Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 223

ตอนที่ 223 วิ่งออกกำลัง พบโดยบังเอิญ

ที่กล่าวกันว่า “ผ่านเทศกาลบัวลอย จบงานฉลองปีใหม่” งานโคมไฟในเทศกาลบัวลอยวันที่ 14 – 16 เดือนหนึ่งสามวันนี้เป็นช่วงเวลาสนุนสนานที่สุดของบรรดาทางการและชาวบ้าน เป็นการสิ้นสุดของปีใหม่

ในและนอกเมืองเทียนจินแม้ว่าปีก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวทำลายไปไม่น้อย แต่ไม่ว่าทางการหรือชาวบ้านก็ล้วนร่ำรวย งานโคมไฟแม้ว่าจะงดงามฟุ่มเฟือยไม่เท่าเมืองหลวง แต่ก็มีเอกลักษณ์ของตน

คนหนุ่มสาวก็ชอบความครึกครื้น คนงานและเด็กๆ ก็คิดหาที่ไปชมกัน แต่หวังทงไม่ให้พวกเขาได้หยุดกัน รวมทั้งหวังทงเองก็ด้วย ทุกคนต้องฝึกฝนกันต่อ มีเพียงพวกโรงบ้านและช่างตีเหล็กกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มีครอบครัวมาด้วยจึงได้ไปชม

เมืองเทียนจินนี้ไม่แพ้เมืองหลวง ทุกอย่างต้องจัดการด้วยตนเองใหม่หมด หวังทงไม่มีทางสงบใจลงได้ ที่ทำการทุกแห่งในพื้นที่เทียนจินล้วนมีบางอย่างแอบซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่ามีภัยอันตรายอันใดซ่อนอยู่บ้าง

วิธีที่จะทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยได้ดีที่สุดก็คือต้องเข้มแข็งยิ่งขึ้น สิ่งที่หวังทงทำนั้นก็ทำเหมือนตอนอยู่เมืองหลวง นั่นก็คือไม่หยุดที่จะทำตนเองให้เข้มแข็งยิ่งใหญ่

นอกจากหลี่หู่โถวที่อายุน้อยสุดและค่อนข้างไม่ยินยอมแล้ว บรรดาคนงานและเด็กๆ ก็ล้วนยอมรับการจัดการของหวังทง พวกเขาได้รับการฝึกแบบทหารมานาน จึงทำให้เคยชินกับการปฏิบัติตามคำสั่ง

หลังจากหวังทงปรึกษาหารือกับบรรดาลูกน้องสองสามคนแล้ว ก็กำหนดให้วันที่ 18 เดือนหนึ่งทดสอบสมรรถภาพร่างกายของผู้สมัคร ให้จัดที่พักและของใช้ทั่วไปให้พวกเขา

วันที่ 17 เดือนหนึ่ง ในเมืองมีร้านค้าไม่น้อยเปิดทำการ แม้ว่าสินค้ายังไม่ครบเท่าไร คนงานที่บ้านเกิดอยู่ไกลก็ยังไม่กลับมากัน แต่ปีใหม่ก็นับว่าผ่านไปแล้ว ทุกคนก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป

ตอนเช้าตรู่กินอาหารเช้าเสร็จก็นำคนงานและบรรดาเด็กๆ ไปเตรียมตัวในลานบ้าน การวิ่งเริ่มขึ้นอีกแล้ว ประสบการณ์จากการเกณฑ์ทหารในชาติก่อนนั้น ไม่ว่าสิ่งที่ได้พบหรือได้เห็นหวังทงก็ล้วนนำมาใช้กับคนของตน

การฝึกฝนได้ผลอย่างมากจริงๆ ในโลกก่อนนั้นมีหลายอย่างที่หวังทงฝึกสำเร็จอย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้ล้วนทำได้อย่างสบายกว่ามาก ความแข็งแรงและคล่องแคล่วของร่างกายเห็นได้อย่างชัดเจน

พอเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ประตูเมืองเปิดได้ราวหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ไม่มีเจ้าหน้าที่นำส่งข่าวมาสักคน ดูท่าจดหมายตอบกลับจากเมืองหลวงก็คงไม่มีมาอีกเช่นเคย

ม้าด่วนนำส่งจดหมายจากเมืองหลวงมาเมืองเทียนจินก็ต้องใช้เวลาพักแรมคืนหนึ่ง วันที่สองตอนเช้าจึงจะเข้าเมืองมาได้ ยามนี้ไม่มีมา ก็คงไม่มีมาแล้ว

“ทุกคน จัดแถววิ่ง!”

เสียงเรียกพลของหวังทงตามมาด้วยเสียงตอบรับดังกังวานของทุกคน มีคนงานเปิดประตูใหญ่รอไว้นานแล้ว ทุกคนก็พากันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

พวกถานเจียงมีวิธีวอร์มร่างกายในแบบของตนเอง งานของพวกโรงบ้านถูกพวกถานเจียงเหมาไปหมด ตอนนี้ไม่มีม้ามากมายให้พวกเขาดูแล พวกถานเจียงฝึกฝนกันทุกวันไม่หยุด

วิ่งไปที่กำแพงเมือง จากนั้นก็เริ่มวิ่งไปตามเส้นทางริมกำแพงเมือง กำแพงเมืองหลวงล้วนเป็นบ้านคนยากจน แต่ที่เทียนจินนี่กลับแตกต่าง ไม่มีราษฎรอาศัยสักคน ล้วนเป็นพ่อค้ามาตั้งร้านค้ากัน

ร้านค้าเหล่านี้มักมีหน้าร้านเล็ก แต่ตัวบ้านใหญ่โต ล้วนเป็นพ่อค้าที่ทำการค้าสินค้าเหนือใต้เหล่านี้ทำการค้าผ้าไหมแพรพรรณ เครื่องเคลือบ เครื่องไผ่ ซึ่งเป็นของปราณีต ไม่อาจเอามากองกลางแจ้งได้ ดังนั้นก็ต้องวางไว้ในเมืองปลอดภัยกว่า

พ่อค้าในเมืองมากเพียงนี้ และยังเป็นคลังเปลี่ยนถ่ายสินค้า ดังนั้นการค้าของทุกคนจึงไม่เน้นขายปลีก ล้วนเน้นขายส่งเป็นหลัก

วิ่งไปได้สิบกว่าวัน หวังทงก็เข้าใจเมืองเทียนจินขึ้นมาไม่น้อย หวังทงครุ่นคิดอยู่ว่าหรือจะเปลี่ยนเส้นทางวิ่ง ไม่แน่ว่าจะสามารถมองเห็นอะไรมากขึ้น

ยังมีอีกสองร้อยกว่าก้าวก็จะถึงประตูทิศเหนือแล้ว ข้างหน้ามีอะไรบางอย่างปิดทางไว้ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก ที่เห็นก็คือพวกคนมุงเบียดเสียดกันมุงดูอะไรสนุกกันอยู่

ได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากในกลุ่ม ตั้งแต่เดือนสิบสองมา เส้นทางละแวกกำแพงเมืองก็เงียบเหงามาก หวังทงนำคนมาวิ่ง ก็ไม่เคยได้พบเหตุการณ์เช่นนี้

หวังทงยกมือขึ้น คนงานและเด็กๆ ก็พร้อมใจกันหยุด การเคลื่อนไหวอันพร้อมเพรียงนี้ทำให้คนมุงอยู่นั้นพากันอึ้งหันมามอง

แม้จะมีคนรู้ว่าพวกที่วิ่งรอบกำแพงเมืองก็คือนายกองพันหวังที่มาใหม่ แต่ก็มีคนอีกมากที่ไม่รู้ โดยเฉพาะเส้นทางที่เดิมเงียบเหงาอยู่แล้ว พวกหวังทงสวมชุดธรรมดา ทุกคนก็ไม่สนใจอะไร หันหน้ากลับไปมุงดูเรื่องสนุกกันต่อ

ให้ทุกคนหยุดพักสักครู่ หวังทงเดินเข้าไปดู หากเป็นการวิวาททั่วไปก็ให้หลีกทางให้ก็พอ เสียงร้องไห้ดังที่ได้ยินนั้นดังมาจากในลานบ้านออกมาถึงด้านนอก น่าจะเป็นคนที่เดินออกมา

เสียงก็ยิ่งดังขึ้น คนด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน ได้ยินกันว่ามีคนร้องไห้ตะโกนอยู่ที่นั่นว่า

“พี่เจียง พี่เจียง เงินพวกนี้ท่านเอาไปไม่ได้นะ นี่เป็นเงินเตรียมไว้สำหรับสินค้าของปีนี้ หากท่านเอาไปแล้ว เราจะทำการค้ากันได้อย่างไรเล่า!”

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ธูปจุดกันมาสามปี ธรรมเนียมยังไม่รู้จัก เงินค่าธูปปีก่อนเจ้ายังกล้าไม่จ่าย กระถางธูปเจ้ากลับยังวางอยู่ในร้าน บนโลกนี้มีเรื่องง่ายแบบนี้ที่ไหนกัน”

“พี่เจียง ไม่ใช่ว่าเราไม่จ่าย เรือขนส่งเครื่องเคลือบถูกเรือทางการล่มไปที่จี่หนิง หมุนเงินไม่ทัน ขอพี่ให้เวลาเราอีกครึ่งปี รอให้น้ำแข็งในแม่น้ำละลายก่อน เครื่องเคลือบทางใต้ส่งมาก็มีเงินแล้ว”

“เหล่าจางเอ๋ยเหล่าจาง หากร้านค้าที่เทียนจินไม่ยอมจ่ายอย่างเจ้า เช่นนั้นธูปก็ไม่ต้องจุดมันแล้ว นาวาสุคนธ์ก็ไม่ต้องดำเนินการต่อแล้ว ใต้เท้าเราสั่งมาแล้วว่า วันนี้หากเก็บไม่ได้ก็ให้พังร้านเจ้าซะ ให้ทุกคนได้เห็น สร้างเป็นธรรมเนียมปฏิบัติขึ้นมา”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่เจียงเสียงดังไม่น้อย ตะโกนข่มขู่ให้คนมุงได้ยินกันให้ทั่ว “นาวาสุคนธ์” หวังทงได้ยินแล้ว คนมุงนอกสามชั้นและในสามชั้น เบียดเข้าไปไม่ได้ในทันที ได้แต่ถามคนข้างๆ ว่า

“พี่ชายท่านนี้ รู้หรือไม่ว่าที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

คนที่ถูกถามรู้สึกรำคาญ แต่พอเห็นหวังทงแต่งกายไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป และด้านหลังยังมีผู้ติดตามมาอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเป็นระเบียบเคร่งครัด ก็ได้แต่อดทนตอบไปว่า

“สำเนียงน้องชายฟังแล้วไม่ใช่คนที่นี่กระมัง ทำการค้าในและนอกเมืองเทียนจิน ทุกร้านต้องจุดธูปให้แคล้วคลาดปลอดภัย”

“ธูปให้แคล้วคลาดปลอดภัย?”

“ก็คือไปอัญเชิญกระถางธูปจากนาวาสุคนธ์มา ว่าอัญเชิญ แต่จริงๆ ก็คือเอาเงินไปซื้อมา เหมือนกับครอบครัวนี้ปีหนึ่งกระถางหนึ่งก็ราว 50 ตำลึง”

ได้ยินเช่นนี้ ทำเอาหวังทงเกือบหลุดหัวเราะออกมา ดีที่ปั้นหน้าไว้ทัน กระถางธูปกับป้ายสงบสุขมีอะไรต่างกัน ทำใจให้นิ่งก่อนจะเอ่ยถามต่อว่า

“ขอถามพี่ชายอีกหน่อยว่า จุดธูปจะทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยกระมัง!”

“คนโง่ยังไม่เชื่อเลย แต่หากเจ้าไม่จุดประกันได้ว่าไม่ปลอดภัยจริงแท้แน่นอน บรรดาคนจองนาวาสุคนธ์ที่มีทางการหนุนหลัง แม้จะขึ้นศาลพวกเขาก็ไม่กลัว เสร็จเรื่องแล้วคนที่ไปฟ้องสิจะซวย หลายปีมานี้ ใครกล้าล่วงเกินพวกเขากัน”

เสียงคนอธิบายดังมาก คนที่มุงอยู่ด้านหน้าก็หันมามองด้วยความแปลกใจ ชายผู้นั้นรีบก้มหน้าลงหยุดพูดทันที หวังทงถามก็ไม่กล้าตอบอีก

“เจ้าบ้ารีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะลงมือละนะ!!”

เสียงกล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากด้านใน เหมือนว่าคนแซ่จางจะถูกซ้อมจนทรุดลงกองกับพื้น หวังทงคิดแล้วก็พึมพัมกับตนเองว่า

“จ่ายเงินก้อนนี้แล้ว หากเจ้าหน้าที่ทางการไม่มาขูดรีด พวกนักเลงไม่มารบกวนก็คุ้มค่าอยู่”

เขายังกล่าวไม่จบ คนมุงก็พากันแค่นหัวเราะเยาะขึ้นพร้อมกัน มีคนแอบบกระซิบว่า

“นาวาสุคนธ์เอาแต่เงินน่ะสิ กินฟรีหยิบฟรีทำหมด พวกเจ้าหน้าที่ก็ร่วมด้วย …เฮอะๆ นี่ไม่ใช่ว่าพวกเดียวกันหรือ?”

ชายชราผู้นั้นทรุดลงกับพื้น ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงสองคนดังขึ้น ราวกับว่ามีเด็กผู้หญิงด้วย คนข้าง ๆ ก็วิจารณ์เบาๆ ว่า

“เคราะห์ร้ายจริง ลูกสาวเหล่าจางปีก่อนเป็นม่ายพาลูกติดออกมาเพราะแม่สามีไล่ส่ง พอกลับมาถึงบ้านภรรยาเหล่าจางก็จากไป เรือก็ล่ม ผลก็คือจ่ายเงินค่ากระถางธูปไม่ทันเวลา มันช่าง…”

“เหล่าจาง เห็นว่าเจ้าน่าสงสาร ข้ามีทางให้เจ้าเดินละกัน ลูกสาวกับหลานสาวเจ้าก็นับว่าเฉลียวฉลาด ไปทำงานที่หมู่บ้านซิ่งฮวาที่ทางใต้ของเมืองสักปี อย่าว่าแต่ค่ากระถางธูปเลย ไม่แน่นะร้านเจ้าจะดำเนินการต่อไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ว่าไง นี่เป็นทางออกใช่ไหมล่ะ!!”

กล่าวจบ วงในก็มีคนส่งเสียงหัวเราะดังขึ้น มีเสียงร้องไห้ดังของผู้หญิงดังลั่นขึ้นทันที ตามด้วยเสียง “ตึง” เหล่าจางเสียงแหบพร่าสะอื้นไห้ว่า

“ท่านเจียง เงินท่านเอาไปละกัน การค้านี้ข้าไม่ทำแล้ว…”

เสียงลงมือหนักดังขึ้นอีกพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวด หญิงสาวทั้งสองก็กรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ท่านเจียงผู้นั้นโมโหด่าขึ้นว่า

“บอกทางออกให้เจ้า เจ้ากลับไม่เอา ยังคิดจะเอาการค้ามาข่มขู่อีก หญิงสาวสองคนนี้วันนี้อย่างไรก็ต้องนำตัวไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวา ไม่รู้จักดีจริงๆ”

ด้านในและด้านนอกเงียบลง เจตนาชัดเจนแล้ว คนแซ่เจียงจากนาวาสุคนธ์เหมือนว่าจงใจมาที่นี่ก็เพื่อหญิงสองนางนี้นั่นเอง

“เจียงซง หากเจ้าทำเรื่องผิดบาปต่อฟ้าดินจริง วันนี้ข้าจะหัวโขกกำแพงตายอยู่ที่นี่เลย!”

ด้านในระอุขึ้นอีกครา เสียงเหล่าจางเด็ดเดี่ยวยิ่ง คนอ่อนแอกว่าไร้ทางเลือกเป็นเช่นนี้เอง ก็ได้แต่ใช้ความตายมาบีบ เจียงซงผู้นั้นกลับหัวเราะฮาลั่น เอ่ยว่า

“เจ้าจะตายก็รีบตายไปซะ หากไม่กล้า ข้าจะช่วยลงมือเอง หญิงสาวแรกแย้มสองนางจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลอีก!”

หวังทงคว้าตัวชายที่คุยกับเขาเมื่อครู่เอาไว้ ถามว่า

“เรื่องแบบนี้นาวาสุคนธ์ทำบ่อยไหม?”

ชายผู้นั้นคิดจะด่า แต่พอเห็นสายตานิ่งของหวังทงก็ยอมกล่าวอู้อี้เบาๆ ขึ้นว่า

“ก็แค่สองชีวิต ทางการไม่สนใจ พวกเขาก็ย่อมทำกันบ่อยๆ น่ะสิ”

หวังทงผลักคนพูดออกไปข้างหนึ่ง ยามนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างตกใจว่า “ท่านพ่อ อย่า…”

“หยุด!!”

อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างหาทางจบไม่ได้ หวังทงตะโกนดังอยู่ด้านนอก ไม่มีใครคาดคิดว่าอยู่ๆ จะมีเสียงดังเช่นนี้ได้ ด้านในก็เงียบลง สายตาทุกคู่มารวมกันอยู่ที่หวังทง

หวังทงก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปด้านใน คนมุงทั้งหลายก็ย่อมเปิดทางให้ หญิงนางหนึ่งกำลังอุ้มขาข้างหนึ่งของชายชราเอาไว้ เด็กหญิงอายุน้อยแผดเสียงร้องไห้อยู่ข้างๆ ….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!