาจากที่กำลังอึ้งอยู่ ทยอยกันเข้าไปช่วยกันย้ายของ

ไม่รู้เหมือนกันว่าใครนำเดินเข้าไปโขกศีรษะตรงหน้าหวังทงก่อน ก่อนจะหันไปย้ายของ มีคนหนึ่งนำมา คนที่เหลือก็ย่อมทำตามกัน

ลูกน้องโขกศีรษะแสดงความเคารพผู้บังคับบัญชาก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักการ หวังทงรับการคารวะนั้น แต่การโขกศีรษะนี้เหมือนว่ามีความหมายบางอย่างที่ต่างไป ทั้งโรงเตี๊ยมเงียบสงบมาก แต่ละคนโขกศีรษะเสร็จก็ไปย้ายของตนเองออกไป หวังทงนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ถานปิงด้านหลังกำลังอ่านรายชื่อบนสมุดทีละคน

ทุกคนจากไปกันเร็วมาก จางซื่อเฉียงได้เริ่มต่อรองราคาค่าเสียหายของโต๊ะและเก้าอี้กับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เหลือแต่หังต้าเฉียวและนายกองร้อยอีกสองนาย เขาสามคนยืนตาค้างมองบรรดาพลทหารร่วมสังกัดที่เข้าๆ ออกๆ ย้ายของ

สุดท้าย หังต้าเฉียวและอีกสองคนก็สบตากัน ค่อยๆ คุกเข่าให้หวังทงอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นก็โขกศีรษะติดต่อกันสามครั้ง หวังทงจึงได้เอ่ยขึ้นว่า

“ยังจำการลงมือเมื่อครู่ได้หรือไม่?!”

นายกองร้อยทั้งสามไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเหตุใดจึงถามเช่นนี้ ได้แต่โขกศีรษะอีกครั้ง ไม่กล่าวอันใด หวังทงกล่าวต่อว่า

“องครักษ์เสื้อแพรอย่างพวกเรา แม้ว่าไม่อาจทำความดี แต่ก็ต้องอดทนต่อความชั่ว พวกเจ้าเหลวไหลจนไร้ศักดิ์ศรีกันเช่นนี้ได้ ไม่ลงมือจัดการพวกเจ้าแล้วใครจะมาจัดการ พวกเจ้าต้องเรียกจิตวิญญาณคืนมา!!”

หวังทงเสียงเริ่มดังขึ้น หังต้าเฉียวและคนอื่นๆ ก็โขกศีรษะอีกครั้ง หวังทงมองสามคนที่คุกเข่าอยู่ รู้สึกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่เอ่ยเรียก

“ลุกขึ้นๆ”

รอจนพวกหังต้าเฉียวลุกขึ้นแล้ว หวังทงก็เอาหยิบเงินออกมาแบ่งสามส่วน ยิ้มกล่าวว่า

“พวกเจ้าสามคนอย่างไรก็เป็นถึงนายกองร้อย สถานะย่อมแตกต่าง คนละ 10 ตำลึง วันหน้าต้องมีส่วนแบ่งของพวกเจ้าแน่นอน”

การกระทำเช่นนี้ทำให้พวกหังต้าเฉียวเริ่มน้ำหูน้ำตาไหล คุกเข่าปล่อยโฮเสียงดัง โขกศีรษะไม่หยุด หวังทงขมวดคิ้วมุ่น ตำหนิอย่างเริ่มโมโหว่า

“ลูกผู้ชายต้องมีศักดิ์ศรี ต้องไม่ทำตัวต่ำต้อย พวกเจ้าติดนิสัยที่เอาแต่เสียงอ่อย ต้องแก้ไขเร่งด่วน ไม่ต้องกลัวอะไร ที่เทียนจินนี่ ข้าจะคอยดูแลพวกเจ้าเอง!”

สี่ห้าปีติดเป็นนิสัยเสียแล้ว บอกให้แก้ไขก็จะแก้ไขเลยได้อย่างไร พวกหังต้าเฉียวสามคนก็รับคำไปอย่างนั้น คว้าเงินยกของเดินออกไป

หวังทงนั่งอยู่บนเก้าอี้มองแผ่นหลังพวกเขาทั้งสามจากไปแล้วก็ถอนหายใจ ชี้ไปพลางกล่าวว่า

“เป็นถึงนายกองร้อย แม้แต่ลูกน้องช่วยขนของสักคนยังไม่มี ไร้ศักดิ์ศรีไหมนี่!”

ถานเจียงด้านหลังรับคำขึ้นว่า

“คนถูกกดขี่อย่างหนัก มองไม่เห็นวันที่จะได้ลืมตาอ้าปาก และก็ไร้ที่ไป ทนก็ทนกันไป วันนี้การกระทำของนายท่านช่างแยบยล เห็นได้ชัดว่าตอนที่ทุกคนโขกศีรษะให้นายท่านนั้นเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงอย่างมาก พรุ่งนี้รายงานตัวแล้วค่อยจัดระเบียบอีกที ก็ไม่มีขวากหนามคมอะไรอีกแล้ว”

หวังทงส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ลงมือไปก่อนแล้วค่อยแจกจ่ายประโยชน์ พลทหารพวกนี้เชื่อฟังก็ย่อมเชื่อฟัง แต่หากจะใช้การยังต้องใส่ใจดูแลสั่งสอนอีก”

กล่าวจบ หวังทงก็บิดขี้เกียจ หัวเราะกล่าวว่า

“วางกับดักเช่นนี้ ทุกคนเหนื่อยกันมาทั้งวัน พี่จางตอนบ่ายยังพักไม่ได้ รีบไปในเมืองซื้อบ้านพักสำหรับคนของเราก่อน เถ้าแก่ รีบตั้งอาหารเร็ว!!”

จางซื่อเฉียงยิ้มรับคำสั่ง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเงินไหลมาและคนงานตลอดกลางวันมานี้ก็ได้ตื่นตาตื่นใจชมละครชั้นยอดฉากหนึ่ง กอรปกับใต้เท้าน้อยผู้นั้นก็ไม่ได้จนกรอบเหมือนพวกในเมือง และยังใจกว้างอย่างมาก ได้ยินแล้วก็ตอบรับพร้อมเพรียงกัน รีบออกไปตะโกนสั่งงาน

หวังทงนวดขยับเบาๆ จากการระเบิดอารมณ์ในตอนกลางวัน แม้ว่าแค่แสดงละคร แต่พอเห็นสภาพหน้าด้านหน้าทน ก็ทนกับความไม่เอาไหนเช่นนั้นไม่ไหวจริงๆ อารมณ์เดือดขึ้นทันที ตอนนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก

นวดไปสักครู่ก็เงยหน้าขึ้น มองคนรอบๆ ที่มองมาที่ตนอย่างเอาใจใส่ ก็อดยิ้มกล่าวกับซุนต้าไห่ไม่ได้ว่า

“ต้าไห่ พวกเจ้าบอกว่าจะติดตามข้ามาเสวยวาสนาใหญ่ที่เทียนจิน ตอนนี้เห็นสภาพน่าอนาถเช่นนี้ วาสนาเช่นนี้เกรงว่าคงเสวยกันไม่ไหวแล้วกระมัง!”

ซุนต้าไห่ยิ้มกว้างส่งเสียงหัวเราะขึ้นก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า

“ขอเพียงได้ติดตามใต้เท้า ทุกข์ก็เพียงแค่ครู่หนึ่ง เสวยสุขอย่างไรก็เป็นเรื่องไม่ช้าไม่นาน พวกเราไม่อาจเอาแต่ติดตามเพื่อเสวยสุขไม่ยอมร่วมความทุกข์ไม่ได้ ใต้เท้าท่านวางใจได้ ที่กองกำลังพิทักษ์เทียนจินนี่มีความยากลำบากอะไร พวกเราจะเป็นด่านหน้าคอยกันให้ท่านเอง”

วาจานี้เป็นวาจาตามมารยาท แต่ในใจหวังทงก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก ลุกขึ้นไปตบบ่าซุนต้าไห่ ยิ้มกล่าวว่า

“คำพูดประโยคนี้ของเจ้า ข้าจะจดจำไว้”

หวังทงสะบัดตัวไล่ความเมื่อยขบ ยกมือขึ้นโบกกล่าวว่า

“ทุกคนไปกินกันให้อิ่มก่อน วันนี้เอาเงินข้าออกไปก่อน เบี้ยหวัดที่ขาดเหลือไว้จะไปเอาที่กองตรวจการ ปีนี้ปีหน้าจะลำบากอย่างไร ไม่ต้องสนใจมัน พวกเราทุกคนฉลองปีใหม่ปีนี้กันให้มีความสุขไปก่อนละกัน”

ทุกคนตอบรับพร้อมกับเสียงหัวเราะดัง ร่วมเก็บกวาดพร้อมกันกับคนงานและเถ้าแก่โรงเตี๊ยม

********

เพียงแค่สองวันสั้นๆ ออกราชโองการสองฉบับไปยังตระกูลเดียว และยังเป็นตระกูลระดับโหว นอกจากจักรพรรดิจูหยวนจางปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงที่เคยสังหารขุนนางผู้มีความดีความชอบครั้งใหญ่นั่นแล้ว ก็ไม่ค่อยได้เห็นนัก

ตระกูลอันผิงโหววันแรกถูกลดบรรดาศักด์เป็นระดับป๋อ วันที่สองก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในวังก็มีราชโองการปลดยศเป็นสามัญชน ยึดทรัพย์ทั้งหมด ฟางจงผิงมีโทษมหันต์สมควรตาย

บรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวงต่างพากันหวาดกลัวอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนดำเนินการทั้งหมดคือสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพร พวกชนชั้นสูงไม่มีสายสัมพันธ์ใดกับขุนนางบุ๋น จึงพากันงงอยู่อย่างนั้น

ข่าวอะไรก็สืบมาไม่ได้ ได้แต่คาดเดากันเอง หลายเดือนก่อนฟางจงผิงมีเรื่องกับนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่ง ระยะนี้ยังได้ยินว่าหอฉินก่วนถูกคนลบหลู่ หอฉินก่วนนี้มีความเป็นได้มากว่าเกี่ยวข้องกับนายกองร้อยผู้นี้

พวกที่พอมีเส้นสายก็จะพอมองสายสัมพันธ์ของนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้กับราชวงศ์ออก พวกที่คิดการรอบคอบก็สามารถวิเคราะห์กันได้เช่นนี้ ดีไม่ดีเรื่องนี้อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรผู้นั้นกับฟางจงผิงที่ไม่รู้จักขอบเขต ทำเกินขอบเขตไป จึงได้ทำให้ทรงพิโรธ

สำหรับชนชั้นสูงที่มีสายพอจะรู้เรื่องก็พากันปิดปากเงียบ และยังวิพากษ์วิจารณ์จัดนายกองร้อยผู้นี้ที่ได้รับตำแหน่งใหม่ไว้ในตำแหน่งสำคัญ

*******

“ท่านพ่อบุญธรรม สามร้อยลี้เร่งเดินทาง สำนักอาชาหลวงและผู้แทนกรมทหารคืนนี้คงน่าจะถึงเทียนจินแล้ว”

โจวอี้รายงานจางเฉิงด้วยท่าทีนอบน้อม จางเฉิงกาชาดในมือลงในฎีกาไม่วางมือ พลางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ตระกูลฟางมีนายกองพันคนนี้คนเดียวอยู่ที่เมืองจี้โจวหรือ? หากมีอีกครั้ง แม้แต่เจ้าและข้าก็คงได้ถูกตรวจสอบแน่ หนีไม่พ้นโทษที่ทำงานไม่ได้เรื่อง”

โจวอี้ก้มตัวลง ยิ้มกล่าวว่า

“ท่านพ่อโปรดวางใจได้ บังอาจปลอมตัวเป็นโจรแม้ว่าเป็นลูกหลานตระกูลฟาง แต่คงไม่ต้องสนใจตระกูลนี้แล้ว ว่ากันว่าฟางต้ารับปากให้หนึ่งหมื่นตำลึง จ่ายล่วงหน้าไปห้าพันก่อน ให้เคลื่อนกำลังทหารอย่างไม่เกรงกลัวอาญา”

“หนึ่งหมื่นตำลึง…ตระกูลฟางนี่กล้าใช้เงินนะ…”

“เรียนพ่อบุญธรรม เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับสำนักรักษาความสงบเราอยู่บ้าง ท่านพ่อกำชับให้เซวียจานเยี่ยดูแลกิจการหวังทง พอดีไปเจอที่หอฉินก่วนนั่นเลย นายกองร้อยเซวียได้จัดการเจ้าฟางจงผิงและสหายชั่วร้ายจนล่าถอยไป ทำให้อันผิงโหวหวาดกลัวมาก คิดว่าบุตรชายตนล่วงเกินหวังทงครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นว่าหวังทงได้รับพระเมตตาเช่นนี้คงเป็นเรื่องที่แน่นอนราวตอกตะปูแล้ว แต่ฟางจงผิงก็ได้ล่วงเกินไปหนักแล้ว”

อันผิงโหว ฟางรุ่ยหังคิดว่าหวังทงไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หากได้กลับมาอีก จวนอันผิงโหวไม่รู้ว่าจะต้องมีจุดจบอย่างไร อันผิงโหวจึงได้มีใจคิดสังหาร ทหารห้าร้อยที่เมืองจี้โจวกับพวกโจรอีกสองสามร้อย ตามหลักการแล้วก็น่าจะจัดการคนแค่ร้อยกว่าของหวังทงได้ คิดไม่ถึงว่ากลับถูกสังหารล่าถอยกลับมาเช่นนั้น ความสำเร็จใหญ่เบื้องหน้าพังทลายลงในพริบตา

“หวังทงได้รับพระเมตตานี่ไม่ต้องกล่าวถึง แต่ความกล้าหาญรู้จักวางแผนเช่นนี้ วันหน้าก็ต้องเป็นอาวุธสำคัญ เราแก่แล้ว โจวอี้หากเจ้าคิดถึงวันหน้า ก็ต้องสานสัมพันธ์ให้ดี เฝิงกงกงกับท่านจางในวันนั้นก็เช่นนี้”

จางเฉิงกล่าวเรียบๆ โจวอี้ตอบอย่างนอบน้อมว่า

“ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้อง ลูกจะจดจำไว้”

กล่าวจบ สีหน้าโจวอี้ก็มีความลำบากใจเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่ง จางเฉิงก็ขมวดคิ้วมองมาที่เขาแวบหนึ่ง รู้สึกเริ่มรำคาญ โจวอี้กระแอมไอก่อนจะรีบกล่าวว่า

“ขอเรียนท่านพ่อให้ทราบว่า นี่ไม่ใช่คดีใหญ่ระหว่างทางนั่น แต่เป็นคนสำนักบูรพาไปสอบถามหวังต๋าหมินที่กลับมาจากเทียนจินผู้นั้น จึงได้รู้เรื่องอื่นมา…”

“เรื่องอะไรกัน อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่นล่ะ ว่ามา!”

ถูกจางเฉิงตำหนิ โจวอี้ก็รีบรับคำ กล่าวต่อว่า

“หวังต๋าหมินดำรงตำแหน่งนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินก็ต้องควักเนื้อไปหนึ่งพันกว่าตำลึง ในมือเขามีลูกน้องเหลือเพียงแค่ 200 คน เบี้ยหวัดแต่ละปีมีมาไม่ถึงห้าเดือน”

จางเฉิงได้ยินถึงตรงนี้ก็โยนฎีกาลงบนโต๊ะ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“หลิวโสวโหย่วมีแต่ท่านจางในสายตา ไม่มีฝ่าบาท เรื่องเช่นนี้ยังกล้าวางกับดักล่อให้ตกหลุม โจวอี้ เจ้าหาโอกาสไปทูลฝ่าบาท…”

โจวอี้ยังไม่ทันได้รับคำ จางเฉิงกลับหยุดพูด โบกมือแล้วเงียบคิดสักพัก ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เผยรอยยิ้มมุมปาก กล่าวขึ้นไม่ดังนักว่า

“ไม่รีบๆ เราเขียนสารให้หวังทงก่อน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version