ตอนที่ 228 กล่องเหล็กในปีนั้น
หวังทงอยู่เทียนจิน เรื่องในเมืองและเรื่องทางการแม้ว่าจะมีคนสำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินคอยบอกกล่าว แต่ก็ยังเหมือนกับคนโง่ ราวกับคนใบ้เช่นนี้ได้
จากการได้ปะทะกับสำนักนาวาสุคนธ์ หวังทงก็รู้ได้ว่าพวกองครักษ์เสื้อแพรสองสามร้อยที่เหลืออยู่ เกรงว่าคงไม่ได้จริงใจกับตนสักเท่าไร มิเช่นนั้นเรื่องนาวาสุคนธ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำไมไม่มีผู้ใดบอกกล่าวแก่ตนสักคน
ฟานต๋ากองตรวจการ ขันทีว่านเต้าและขุนนางน้อยใหญ่ที่เทียนจินล้วนเป็นคนในพื้นที่ อยู่ที่นี่กันมานาน ไม่มีผู้ใดบอกกล่าวแก่ตน เห็นได้ชัดว่านั่งรอดูตนเสียท่าให้เป็นที่ขบขัน
กล่าวถึงกองขนส่งกรมอากร เจ้าหน้าที่ที่นั่นก็เห็นได้ชัดว่าเอนไปทางนาวาสุคนธ์ ในนี้ต้องมีอะไรน่าสนุกอยู่อีกมากเป็นแน่
สามารถนำกำลังที่ผ่านการฝึกฝนพร้อมอาวุธออกมาปรากฏตัวในเมืองหลวงได้เป็นร้อยเช่นนี้ ยังมีฐานที่มั่น และนายท่านชุยกับเจ้าคนแซ่จินนั่น กล่าววาจาออกมาก็มีความรู้เรื่องมารยาทอยู่ รู้จักรุกรู้จักถอย มองก็รู้ว่าติดต่อกับทางการมานาน วันนี้ตนลงมือหนักสยบพวกนี้ลง วันหน้าไม่รู้ว่าจะมีวิธีการแอบซ่อนใดมารับมือกับตนอีก
ขากลับหวังทงขี่ม้าไปเรื่อยๆ คิดเหม่ออยู่บนหลังม้า พวกถานเจียงเรียกหวังทงว่านายท่าน แต่สถานะกลับพิเศษอยู่บ้าง ยามปกติก็ไม่คิดอะไรมาก
ตอนนั้นทุกคนกำลังล้อหม่าซานเปียว ที่หน้าประตูบ้านจางเต๋อฉุนเมื่อครู่ หม่าซานเปียวเอาแต่แสดงท่าทางเซ่อซ่า หากเป็นคนก็ย่อมมองออก
หม่าซานเปียวนิสัยหยาบกระด้าง ปกติก็พูดคุยกับทุกคนอย่างไม่เกรงใจ ตลกหยาบคายก็มักติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่วันนี้กลับหน้าตาแดงก่ำถึงใบหู พูดอะไรไม่ออกสักคำ
จางซื่อเฉียงกับถานเจียงขนาบอยู่สองข้างหวังทง เห็นใบหน้าใต้เท้าคนนิ่งเฉย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ พวกเขาไม่ได้คิดซับซ้อนอย่างหวังทง กลับคิดว่าใต้เท้าตนเพิ่งประสบเหตุสังหารคนตายมาอาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ จึงจงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นว่า
“นายท่าน ท่านดูท่าทางซานเปียว ดูท่าคงมีใจเป็นแน่แล้ว?”
ถานเจียงกล่าวเช่นนี้ หวังทงจึงหันไปมอง ยิ้มตาม กลับเป็นจางซื่อเฉียงที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า
“ใต้เท้า ซานเปียวอายุถึงเวลามีครอบครัวแล้ว แต่ลูกสาวเหล่าจางก็เป็นของเก่า ยังมีลูกสาวติดมาอีก…”
หวังทงโบกมืออย่างไม่สนใจอะไรนัก ยิ้มกล่าวว่า
“ซานเปียวชอบก็พอ เหล่าจางตอนนี้หากไม่อาศัยพวกเราก็คงไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ คนเช่นนี้วางใจได้ หญิงผู้นั้นก็ผ่านอะไรมามากจนมาถึงวันนี้ คงรู้จักทะนุถนอมสิ่งที่จะได้มา แล้วแต่ซานเปียวละกัน!”
สองคนข้างๆ คิดจะเปลี่ยนประเด็น เห็นหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็ยิ้มตามไปด้วย ไม่กล่าวอันใดต่อ ทุกคนล้วนเข้าใจ หม่าซานเปียวคิดอย่างไรไม่สำคัญ ทุกคนคิดอย่างไรไม่สำคัญ นางหม่าพยักหน้าถึงจะใช้ได้
*******
“อาซ้อหม่า น้ำซุปกระดูกแพะให้ข้าอีกชามได้หรือไม่ ปะทะลมหนาวมาตลอดทาง ตอนนี้กระดูกในร่างกายยังแข็งอยู่เลย”
พวกหวังทงพอกลับถึงที่พัก สารจากเมืองหลวงก็มาถึง และเป็นคนคุ้นเคยกันดี มือปราบหวังซื่อผู้ใต้บังคับบัญชาหลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียนนั่นเอง
สีหน้าหวังซื่อซีดขาว หากใจยังสู้ ข้างกายมีถุงหนังวางอยู่ เขานั่งห่อตัวอยู่บนเก้าอี้ซดน้ำซุปร้อนๆ บนตัวยังมีผ้าห่มห่อไว้อีกผืนหนึ่ง
พอเห็นหวังทงเข้ามา หลี่ซื่อก็รีบลุกขึ้นยืน หวังทงรีบก้าวเข้ามากดไว้ ดูแล้วมือปราบหลี่คงลำบากมาตลอดทางไม่น้อยเป็นแน่ รีบกล่าวว่า
“คนกันเองทั้งนั้น มารยาทอะไรกัน นั่งตรงนั้นว่ามาก็พอ!”
หลี่ซื่อไม่กล้ารอช้า จึงนั่งคารวะอยู่บนเก้าอี้ วางชามซุปลงยิ้มกล่าวว่า
“นานแล้วไม่ได้เจอใต้เท้า ดูแล้วสูงใหญ่แข็งแรงกว่าตอนอยู่เมืองหลวงมากเลย สองวันก่อนใต้เท้าหลี่ว์กำชับข้าน้อยให้ออกนอกเมืองมาพร้อมคนสองคนและม้าหกตัว ตลอดทางนอกจากแวะพักม้าให้กินอาหารแล้วก็เปลี่ยนม้าเร่งเดินทางมาตลอดไม่หยุด สองวันก็นำสารมาถึงที่นี่ได้ ใต้เท้าดูปากถุงที่ปิดไว้ เส้นเงินด้านบนยังรมด้วยครั่งผนึกอยู่ ไม่เคยเปิดออกมาก่อน ขอใต้เท้าตรวจสอบ”
กล่าวจบ ก็ส่งมอบถุงใบนั้นให้อย่างนอบน้อม ส่งให้หวังทงไป ปากถุงเป็นดังที่หวังซื่อว่ามาก็คือผูกเอาไว้ ด้านบนผนึกด้วยครั่งไว้ หากเปิดออก ก็ย่อมรู้ได้ในทันที
หวังทงคว้ามีดสั้นที่เอวออกมา กำลังเปิดถุงออก หวังซื่อที่อยู่ข้างๆ ก็กระแอมไอขึ้นทีหนึ่ง กดเสียงให้ต่ำลงกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหลี่ว์บอกว่า ของในถุงนั้นสำคัญมาก ให้ท่านเปิดตอนไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย”
แม้ว่าจะกดเสียงให้ต่ำ แต่ทุกคนใต้ห้องก็ล้วนได้ยิน ทุกคนรีบก้มตัวลง หวังทงคว้าถุงหนังเข้าไปในห้องตนเอง
ถุงแม้ว่าใบใหญ่ แต่ตอนรับมาก็ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักอะไร พอเข้าไปในห้องใช้มีดสั้นตัดเส้นเงินออก ของข้างในไม่มาก มีซองจดหมายสีน้ำตาลทำจากกระดาษหนา 6 ฉบับ ยังมีถุงผ้าใบเล็กสีเหลือง ด้านในเป็นสิ่งของเหลี่ยมๆ
พอเปิดถุงผ้าออก กล่องเหล็กดำมันวาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า กล่องเหล็กนี้ดูแล้วไม่สะดุดตา แต่มองให้ละเอียดแล้วก็ไม่ธรรมดา สีดำด้านนอกแกะเป็นลายเมฆ ประกบกันอย่างแน่นหนา ใช้คมมีดสั้นแซะไปก็เกรงว่าคงจะแงะไม่ออก
ใส่แม่กุญแจทองเหลืองเล็กๆ อยู่ด้านหน้า มีลูกกุญแจเสียบอยู่ด้านบน ในถุงสีเหลืองใบเล็กยังมีจดหมายพับไว้อยู่ฉบับหนึ่ง
พอเปิดออกอ่าน อักษรบนกระดาษเขียนง่ายๆ ว่า “ขุนนางหวังคิดรายงานทุกอย่างให้เรารู้ ความภักดีนี้เราเข้าใจดี วันหน้าคิดจะเล่าเรื่องใหญ่น้อยที่เราควรจะรู้ให้เราฟัง ทุกอย่างเขียนใส่กล่องเหล็กนี้แล้วใส่แม่กุญแจ ส่งคนนำมามอบให้ขันทีคุมงานที่หอเลิศรส บอกแค่ว่าส่งสินค้าท้องถิ่นเทียนจินมาให้เราก็พอ ย่อมมีคนรับไว้ กล่องเหล็กนี้มีลูกกุญแจสองดอก เรากับเจ้าคนละดอก”
หวังทงพลิกไปมาอ่านจดหมายอยู่หลายรอบ ลายมือจางเฉิงกับโจวอี้เขาล้วนเคยเห็นมา นี่เหมือนว่าฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเขียนด้วยพระองค์เอง จำลายพระหัตถ์นี้ไว้ วันหน้าย่อมมีผลดีกับตน
ซองสีน้ำตาลหนาที่เหลือก็น่าสนใจ ล้วนเป็นเรื่องราวของคนใหญ่คนโตในเทียนจินที่เขาต้องการ นับว่าเป็นเอกสารรายงานที่ละเอียดมาก
ความอึดอัดที่หวังทงได้รับมาจากนาวาสุคนธ์ยามนี้มลายหายไปสิ้น มีอำนาจบารมีเช่นนี้หนุนอยู่ เขาแค่รุกถอยอย่างระวัง ทำความเข้าใจกับบรรดาคนในพื้นที่เทียนจินนี้ให้ละเอียด ยามเจรจาความก็ย่อมตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
*********
นายกองตรวจการฟานต๋าเป็นบัณฑิตระดับจิ้นซื่อในปีรัชสมัยเจียจิ้งที่ 42 รายชื่อติดอันดับต้นๆ จึงได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่สำนักราชบัณฑิต คนระดับนี้อย่างน้อยก็ต้องมีอนาคตเป็นถึงรองเจ้ากรมสักกรม เป็นเสนาบดีหรือว่าเข้าร่วมคณะเสนาบดีใหญ่เป็นไปได้ ที่เป็นอยู่ขณะนี้นับว่าวาสนาน้อยผิดปกติ
อายุน้อยแต่สามารถก้าวไปบนเส้นทางขุนนางได้เช่นนี้ เส้นทางอนาคตสว่างสดใส แน่นอนย่อมวางท่าต่างออกไป เลี่ยงได้ยากที่จะทะนงตนอยู่บ้าง เมื่ออยู่ตำแหน่งสูงก็ย่อมหลงไปบ้าง
รัชสมัยหลงชิ่งที่ 4 ฟานต๋าเป็นถึงหัวหน้ากองในสำนักหนึ่งของกรมทหาร ว่ากันว่ารองเจ้ากรมซ้ายขวาไม่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งก็ต้องเป็นของเขา แต่ฟ้าย่อมมีเมฆฝนที่ไม่อาจคาดเดา ฤดูหนาวปีนั้น ขณะที่ฟานต๋ากำลังกลับบ้าน รถม้าของเขาชนเข้ากับขบวนของชนชั้นสูงเข้า เรื่องเช่นนี้หากแก้ไขกันด้วยความประณีประนอมก็ย่อมได้ เจ้านายทั้งสองก็แค่จับมือกัน ยิ้มให้กัน เรื่องก็ผ่านไปได้
แต่ชนชั้นสูงผู้นั้นกลับอารมณ์ร้อน ด่ากราดออกไปทันที ฟานต๋าก็เป็นคนหนุ่มใจร้อน และยังรู้สึกว่าอนาคตช่างเจิดจรัส จึงได้เกิดการปะทะกันขึ้น
กลางวันแสกๆ ฟานต๋าในฐานะบัณฑิตจิ้นซื่ออยู่สำนักราชบัณฑิต ชนชั้นสูงผู้นั้นก็ไม่กล้าลงมือบนท้องถนนคนพลุกพล่าน สองฝ่ายด่ากันเสร็จก็แยกย้าย
เรื่องนี้หากจะจบลงเช่นนี้ก็ดี แต่คนบ้านเดียวกับฟานต๋ากลับคิดเอาใจฟานต๋าด้วยการเขียนบทกวีชื่นชมในชมรมกวีว่า ฟานต๋ากระดูกเหล็กไม่เกรงกลัวอำนาจชนชั้นสูง โมโหโกรธาใส่ชนชั้นสูงผู้หนึ่งกลางท้องถนน
ราชวงศ์หมิงมีกระแสอย่างหนึ่ง หากขุนนางบุ๋นไม่ไว้หน้าชนชั้นสูงรวมทั้งขันทีหรือขุนนางบู๊ ชาวบ้านไม่ถามว่าใครถูกผิด ก็กล่าวกันทันทีว่าขุนนางบุ๋นผู้นั้นมีเหตุผล ย่อมเป็นพวกเขาที่รังแกผู้อื่นก่อน จึงได้ทำให้บรรดาบัณฑิตที่มาจากการสอบจอหงวนวางก้ามผดุงธรรมเช่นนี้ได้ อย่าได้กล่าวว่าประชาชนเป็นเช่นนี้ เพราะแม้แต่ชนชั้นสูง ขันทีและขุนนางบู๊ก็คิดเช่นนี้
บทชมเชยนั้นออกมาได้ไม่ถึงสองวัน ตามตรอกซอกซอยไปจนถนนใหญ่น้อยก็รู้เรื่องนี้กันไปทั่ว และยังถูกกลับความขาวดำไปหมด ว่าชนชั้นสูงฉุดคร่าสาวงาม ใต้เท้าฟานต๋าไปพบเข้า ไม่เกรงกลัวอำนาจสั่งสอนไป และยังถวายฎีกาอะไรพวกนี้ ชนชั้นสูงผู้นั้นถูกกำราบสิ้น สาวงามยอมมอบกายขอติดตามแทนคุณ
ยังมีพวกเล่านิทานตามโรงน้ำชา หอสุราพวกนั้น ทำเอาบารมีของฟานต๋าโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใด
หลังจากผ่านไปราวสิบวัน ข่าวนี้ก็ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้หลงชิ่ง ฮ่องเต้หลงชิ่งเป็นฮ่องเต้มาหลายสิบปี ทรงเข้าใจในเรื่องพวกนี้อย่างดี เมื่อทรงฟังเรื่องราวอย่างละเอียดแล้ว ก็ทรงแย้มสรวลวิจารณ์ขึ้นว่า
“ก็แค่ชนกันเท่านั้น สองฝ่ายต่างอารมณ์ร้อน สองคนนี้ไม่ว่าผู้ใดต้องการสาวงามเช่นไร ไยต้องแย่งชิง ส่งแม่สื่อไปก็ได้มาครอบครองแล้ว”
ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวลตรัสเช่นนี้ ก็ย่อมไม่มีผู้ใดไปสืบเสาะหาความชนชั้นสูงผู้นั้นต่อ และเรื่องนี้หากสืบกันให้ละเอียดแล้ว เกรงว่าคงเป็นเพราะคนขับรถม้าของฟานต๋าที่ไม่ระวังดูทางให้ดี
แต่เรื่องนี้กลับทำให้ชนชั้นสูงผู้นั้นโมโหมาก นี่เป็นเรื่องไร้สาระโดยแท้ หลายวันนี้ทำเอาอารมร์เสียอยู่หลายวันไม่ว่า ทั้งภรรยาหลวงภรรยาน้อยต่างก็อาละวาด มีคนรู้จักผ่านมาพบ ก็หยอกล้อกันไปยกใหญ่
ในเมื่อฮ่องเต้ทรงมีดำรัสตัดสินเช่นนั้น ชนชั้นสูงผู้นั้นก็ย่อมไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ลำดับถัดมากก็ยอมหาทางเอาคืน ชนชั้นสูงผู้นี้แซ่หลิว ชื่อว่าโสวโหย่ว ในตอนนั้นเป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ซึ่งก็คือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบัน
สั่งการให้สำนักองครักษ์เสื้อแพรตรวจสอบ ฟานต๋าผู้นี้แอบยักยอกเบี้ยหวัดการทหาร ซื้อคนสนิทไว้ได้ เรื่องก็เผยออกมา เรื่องพวกนี้ขุนนางบุ๋นทุกคนล้วนมีส่วน ไม่เพียงแค่ฟานต๋าผู้เดียว ทุกคนแอบรับรู้กันไม่พูดก็เท่านั้น หากเอาเรื่องขึ้นมาก็ย่อมมีโทษ ซึ่งก็มีโทษถึงปลดจากตำแหน่งรอลงอาญาเลยทีเดียว
ลำบากอ่านตำรามาสิบปี ได้มีชื่อสอบติดโผอันดับต้นๆ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ไม่ง่ายนัก กลับเพราะวิวาทเพียงครั้งเดียวก็ดับอนาคตทั้งหมดลง อำนาจวาสนาทุกอย่างหายไปในพริบตา ความโกรธแค้นเสียใจในใจฟานต๋าแค่ลองคิดดูก็รู้ได้ ทุกนล้วนคิดว่าเขาคงจบสิ้นแล้ว
แต่ต้นรัชสมัยหลงชิ่งที่ 5 กลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ฟานต๋าถูกส่งไปเป็นผู้ว่าที่ศาลเมืองไหลโจว ตามธรรมเนียมต้องเป็นหัวหน้ากองในหกกรมที่จะได้เป็นดำรงตำแหน่งนี้ ระดับขุนนางเปลี่ยนไม่มาก แต่สถานะกลับรูดลงหลายส่วน ผู้ใดโดนเช่นนี้ก็ย่อมต้องร่ำไห้สลดใจ นับประสาอะไรกับคนระดับนี้ แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสคืนสู่ราชการ จากตำแหน่งนั้นก็มาสู่ตำแหน่งกองตรวจการประจำเทียนจิน รับตำแหน่งมาจนถึงวันนี้