ตอนที่ 227 วันหน้ายังมีโอกาสได้พบกัน
ร่างยืนทื่ออยู่ตรงนั้น ดาบหนึ่งฟันลงบนศีรษะ โลหิตสดพุ่งออกจากปากแผลราวกับน้ำพุ ผู้ที่อยู่ใกล้ต่างก็ถูกโลหิตกระเซ็นเปื้อนไปด้วย
แต่ทุกคนไม่ได้รู้สึกยินดีอย่างเช่นหวังทง บรรดาคนของนาวาสุคนธ์ล้วนราวกับถูกยาพิษร้ายแรง รีบหดตัวถอยกลับ ชายชราผู้นั้นในยามนี้กำลังถูกประคองให้ทรงตัวอยู่ด้วยคนด้านหลัง พอเห็นศีรษะกลิ้งลงพื้น โลหิตสดพุ่งกระเซ็น เคราขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยเล็กน้อย คิ้วพลันขมวดเข้าหากันอย่างไม่ทันรู้ตัว
หวังทงมองไปสี่ทิศ ราวกับราชสีห์จ้องมองฝูงแกะที่ล้อมเขาไว้ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“ข้าปฏิบัติงาน พวกเจ้ายืนทำอะไรกัน?”
ทุกคนกำลังหลบโลหิตที่พุ่งออกมา ไม่ทันได้รับรู้วาจาหวังทง หวังทงคำรามเสียงดังอยู่บนหลังม้าว่า
“คุกเข่าลงให้หมดทุกคน!!”
บุกเข้ามาและยังลงมือโหดเหี้ยม ทุกคนล้วนราวกับถูกสายฟ้าฟาด เสียงตะโกนของหวังทง ทำเอาทุกคนพากันคุกเข่าลงอย่างบังคับตนไม่ได้
“ใต้หล้าล้วนเป็นแผ่นดินราชวงศ์หมิง กองกำลังพิทักษ์ประจำเทียนจินก็เป็นกองกำลังของราชวงศ์หมิง ผู้ปฏิบัติงานก็เป็นขุนนางราชวงศ์หมิง อย่างไรก็ไม่ใช่ของนาวาสุคนธ์บัดซบเช่นพวกเจ้า!!”
ชายชราเคราขาวผู้นั้นก็คุกเข่าลง โขกศีรษะลงกับพื้นกล่าวว่า
“ใต้เท้าสั่งสอนได้ถูกต้อง ชาวนาวาเรากระทำการเหิมเกริมยิ่ง ละเมิดกฎหมายราชวงศ์หมิง วันนี้ใต้เท้ามาจัดการ ราวกับฝนชะโลมแผ่นดินแห้งแล้ง มิเช่นนั้นช้าเร็วก็ย่อมกลายเป็นภัยร้าย ความเมตตากรุณาเช่นนี้ สำนักเราไม่รู้ว่าจะขอบพระคุณเช่นไร วันหน้าต้องไปคารวะขอบคุณถึงที่จวนแน่นอน”
เห็นชายชราอายุมากและยังมีท่าทีเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าวาจาที่ออกมาจะน่าอายเช่นนี้ได้ เขาอ่อนข้อให้อย่างที่สุดเช่นนี้ทำเอาหวังทงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรต่อไปดี
รอบข้างเงียบกริบ ชายชราผู้นั้นผ่อนลมหายใจลง คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะเอ่ยขึ้นว่า
“ที่ตามเจียงซงไปยังมีอีกห้าคน มอบตัวออกมาให้หมด!!”
วาจานี้ทำเอาทุกคนสะดุ้ง บรรดาคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นพากันตัวสั่น พวกหวังทงพากันเบนหัวม้ามา หากมีสิ่งใดไม่ถูกต้องก็จะได้กระโจนเหยียบย่ำชะโลมที่แห่งนี้ด้วยโลหิตในทันที
หากชายชราเคราขาวกลับไม่ลังเล กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“เผียวเฉวียน จับเดรัจฉานพวกนั้นออกมา!”
ชายฉกรรจ์ที่สวมหมวกทรงแหลมผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นทันที ร้องเสียงดังว่า
“ท่านหัวหน้า!?”
“ยังไม่รีบไปพาตัวมาอีก!!”
คิดไม่ถึงว่าชายชราเคราขาวที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนดีกลับมีอำนาจสูงส่ง ชายสวมหมวกทรงแหลมถูกตวาดจนต้องจำใจลุกขึ้น นำชายชุดครามสองสามคนเดินเข้าไปในบ้าน จับตัวคนทั้งห้าคนที่ไปกับเจียงซงออกมา
คนพวกนี้ไม่ได้มีท่าทางอวดเบ่งแบบเมื่อสักครู่อีกแล้ว ทุกคนตัวสั่นงันงก พอถูกโยนลงบนพื้น หวังทงไม่พูดอะไร ก็กวักมือให้ทุกคนลงจากหลังม้าพร้อมกัน
“จับพวกมันกดไว้!”
หวังทงตะโกนสั่ง ลูกน้องก็รีบเข้ามาจับมือเท้าพวกนั้นเอาไว้ หวังทงหยิบดาบใหญ่ของหม่าซานเปียวออกมา หันหน้าไป ก่อนจะยกสันดาบฟันลงไปอย่างแรง
ในลานบ้านมีเสียงหวีดร้องโหยหวนดังขึ้น หวังทงโดดขึ้นหลังม้า ก้มลงกล่าวว่า
“หักขาและแขน สั่งสอนพวกเจ้าก่อน จากนี้ไป หากข้าพบเห็นเรื่องเช่นนี้อีก ก็ย่อมตัดศีรษะทิ้งสถานเดียว!”
ศพที่ไร้ศีรษะยังอยู่กลางลานบ้าน โลหิตยังคงไหลริน บรรดาคนทั้งห้าที่ถูกหักแขนหักขาดิ้นรนร้องครวญครางอยู่บนพื้น ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวน ความไม่พอใจและความโกรธมลายหายไปสิ้น
“ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยจัดการแทนเรา สำนักนาวาสุคนธ์ทุกคนรู้สึกสำนึกในบุญคุณอย่างหาที่สุดมิได้”
ชายชราผู้นั้นมีท่าทีเคารพนอบน้อมขึ้นเรื่อยๆ เขายอมอ่อนให้ถึงขึ้นนี้ หวังทงก็ย่อมไม่อาจเอาเรื่องต่อไปได้ กระแทกสีข้างม้าสองสามทีให้ตรงไปหยุดเบื้องหน้าชายชรา ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เจ้าเป็นใคร มีตำแหน่งอะไรในสำนักนาวาสุคนธ์!”
“ข้าน้อยแซ่จิน ชื่อว่าโต่วชาง ไม่มีตำแหน่งอะไรใหญ่โต เป็นแค่หัวหน้าหน่วยในสำนักเท่านั้น ดูแลไม่ดี รู้สึกละอายต่อใต้เท้ายิ่งนัก”
หวังทงแค่นยิ้มเยียบเย็น เอ่ยว่า
“เจ้าก็ระวังให้ดี อย่าได้ตกอยู่ในมือข้า วันหน้ายังมีโอกาสได้พบกันอีก”
กล่าวจบก็โบกมือ ทุกคนก็จากไปอย่างสง่างาม
ยามนั้นเผียวเฉวียนก็เข้าไปประคองจินโต่วชางขึ้นมา หวังทงนำคนจากไปแล้ว เผียวเฉวียนกัดฟันกรอดถามขึ้นว่า
“หัวหน้าจิน จากนี้ไปเราจะทำเช่นไร!?”
จินโต่วชางไม่ได้มีท่าทีนอบน้อมแบบเมื่อสักครู่ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบขึ้นว่า
“จะทำเช่นไร เจ้าจะทำอะไรขุนนางผู้นั้นได้ ก็ต้องยอม ข้าจะไปปรึกษาหัวหน้าใหญ่ก่อน เจ้านำคนของเราออกไปก่อน ไม่มีข่าวอะไร ก็ปักธูปกันนอกเมืองไปก่อน”
ได้ยินจินโต่วชางกำชับอย่างเข้มงวด เผียวเฉวียนก็ได้แต่รับคำอย่างไม่เต็มใจนัก มองดูพี่น้องที่นอนกลิ้งอยู่กับพื้น เดินเข้าไปถามว่า
“พี่น้องพวกนี้ล่ะ?”
“ถ่วงด้วยก้อนหินโยนลงทะเล หาเรื่องมาให้ชาวนาวาสุคนธ์เรา หรือยังคิดจะออกเงินรักษาพวกมันอีก…”
*******
เส้นทางขากลับกลับไปเส้นทางเดิม เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่หวังทงลงมือสังหารมา หม่าซานเปียวไม่ได้ลงมือก็รู้สึกคันไม้คันมือยิ่ง
เดินไปได้ครึ่งทางก็เร่งม้ามาเทียบข้างหวังทง กระซิบถามว่า
“ใต้เท้า เมื่อครู่รังโจรนั่น จับพวกมันทั้งหมดไว้ก็ได้ ทำไมต้องปล่อยไป ลงมือไม่สะใจเลย”
“ด้วยข้อหาอะไร มีเหตุผลอะไรได้อีก? เจ้าคนแซ่ชุยกับเจียงซงนั่นเรียกได้ว่าคิดร้ายกับเจ้าที่หน้าที่ทางการ คิดสังหารขุนนางก่อการร้าย พวกที่โดนหักแขนหักขาไปก็เรียกได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด คนอื่นๆ มีความผิดอันใด นาวาสุคนธ์ตามคนออกมาให้เรา พวกเราจะไปทำอะไรได้?”
หวังทงตอบอย่างเย็นชา หม่าซานเปียวอึ้งกล่าวอะไรไม่ออก ถานเจียงเข้ามากระซิบว่า
“ใต้เท้าทำเช่นนี้ก็มีเหตุผล อย่างไรก็กลางวันแสกๆ หากสังหารคนก็ต้องตั้งข้อหา สังหารเจ้าพวกนี้ไป ก็มีเหตุผล คนอื่นที่เหลือนั้นหากต้องลงมือ เกรงว่าเป็นการหาเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น”
แสดงอำนาจก็ต้องมีขอบเขต ตอนนี้มีคนตั้งใจจับตามองอยู่มาก หวังทงรู้ว่าเรื่องที่ทำลงไปนี้ ในสายตาคนอื่น เกรงว่ามิใช่เป็นเพียงปัญหายุ่งยากเท่านั้น
ว่าไปก็บังเอิญ เดินกลับไปตามทางเดิม ผ่านหน้าบ้านตระกูลจาง ก็ได้พบกับหลี่หู่โถวที่วิ่งเหยาะๆ ด้วยชุดพร้อมต่อสู้
พอเห็นคนกันเอง หวังทงก็รู้สึกดี ยิ้มโบกมือทักทายบนหลังม้าว่า
“กลับไปๆ เรื่องจบแล้ว สังหารมันผู้นั้นไปแล้ว!”
คนงานยังดี แต่บรรดาเด็กๆ ต่างมีสีหน้าผิดหวัง เสียงเคลื่อนไหวทำให้ตระกูลจางทั้งครอบครัวเดินออกมาจากในบ้าน คุกเข่าลงโขกศีรษะที่หน้าประตู ขอบตาเด็กสาวบวมแดง ยามนั้นรู้สึกอยากรู้จนต้องชะเง้อมอง ไม่รู้ว่าทำไมต้องคุกเข่าลง
ลูกสาวเหล่าจางกำลังจะยกมือกดให้คุกเข่าลง หวังทงอยู่บนหลังม้าส่งยิ้มให้กล่าวว่า
“อากาศหนาวเช่นนี้ เด็กน้อยโขกศีรษะทำไม ต้าไห่ ให้ใครมาแบกศพคนแซ่ชุยไป อย่าได้ทำเปรอะเปื้อนประตูบ้านผู้อื่น”
ซุนต้าไห่รับคำ นำคนงานสองคนเข้าเคลื่อนย้ายออกไป หวังทงลงจากหลังม้า เดินไปตรงหน้าเหล่าจาง ยื่นมือไปประคองขึ้นมา เห็นคนผู้นี้อายุยังไม่ถึง 50 ดี แต่ผมขาวมาก แม้ว่าจะสวมชุดผ้าแพรต่วนแต่ก็ยังปะชุน เห็นชัดว่าไม่มีเงินทองมากนัก
“เจ้าชื่ออะไร!!”
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยมีชื่อว่าจางฉุนเต๋อ เรื่องวันนี้หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากใต้เท้า ครอบครัวข้าน้อยคงต้องจบชีวิตที่นี่แล้ว”
กล่าวจบก็คุกเข่าลง หวังทงเอื้อมมือรั้งไว้ ยิ้มกล่าวว่า
“กองกำลังสำนักนาวาสุคนธ์มาถึงที่ ท่านมิได้วิ่งหนีกลับเข้าบ้าน ไม่อยากให้ข้าต้องมาโดนไปด้วย ก็นับว่ามีความกล้าหาญ เป็นหนี้อีกเท่าไร ว่ามา?”
เขารู้สึกประทับใจเถ้าแก่จางอยู่มาก หวังทงจดจำเถ้าแก่เซี่ยที่เมืองหลวงได้แม่นยำ คิดถึงตอนสุดท้ายที่คนของตนถูกกักอยู่นอกประตู จางฉุนเต๋อคิดไม่ถึงว่าคนที่สายตาเย็นเยียบเมื่อสักครู่เช่นคนผู้นี้ ใต้เท้าน้อยที่โหดเหี้ยมเด็ดขาดจะนุ่มนวลเช่นนี้ได้
จางฉุนเต๋อเป็นคนซื่อสัตย์ มิเช่นนั้นก็คงไม่ถูกเจียงซงรังแกถึงขั้นนั้นได้ ยามนั้นไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี ได้ยินคำถามหวังทง จึงต้องเสียงแหบพร่าว่า
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเป็นหนี้อีก 600 ตำลึง แต่มีบัญชีที่ยังเก็บไม่ได้อีก 500 ตำลึง ดังนั้นซ้ายขวาโปะไปมา ขอเพียงสินค้าจากแดนใต้ส่งขึ้นมาได้ ก็คงหมุนเงินได้”
หวังทงยิ้มหันมามองถานเจียงกล่าวว่า
“ตอนบ่ายเอาเงินมาให้จางฉุนเต๋อสองพันตำลึง”
พอได้ยินเช่นนี้ ถานเจียงก็พยักหน้ารับคำ แต่จางฉุนเต๋อกลับเข่าอ่อนทรุดลง เป็นการคุกเข่าลง หวังทงเข้าประคองด้วยสองมือ เอ่ยเสียงดังกังวานว่า
“เงินนี้ให้เจ้ายืม ทำการค้าให้ดี ถึงเวลาค่อยคืนให้ข้า วันหน้าข้าต้องการสินค้าอะไรก็จะสั่งจากเจ้า ตั้งใจทำให้ดีก็พอ ดอกเบี้ยก็คิดเป็นค่าเหนื่อยเจ้าก็แล้วกัน ไม่ต้องให้ข้า!”
ได้เป็นหน่วยจัดซื้อของทางการและยังมีเงินมาหมุนแบบไม่ต้องเสียดอกเบี้ย พวกทำการค้าล้วนรู้คุณค่าของสิ่งนี้ จางฉุนเต๋ออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบลนลาน คุกเข่าลง ลืมโขกศีรษะ ได้แต่กุมปากร้องไห้โฮ
ลูกสาวที่อยู่ข้างๆ ก็คุกเข่าลงเช่นกัน เห็นบิดาของตนท่าทางเช่นนี้ ก็สะอื้นไห้ตาม หวังทงยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินเสียงคนข้างๆ ดังขึ้น
“พื้นเย็นเช่นนี้ อย่าได้คุกเข่าเลย”
หันกลับไปมองก็เห็นหม่าซานเปียวจ้องมองหญิงผู้นั้นใบหน้าแดงก่ำ รีบเข้ามาช่วยพูดด้วยท่าทางเก้กัง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าควักตุ๊กตาเสือผ้าขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากที่ไหน หวังทงจำได้ว่านางหม่ามอบให้หม่าซานเปียวแขวนติดตัวไว้ป้องกันสิ่งไม่ดี หม่าซานเปียวส่งให้เด็กผู้หญิงคนนั้นพลางกดน้ำเสียงให้ต่ำลงกล่าวว่า
“เด็กดี เล่นอันนี้”
เด็กผู้หญิงมองเห็นเสือผ้าน่ารัก คิดจะเอื้อมมือมาก็กลัวๆ กล้าๆ หม่าซานเปียวถือเสือผ้าไว้ในมือหยอกล้อเด็กผุ้หญิงเล่น สายตาจับจ้องหญิงสาวที่กำลังสะอื้นไห้
บรรดาคนด้านหลังอดส่งเสียงหัวเราะขึ้นไม่ได้ หวังทงตบท้ายทอยหม่าซานเปียวไปทีหนึ่งก่อนจะลากเขาออกมา หม่าซานเปียวยัดตุ๊กตาเสือผ้าใส่มือเด็กผู้หญิง ไม่ลืมที่จะพยายามฉีกยิ้มให้ เห็นหม่าซานเปียวไม่สนใจอะไรเอาแต่คิดจะอยู่ใกล้ชิดต่อ หวังทงคำรามใส่เบาๆ ว่า
“อย่าทำให้คนเขาตกใจ…”
ขณะนั้นเอง มีคนขี่ม้าวิ่งมา พอมาถึงก็รีบตะโกนดังว่า
“ใต้เท้ารีบกลับจวนขอรับ เมืองหลวงมีสารมาถึงท่าน!”