ตอนที่ 229 อาจเป็นเพียงความบังเอิญ ไม่กล้าเอ่ยถึง
ระดับหลิวโสวโหย่ว ผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังในตอนนั้นก็คือหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตจางจวีเจิ้ง เขาเป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ย่อมรู้ว่าสุนัขที่ถูกตีตกน้ำจะส่งผลเช่นไร
ฟานต๋าผู้นั้นล่วงเกินเขาถึงขั้นนั้น ไหนเลยจะให้โอกาสฟานต๋าอีกครั้ง ไม่จัดการถึงที่ตายก็ย่อมไม่จบ แต่ฟานต๋ากลับผิดไปจากปกติทั่วไป ถึงกับสามารถออกไปประจำตำแหน่งผู้ว่าได้ จากนั้นยังไปเป็นนายกองตรวจการที่เทียนจินได้อีก
แม้ว่าสองตำแหน่งนี้จะเป็นที่คนทั่วไปเรียกว่า “ขุนนางมืดมน” แต่ก็ใช่ว่าจะไร้อนาคต หากมองอีกมุม ก็สบายไม่เบา อย่างน้อยก็ไม่ขัดสนเงินทอง มีอำนาจแท้จริงในท้องที่
จากความตายจนรอดชีวิต ยังได้มีสถานะเช่นวันนี้ ก็นับว่าเกินคาดหมายมากจริงๆ
เหตุใดฟานต๋าจึงมีท่าทีต่อพวกองครักษ์เสื้อแพรเช่นนี้ ทำไมต้องรังแกกันเช่นนี้ เรื่องใดอดีตก็ย่อมอธิบายได้ แต่เขาฟื้นคืนชีพได้อย่างไร เบื้องหลังเป็นผู้ใดผลักดัน ในเอกสารไม่ได้กล่าวไว้ ราวกับว่าไม่รู้เช่นกัน
หวังทงอ่านเอกสารจบก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เริ่มคิดถึงทุกสิ่งที่เข้ามาอยู่ในห้วงความคิดทั้งหมดหนึ่งรอบ กลับคิดอะไรไม่ออก
อายุยังน้อยมากและมีประวัติลึกลับ ทิศทางที่จะเดาไปได้ก็น้อยมาก ไม่รู้ว่าเหตุใด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเบื้องหลังมีใครให้การสนับสนุนฟานต๋า รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
เปิดซองที่สองออกอ่าน ในนั้นเล่าถึงประวัติของขันทีว่านเต้า จางเฉิงถือเป็นอันดับสองในสำนักสิบสองขันที การจะสืบประวัติขันทีก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย
ว่านเต้าเป็นคนที่ไหน มีญาติที่ไหน เข้าวังมาตอนไหน ไปทำงานที่ไหน ได้ตำแหน่งนี้มาอย่างไรก็เขียนไว้ละเอียด สำหรับบรรดาขันทีแล้ว การได้มาดำรงตำแหน่งนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่น่าแปลกอันใด อย่างมากที่สุดก็หาเงินได้ก้อนหนึ่งกลับไป แต่ก็ไม่ได้มากนัก
ว่านเต้าผู้นี้ทำงานที่สำนักอาชาหลวงอย่างขยันขันแข็ง ตามเวลาแล้วก็เป็นลำดับที่เขาได้ออกมา ปรากฏว่าได้มาเป็นถึงขันทีดูแลเสบียง มาถึงก็ทำงานไม่ผิดพลาด เงินทองที่ส่งกลับไปแสดงความกตัญญูก็มีแต่มากไม่มีลด และตรงตามเวลา จึงได้ทำหน้าที่นี้ต่อมาเรื่อยๆ
แต่ทว่าประวัติว่านเต้ามีบางแห่งไม่ถูกต้อง ในปีนั้นที่รับใช้ข้างกายอ๋องจิ่ง ในปีรัชสมัยเจียจิ้งที่ 40 อ๋องจิ่งประชวรจากไป เขาก็กลับเข้าวัง
ฮ่องเต้เจียจิ้งมีโอรสแปดองค์ มีเพียงอ๋องลู่และอ๋องจิ่งที่เจริญชันษาเติบใหญ่มาได้ แต่รัชสมัยเจียจิ้งที่ 40 อ๋องจิ่งล้มป่วยจากไป เพราะฮ่องเต้เจียจิ้งเชื่ออย่างงมงายว่ามังกรสองตัวไม่อาจพบกัน ดังนั้นจึงไม่เข้าใกล้โอรสทั้งสอง อ๋องลู่และอ๋องจิ่งพี่น้องรักใคร่ปรองดอง ว่ากันว่าพระสุขภาพอ๋องลู่ทรงทรุดลงหลังจากทรงร่ำไห้ที่อ๋องจิ่งจากไป
บรรดาอำนาจวาสนาของขันทีก็ล้วนอาศัยบารมีเจ้านาย พออ๋องจิ่งจากไปบรรดาขันทีนางกำนัลก็ย่อมไม่มีทางไปที่ดี ว่านเต้าสามารถแทรกเข้ามาถึงระดับนี้ได้ ก็นับว่าพลิกผันมากแล้ว
หวังทงส่ายหน้า ถอนหายใจ เปิดอีกซองออก คนที่เขียนเอกสารนี้ให้เขานั้นน่าชื่นชมหาได้ยากยิ่ง อาจเพราะรู้ว่าเขาเป็นขุนนางบู๊ ไม่รู้หนังสือ แม้ว่าฟังคนอ่านก็อาจฟังภาษาโบราณไม่เข้าใจ เอกสารพวกนี้จึงใช้ภาษาธรรมดาสามัญเขียน และยังแบ่งประโยคให้ด้วย นับว่าเอาใจใส่ยิ่ง
ขุนพลหลี่ต้าเหมิง ขุนพลคุมกำลังพลที่เมืองเหอเจียนส่งมาประจำกองกำลังพิทักษ์เทียนจิน หากไม่ใช่ว่าเอกสารว่าไว้ คงดูไม่ออกว่าอายุ 52 แล้ว ประวัติคนผู้นี้ในกรมทหารก็มีบันทึกไว้อย่างละเอียด
รัชสมัยหลงชิ่งปีที่ 6 หลี่ต้าเหมิ่งยังเป็นแค่ขุนพลคุมประตูเมืองที่เป่าติ้ง รัชสมัยว่านลี่ที่ 2 ก็ได้ถูกเลื่อนขั้นให้มาดำรงตำแหน่งนี้
นี่ก็ปกติ ขุนพลจากกองกำลังพิทักษ์จะเลื่อนตำแหน่งก็ต้องเป็นไปตามอาวุโสอยู่บ้าง มีบ้างที่สร้างความดีความชอบและได้เลื่อนตำแหน่งแบบก้าวกระโดด หลี่ต้าเหมิ่งผู้นี้ทลายรังโจรสลัดนับร้อยที่เขตเมืองเป่าติ้ง ได้รับความชื่นชมว่ากล้าหาญองอาจ จึงได้รับปูนบำเหน็จตำแหน่งนี้มา
แต่หลี่ต้าเหมิ่งในรัชสมัยเจียจิ้งที่ 35 หลังจากเข้าเป็นนายทหารติดตามข้างกายแม่ทัพหูจงเซี่ยน ผู้บัญชาการมณฑลเจ้อเจียง ปีรัชสมัยเจียจิ้งที่ 41 หูจงเซี่ยนถูกจับเข้าคุกด้วยข้อหา “พรรคพวกเหยียนซง” หากหลี่ต้าเหมิ่งก็ยังได้ไปเป็นนายกองพันที่เมืองฉางโจว
หูจงเซี่ยนปราบโจรสลัดสร้างความดีความชอบ ขณะที่เหยียนซงดำรงตำแหน่งอยู่นั้น ผู้ใดก็ล้วนต้องคบหาเชื่อมสัมพันธ์ มิเช่นนั้นตำแหน่งขุนนางก็คงอยู่ได้ไม่นาน หูจงเซี่ยนเข้าคุกได้สามปีก็ตายในคุก ว่ากันว่าคนที่ให้ร้ายไปด้วยนั้นมีไม่น้อยเลย
ขุนพลหลี่ผู้นี้ก็ดูไม่ธรรมดา หวังทงส่ายหน้าเปิดอีกฉบับออก ล้วนเป็นประวัติธรรมดาทั่วไป ที่ทำการเมืองเหอเจียนส่งมาเป็นประจำกองกำลังพิทักษ์ที่เทียนจินก็เป็นเรื่องปกติ สามปีเปลี่ยนหนึ่งครั้ง ผู้บัญชาการสามกองกำลังพิทักษ์ล้วนเป็นตำแหน่งที่สืบทอดจากต้นตระกูล ก็เป็นเรื่องปกติ ส่วนตำแหน่งเจ้ากรมกองขนส่ง กรมอากรปกติก็สองปีเปลี่ยน นี่ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของกรมอากร
เอกสารบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงกับเขียนว่าครอบครัวมีกี่คน มีความชอบส่วนตัวอะไรบ้าง มีอะไรที่ไม่อาจเปิดเผยได้ สิ่งที่สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรรู้นั้นก็คงถูกบันทึกไว้บนรายงานนี้ทั้งหมดแล้ว
เช่นฟานต๋ามีบ้านน้อยในเมืองเทียนจินสองหลัง เลี้ยงดูหญิงสาวที่ซื้อมาจากแม่น้ำฉินไหวทางใต้ จวนว่านเต้าก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีอยู่สองสามคน เป็นต้น
หวังทงค่อยๆ ปิดตาลง รับรู้เพียงแค่มีใบหน้าพร้อมรอยยิ้มของคนเหล่านี้ลอยเข้ามาให้ห้วงความคิด ทุกคนล้วนกระจ่างชัดขึ้นมาก ยามนั้นหวังทงรู้สึกมั่นใจขึ้นบ้างแล้ว
รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด วิธีคิดและการกระทำต่ออีกฝ่ายก็จะได้ตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น หวังทงวางซองจดหมายลง รินน้ำชาที่วางไว้จนเย็นแล้วให้ตนเองถ้วยหนึ่ง เงยหน้าดื่มลงไป
พอวางถ้วยชาลงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก เมื่อครู่ตอนอ่านจดหมายพวกนี้ ทุกคนเหมือนว่ามีจุดร่วมกันบางอย่าง
เอกสารที่ส่งมาจากเมืองหลวง ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ได้ หวังทงหยิบขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ อ่านทีละฉบับอีกรอบ ครั้งนี้ในที่สุดก็พบความผิดปกติแล้ว
ฟานต๋าล่วงเกินหลิวโสวโหย่วจนต้องออกจากเมืองหลวง ว่านเต้าเคยรับใช้อ๋องจิ่ง ขุนพลหลี่เป็นนายทหารคนสนิทหูจงเซี่ยน ทั้งสามเหมือนจะอยู่คนละข้างกับฮ่องเต้ว่านลี่
แม้ว่าตำแหน่งฮ่องเต้จะผลัดเปลี่ยนปกติ สองคนหลังก็แค่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเท่านั้น แต่สามคนมาอยู่รวมกัน เกรงว่าจะบังเอิญเกินไปสักหน่อย
ตอนเขาเห็นสามคนอยู่ด้วยกัน ยังได้ข่าวสถานะตนมาในเวลาใกล้กัน จึงได้พร้อมใจกันส่งมอบของขวัญมาในเวลาใกล้เคียงกัน ดูเหมือนว่ามีกลุ่มพันธมิตรลับอะไรสักอย่าง
หวังทงยกมือขึ้นตบหน้าผาก คนเองอยู่ในวงราชการมาไม่นาน บางทีนี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ขุนนางอายุ 50 ขึ้นไปในราชสำนัก มีใครบ้างไม่แปดเปื้อนไปกับพวกเหยียนซง คนพวกนี้มาอยู่ร่วมกันก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก บางที่ก็อาจเป็นเรื่องปกติ ตนไม่ค่อยได้เห็นเลยคิดว่าแปลกไปกระมัง
เดิมนั่งอ่านอยู่อย่างตั้งใจ แต่อยู่ๆ หวังทงก็อดไม่ได้ต้องลุกขึ้นเดินไปมาในห้อง
เดินไปสักครู่ ก็คว้าเครื่องเขียนจากตู้หนังสือในห้องออกมา เป็นพู่กันจากขนห่านที่เรียนรู้จากนักสอนศาสนาในเมืองหลวงและทำขึ้นเอง ของอื่นๆ ก็ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย หวังทงฝึกเขียนพู่กันจีนอย่างยากลำบากมาโดยตลอด อย่างไรก็เขียนให้ฮ่องเต้ ก็ควรมีอักษรผิดพลาดน้อยหน่อยน่าจะดี
อ๋องจิ่งเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้ว่านลี่ ปรักปรำหูจงเซี่ยนเป็นความผิดของฮ่องเต้เจียจิ้ง ว่านลี่ในฐานะที่เป็นลูกหลานราชวงศ์ก็ไม่อาจสลัดความรับผิดชอบไปได้ หลิวโสวโหย่วก็เป็นขุนนางที่ทรงปกครองโดยตรง และยังเป็นคนสนิทของมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง บังเอิญหรือไม่ เบื้องหลังมีผู้ใดบงการอยู่หรือไม่ มีสองเรื่องนี้ที่เกี่ยวพันกับราชวงศ์ มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับมหาอำมาตย์ที่ราชวงศ์ยังต้องเกรงอยู่สามส่วน แม้ว่าตนจะสานสัมพันธ์แน่นหนากับฮ่องเต้ ก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่กล่าวออกไปไม่ได้
นับประสาอะไรกับตนที่ยังอยู่ที่เมืองเทียนจิน เรื่องอะไรก็ไม่อาจจัดการได้ทันที…ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หวังทงก็ถอนหายใจยาว ใช้พู่กันขนห่านจุ่มหมึกดำ เขียนลงไปว่า
“ขอทรงพระเจริญ ข้าน้อยหวังทงขอถวายบังคม…แม้ว่าสายสืบองครักษ์มากมาย หากยังคงมีเรื่องใต้หล้าที่ไม่ถึงพระเนตรพระกรรณ ขุนนางในราชสำนักกล่าวก็จะเป็นเรื่องที่ทรงทราบ…กระหม่อมอยู่นอกเมืองหลวง ดังอยู่นอกราชวงศ์ หมิง ขุนนางทำการไร้ความยำเกรง ไม่เกรงกลัวอาญา…กระหม่อมขอเป็นพระเนตรพระกรรณแทนพระองค์ ตรวจสอบ…”
เขียนด้วยภาษาโบราณกับภาษาพูดปกติ เขียนสิ่งที่หวังทงต้องการบอกกล่าวออกมา หากหวังทงกลับไม่กล่าวถึง คำว่า “บังเอิญ” ได้แต่เก็บไว้ในใจ
เขียนเสร็จก็เปิดกล่องเหล็กออกวางลงไปแล้วใส่แม่กุญแจ ไม่รู้ว่าความเห็นที่ตนกราบทูลนี้ไปถึงฮ่องเต้แล้วจะทรงคิดเห็นเช่นไร หวังทงถอนหายใจยาว
ยังมีอีกสองฉบับยังไม่ได้เปิดออกอ่าน แต่มองแล้วก็บางกว่าอีกสองฉบับก่อนหน้าอยู่มาก หวังทงคิดไม่ออกว่าต้องสืบประวัติขุนนางที่เทียนจินให้ละเอียดอีกเท่าไร จดหมายเมื่อครู่ก็กล่าวมาได้เกือบครบถ้วนแล้ว พอเปิดอีกฉบับออกก็พบกว่าสอดเทียบเชิญแบบพับไว้ฉบับหนึ่ง
เห็นซองหนังและกระดาษที่ใช้ก็รู้ว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดี แปดเก้าส่วนก็น่าจะเป็นฝีกมือของหน่วยงานในวัง ของพวกนี้ใช้ทำอะไรกัน หวังทงเปิดออกอย่างงงๆ พบว่าด้านบนมีเขียนอักษรเรียงเป็นระเบียบว่า “รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงขอแสดงความคารวะ” นอกจากเปิดหัวเรื่องไว้เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีอักษรอื่นอีก มีเพียงท้ายแผ่นประทับตราลงชาดสีแดง
มีเทียบเชิญนี้ก็เท่ากับมียันต์ไว้ป้องกันตัว รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ เป็นหน้าเป็นตาของจางเฉิงผู้ติดตามฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เกรงว่าคนไม่ไว้หน้ากันคงน้อยมาก
จดหมายฉบับสุดท้ายมีรายชื่อชุดหนึ่ง ดูเหมือนว่ามีราว 50 รายชื่อ ชื่อบนสุดเขียนชื่อ เซี่ยงเหยียน ท้ายข้อความมีคำพูดประโยคหนึ่ว่า “ไว้ใช้ในยามคับขัน” แปดเก้าส่วนนี้ย่อมเป็นของสำนักบูรพาที่ถูกส่งมาประจำที่กองกำลังพิทักษ์เทียนจิน
วางจดหมายและกล่องเหล็กไว้ด้านหนึ่ง หวังทงล้วงปืนสั้นออกมาจากช่องลับหัวเตียง เริ่มตรวจปืนด้วยความเคยชิน การกระทำเช่นนี้ทำให้จิตใจเขาสงบลง มอบความพิเศษเช่นนี้ให้ตน หากไม่ปฏิบัติงานให้เป็นที่ประจักษ์ ก็รู้สึกละอายต่อฝ่าบาทยิ่งนัก
*********
“กงกง ไฉฝูหลินจากโกดังท่าเรือทงไห่ขอเข้าพบ”
ในคืนนั้น รถม้าคันหนึ่งพร้อมผู้ติดตามอีกสองสามนายก็มาถึงจวนพำนักของขันทีว่านเต้า พร้อมเทียบหนึ่งฉบับ คนเฝ้าประตูรีบรายงาน ไม่นานพ่อบ้านก็ออกมาเชิญ
ชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมลงจากรถม้า ส่งเงินให้คนของว่านเต้าเป็นรางวัลแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องโถง
ว่านเต้าออกมารับ กลับมีการทักทายกับไฉฝูหลินด้วยท่าทีเสมอกัน พอนั่งลงว่านเต้าก็ยิ้มถามว่า
“หัวหน้านาวาไฉ ต้องจัดการคนใต้บังคับให้เงียบไว้ มิเช่นนั้นเรื่องใหญ่แน่ ผู้ใดก็ช่วยท่านไม่ได้”
“เดิมคิดว่าหลังเดือนหนึ่งไปค่อยมีโอกาสได้พบกัน คิดไม่ถึงว่าสองสามวันนี้ก็ไปพบเข้า เป็นชายหนุ่มที่โหดเหี้ยมมาก คนเช่นนี้ต้องการให้คนในบังคับได้รับรู้สถานะ ผู้ใดยังกล้าแข็งข้อลงมือก็ไม่รู้จะยังไง นี่ก็ตกใจจนเข่าอ่อนกันมาแล้ว โขกศีรษะไปไม่รู้ตั้งเท่าไร”
“ก็ไม่เป็นไร วันหน้ายังอีกยาวไกล”