Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 221

ตอนที่ 221 ต้นรัชสมัยว่านลี่ปีที่ 6

รัชสมัยว่านลี่ปีที่ 6 แล้ว

ปฐมจักรพรรดิจูหยวนจางตั้งราชวงศ์ขึ้น ที่เหลียวตงตอนเหนือก็จัดเผ่ามองโกลที่ยอมสวามิภักดิ์แบ่งออกเป็นสามกองกำลังพิทักษ์ ได้แก่ ตั่วเหยียน ฝูอวี๋ และไท่หนิง

ได้ยินชื่อเหล่านี้ก็รู้สึกเป็นมงคลยิ่งนัก ฮ่องเต้หมิงไท่จู่หวังไว้ว่าเมืองด่านนอกของสามกองกำลังมองโกลนี้จะสามารถช่วยปกป้องแผ่นดินตอนเหนือของราชวงศ์หมิงให้สงบสุขได้

แต่หลังการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องจากสงครามถู่มู่ในสมัยฮ่องเต้อิงจงแล้ว พวกเผ่ามองโกลก็ไม่มีใจสวามิภักดิ์ บ้างก็ตั้งตนเป็นใหญ่ บ้างก็ร่วมมือกับเผ่าเข้มแข็งบนทุ่งหญ้าครอบครองดินแดน

ที่เรียกกันว่า ‘สามกองกำลังตั่วเหยียน’ ก็เป็นเพียงแต่คำเรียกขานในเอกสารทางการสมัยราชวงศ์หมิง คนส่วนใหญ่มักเรียกขานกันว่าเผ่าตั่วเหยียน เผ่าฝู่อวี๋และเผ่าไท่หนิง

หัวหน้าซูปาไฮ่แห่งเผ่าไท่หนิงนับว่าเป็นผู้มีความสามารถ เขากำราบเผ่าหนี่ว์เจินและเผ่ามองโกลเล็กๆ นอกด่านได้ และยังร่วมเป็นพันธมิตรกับเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนทุ่งหญ้าเช่นเผ่าถู่ม่อเท่ออีกด้วย รบทำลายเผ่าตั่วเหยียนที่เข้มแข็งที่สุดในสามเผ่าลงได้ เผ่าฝูอวี๋ที่ร่ำรวยที่สุดและครองพื้นที่ที่ดีที่สุด

แต่ที่เรียกว่าพื้นที่ที่ดีที่สุดก็เป็นแค่ที่มีแหล่งน้ำ มีทุ่งหญ้าและป่าไม้เท่านั้น เมืองเหลียวโจวทางตะวันตกของราชวงศ์ หมิงจึงจะนับได้ว่าสมบูรณ์อย่างแท้จริง ที่นั่นมีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมาก เสบียงอาหารบริบูรณ์ ยังมีเงินทองผ้าไหมผ้าแพร หากได้ครอบครองพื้นที่นั้นไว้ได้ มีค่ากว่าครองทุ่งหญ้าใหญ่น้อยเป็นสิบเท่า

ดังนั้นตั้งแต่ปลายรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 เป็นต้นมา ซูปาไฮ่หัวหน้าเผ่าไท่หนิงก็เริ่มรวมรวมกองกำลังทหารม้าของตนเอง ข่านถู่ม่อเท่อก็ส่งทหารม้ามาให้ 4 พันกว่านาย เตรียมพร้อมหาจังหวะเข้าโจมตีตอนชาวฮั่นฉลองปีใหม่ การป้องกันหละหลวม

ที่นอกด่าน การที่เคลื่อนกำลังทหารม้านับหมื่นมาทำสงครามในคราเดียว สามารถใช้คำว่ายิ่งใหญ่มาบรรยายได้เลยทีเดียว ซูปาไฮ่ตั้งค่ายที่เขาพีซานห่างจากเมืองเหลียวโจวได้ 200 ลี้มา 10 วันแล้ว ก็มีพวกเผ่าหนี่ว์เจินและพวกมองโกลเผ่าเล็กๆ มาขอพึ่งพิงด้วย และยังยอมติดตามออกศึกต่อสู้กับราชวงศ์หมิงด้วย

คืนวันที่ 5 เดือนหนึ่ง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 ด่านชายแดนในเดือนหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่หนาวเหน็บที่สุดแห่งปี ค่ำคืนไร้แสงอาทิตย์ ความหนาวเหน็บก็ย่อมทวีคูณ

แม้พวกทหารม้าเผ่าไท่หนิงและเผ่าถู่ม่อเท่อจะใช้ชีวิตอยู่นอกด่านมานาน แต่ก็ยังมาแย่งกันผิงรอบกองไฟหรือไม่ก็หลบอยู่ในกระโจม คนระดับสูงหน่อยก็รวมตัวกันดื่มสุราสำราญใจ

ป้อมปราการที่ห่างจากแผ่นดินหมิงใกล้ที่สุดก็อยู่นอกด่านได้ 200 ลี้ ทุกคนไม่กังวลอะไร คิดแค่ว่าพอเข้าสู่แผ่นดิน หมิงได้จะอาละวาดใหญ่โตกันอย่างไรดี

ล้วนรู้ว่าอากาศหนาวเหน็บ ดังนั้นพวกเผ่าเล็กๆ ที่มาใหม่ก็ยอมที่จะเฝ้าเวรแทน ทุกคนล้วนยินดีที่มีคนรับหน้าที่แสนยากลำบากนี้ไป รีบผลักไสให้ทันที

ดังนั้นพอฟ้ามืด ก็ไม่มีคนสังเกตเห็นแสงระยิบระยับทางตะวันตก

แสงระยิบระยับเปลี่ยนเป็นแสงไฟหนาแน่น จากนั้นพวกกองทัพมองโกลข้างเขาก็มองเห็นว่าฝั่งตะวันตกเกือบทั้งแถบสว่างวาบไปด้วยแสงไฟ

ทหาร 6 พันแห่งเมืองเหลียวโจวแทรกตัวเข้ามาในกองทัพเผ่าไท่หนิงและเผ่าถู่ม่อเท่อ ทหารม้าเหล่านี้สวมชุดเกราะ มีอาวุธคมในมือ ม้าแต่ละตัวก็แข็งแรง หลายร้อยคนเป็นหนึ่งกองบุกเข้าสังหารศัตรูค่ายเขาพีซาน จัดการค่ายศัตรูที่ไร้การเตรียมตัวจนย่อยยับไป

มีพลทหารม้าชาวมองโกลที่เสียขวัญตะโกนออกมาว่า “นี่คือทหารกล้าของแม่ทัพหลี่เฉิงเหลียงแห่งเมืองเหลียวโจว!!”

ความจริงแล้ว หากพวกเผ่าไท่หนิงและเผ่าถู่ม่อเท่อสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าทหารกองกำลังราชวงศ์หมิงนั้นเหนื่อยล้าอย่างมาก แต่ตอนนั้น ใครจะไปสนใจเพ่งดูกัน

ค่ายเขาพีซานตั้งรับได้เพียงช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป ถึงกับไม่อาจเรียกว่ารับมือ ค่ายใหญ่ทั้งค่ายก็เริ่มแตกพ่าย ทุกคนก็พากันเอาตัวรอด

ทหารม้าที่มาจากต่างเผ่ากันก็เริ่มสังหารกันเองเพื่อแย่งชิงม้าเอาตัวรอด ทั้งค่ายก็อลหม่านอย่างแท้จริง

ณ สถานที่ที่ห่างจากที่นี่ 100 กว่าก้าว มีเนินหลายแห่ง ทหารม้าเก่งกล้า100กว่านายรายล้อมอยู่ มีสองสามคนกำลังจับตาดูการรบอยู่บนเนิน

“ท่านแม่ทัพนำกำลัง 200 เร่งเคลื่อนพลเข้าปราบ พอโจมตีค่ายเขาพีซานแตกกระเจิง เช่นนี้ย่อมได้ความดีความชอบอย่างมาก!”

เสียงชมดังขึ้น เสียงม้าประสานรับ ผู้ที่ได้รับคำชมกำลังมองดูการรบดุเดือดจากที่ไกลๆ ด้วยความสงบนิ่ง เขาแต่งกายด้วยชุดเกราะปราณีต สวมเสื้อคลุมสีแดง บนศีรษะไม่ได้สวมหมวกเกราะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นหมวกทำจากขนสัตว์มีค่าอะไร อบอุ่นยิ่งนัก

เสียงชมข้างๆ ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้าอันใด ราวกับว่าเป็นเรื่องที่ควรจะเป็น เสียงไฟสว่างขึ้น มองเห็นชายหนุ่มอายุราว 40 ต้นๆ แต่พอมองหว่างคิ้ว อายุน่าจะราว 50 ได้ แต่ผมและเคราไม่มีขาวสักเส้น เป็นสีดำเงางาม

อยู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้น ใช้แส้ม้าชี้ไปทางขวากล่าวว่า

“ถ่ายทอดคำสั่งไปที่หรูไป่ กองกำลังของเขาไม่เป็นระเบียบเล็กน้อย ให้เขาหยุดจัดการขบวนม้าก่อน อย่าได้วู่วาม จะทำให้พวกนอกด่านมีโอกาสลงมือ”

ทหารม้าสองสามนายรับคำสั่งก็รีบตะบึงม้าออกไป ไปทางนั้น ขุนพลข้างกายคนหนึ่งก็เขยิบเข้ามากระซิบใกล้ๆ ว่า

“พี่ใหญ่ หรูไป่ทางนั้นหากจับซูปาไฮ่ได้แล้ว ก็คงสร้างความชอบใหญ่”

ขุนพลใหญ่ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ก็กดน้ำเสียงให้เบาลง สั่งสอนไปว่า

“สังหารให้ตายหมดจะมีประโยชน์อะไรกับตระกูลหลี่เรา อวี๋ต้าโหยวปีก่อนถูกผู้ตรวจการยื่นฎีกา ในราชสำนักก็ถูกปลดตำแหน่งเจ้าลืมแล้วหรือ? ยังไม่ใช่ว่าเคยปราบโจรสลัดราบคาบไปหรอกหรือ…”

ขุนพลผู้นั้นรีบหุบปากลง ไม่ได้ไปกวาดล้างเส้นทางหนีของเผ่าไท่หนิง ซูปาไฮ่กับถู่ม่อเท่อและพวกตำแหน่งสูงหลายคนอยู่ใต้การอารักขาแน่นหนา รวบรวมกำลังที่เหลือหลบหนีไปทางตอนเหนือ

ยามนั้นชัยชนะเห็นอยู่แล้ว เนินเขานั่นก็เห็นทหารคนสนิทขุนพลผู้นั้นยกธงขึ้นโบก ภายใต้แสงไฟ ตัวอักษรสีแดงราวโลหิตคำว่า ‘หลี่’ โดดเด่นบนผืนธง

หลี่เฉิงเหลียง ผู้บัญชาการกองทัพเมืองเหลียวโจว…

********

ที่เทียนจินตอนนี้มีเหตุการณ์หนึ่ง นั่นก็คือเริ่มวันที่ 2 เดือนหนึ่ง ในวันอากาศหนาวเหน็บ มีกองกำลังชายหนุ่มพร้อมเพรียงกองหนึ่ง กำลังวิ่งตะโกนคำสั่งอยู่ในเมือง

วันอากาศหนาวที่หยดน้ำเป็นน้ำแข็ง ชายหนุ่มกลุ่มนี้มองแล้วไม่ถึง 20 คน วิ่งไปตามกำแพงเมืองเทียนจิน สวมเสื้อชั้นเดียว คนมองแล้วก็แปลก ตอนเริ่มต้นก็มีเด็กโบกมือวิ่งตามมา แต่ก็มีพวกผู้ชายว่างงานพากันหัวเราะเยาะ วันที่สองก็รู้ว่าเป็นคนของนายกองพันหวังทง ทำเอาทุกคนตกใจ ตอนออกไปวิ่งตอนนี้ โดยรอบก็เรียบร้อยดีมาก

วันที่ 4 เดือนหนึ่งนายกองร้อยหังก็หาที่ย้ายของที่ฝากไว้ออกไปได้ คนที่รับมาใหม่ก็ให้เข้าอยู่ที่ที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรที่นี่เลย

กองตรวจการครั้งนี้ให้ความร่วมมือมาก หวังทงรับคนมามากมายเพียงนี้ ฟานต๋าก็ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามมาสองสามคนโดยเฉพาะ ขอเพียงมีคนมา เสบียงอาหารและเครื่องแต่งกาย็แจกให้ทันที ไม่กล้าถ่วงเวลาแม้แต่นิด

หลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนวันที่ 3 เดือนหนึ่งก็ออกจากเมืองเทียนจิน เขามาเยี่ยมหวังทงก็ไม่ได้มามือเปล่า ยังนำเงิน 5 พันตำลึงมาด้วย เป็นเงินส่วนหนึ่งที่สำนักรักษาความสงบเก็บได้เมื่อปลายปีที่แล้ว

การวิ่งทุกครั้ง หวังทงจะนำด้วยตนเอง เขาต้องออกกำลังกาย อวี๋ต้าโหยวดื่มสุราไปสามวัน วันที่ 4 ก็ให้ม้าลากออกไปเที่ยวนอกเมือง บอกว่าจะหาที่ไว้ตั้งค่ายทหาร

“นายท่าน พรุ่งนี้ช่างตีเหล็กเราก็จะเริ่มเผาเตาตีเหล็กแล้ว งานนี้ต้องมีพิธีการ ดึงกล่องลมเป่าเตาไฟครั้งแรกให้เจ้าของโรงเหล็กดึง นายท่านจะไปดูสักหน่อยหรือไม่?”

หวังทงปาดเหงื่อ เฉียวต้าช่างตีเหล็กก็มาเชิญ หวังทงยิ้มมองเขาแวบหนึ่ง พิธีการอะไรกัน ก็แค่คิดจะเอาใจตนเท่านั้น แต่กิจการของตนเปิดกิจการ ที่ควรให้เกียรติไปสักครั้ง จึงพยักหน้า เฉียวต้ารีบขอบคุณขอตัวกลับออกไป

“จ่ายเงินให้โรงเตี๊ยมเงินไหลมาเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านบอกกับพวกเราว่า หากวันหน้าใต้เท้าไปใช้บริการ ราคาก็จะลดให้ร้อยละ 20”

จางซื่อเฉียงหยิบใบเสร็จออกมา หวังทงมองผ่านๆ แวบหนึ่งก็โยนลงบนโต๊ะ ยิ้มกล่าวว่า

“โรงเตี๊ยมนอกเมืองตั้งมากมายเพียงนั้น ว่ากันว่าฤดูหนาวไม่มีการค้า แต่ก็เปิดกันเยอะขนาดนี้ อีก 3 ฤดูการค้าคงไม่เลว พี่จางพี่หาเวลาไปดูนอกเมืองหน่อย พวกเราจะซื้อมาสักร้านสองร้านได้หรือไม่ ไม่เพียงแต่การค้าดีมีกำไร ที่นั่นถึงเวลาสามารถจัดคนไปคอยจับตาได้”

จางซื่อเฉียงพยักหน้ารับ หวังทงรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ตั้งแต่มาถึงเทียนจินยังไม่ได้พักผ่อนเลย ทุกวันล้วนเตรียมนั่นเตรียมนี่ วันนี้ทุกอย่างสัมฤทธิ์ผลส่วนหนึ่ง ข่าวสารทางเมืองหลวงและการตอบกลับคงไม่มาในเวลาอันสั้น ก็พอหาเวลาว่างพักผ่อนได้สักครู่

“พี่จาง ข้ารู้สึกเหนื่อยล้ามาก อีกสักครู่มีเรื่องอะไรก็ให้พวกเขาค่อยมารายงานตอนค่ำ ข้าขอไปงีบสักหน่อย”

จางซื่อเฉียงรีบรับคำ เอ่ยว่า

“ตั้งแต่มาถึงเทียนจิน ใต้เท้าก็เหนื่อยกับงานมาตลอด รีบไปนอนพักให้มากๆ เถอะขอรับ ถึงเวลาจะให้คนยกอาหารไปให้ท่านในห้อง…”

วาจามารยามกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงประทัดดังมาจากด้านนอก หวังทงขมวดคิ้ว วันนี้ทำไม่มีเหตุว่าทำไมต้องจุดประทัด ยามนั้นเสียงฝีเท้าด้านนอกก็เริ่มดังขึ้น หลี่หู่โถววิ่งเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ ใบหน้าเล็กๆ มีความตื่นเต้นอย่างมาก กล่าวว่า

“พี่หวัง มีคนมาอวยพรปีใหม่!!”

หวังทงอึ้งไป วันที่ 1 วันที่ 2 ตามธรรมเนียมวงราชการ ขุนนางในเมืองเทียนจินที่พอมีคุณสมบัติมาอวยพรก็ส่งเทียบอวยพรมาแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะมาอวยพรตนได้ และมาเยือนในวันที่ 5 นี่ ทำอะไรกันแน่

เขาทางนี้อึ้งไป หลี่หู่โถวกลับเร่งอย่างตื่นเต้นว่า

“พี่หวังรีบไปดูเถอะ ทางกลุ่มนั้นลากเรือเล็กมาลำหนึ่งด้วย”

กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที หวังทงสวมเสื้อคลุมตัวนอกไปที่ประตูหน้าพร้อมกันกับพวกจางซื่อเฉียง เห็นคนครึกครื้นกันไม่น้อย คนในจวนหวังทงที่ไม่มีงานทำกันก็ออกมามุงดูกัน ประตูใหญ่เปิดอยู่ ด้านนอกมีควันประทัดลอยคลุ้ง มองไปเห็นคนไม่น้อยท่ามกลางหมอกควัน

มีเรือน้อยอยู่ด้านนอกจริงด้วย ในเรือมีแสงระยิบระยับไม่รู้ว่าคืออะไร พื้นเรือนั่นเป็นไม้ ด้านหน้ามีวัวเทียมลากอยู่

ควันเริ่มจางหายไป เห็นเรือไม้แขวนผ้าแพรดอกแดง ชายหนุ่ม 10 กว่าคนยืนอยู่ด้านข้าง พอเห็นหวังทงออกมา ก็รีบคุกเข่าลงพร้อมกันโขกศีรษะ กล่าวเสียงดังว่า

“ข้าน้อยขอคารวะปีใหม่ใต้เท้าหวัง ขอให้ใต้เท้าหวังเลื่อนตำแหน่งร่ำรวย!!”

บรรดาคนที่มุงดูกันก็ส่งเสียงดังจอแจขึ้น ประทัดดังขึ้นอีก หวังทงกลับรู้สึกงง นี่มันสายไหนกัน?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!