ตอนที่ 232 ทุกเรื่องล้วนมีจุดเริ่มต้น
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าลำดับถัดไปต้องทำอะไร?”
หวังทงอยู่บนเวทีไม้ชั่วคราวถามลงมาด้วยรอยยิ้ม บรรดาชายทั้ง 600 ยืนแยกเป็นสองแถว พวกที่มีความสามารถทักษะยุทธ์ยืนอยู่ด้านขวา พวกที่อาศัยพละกำลังและการวิ่งผ่านการคัดเลือกมายืนอยู่ด้านซ้าย
ได้ยินหวังทงถาม คนด้านล่างก็รู้สึกแปลกใจ ด้านขวาไม่น้อยนิ่งสบตากัน ไม่กล่าวอันใด
กวาดสายตามองไปทางด้านซ้าย หวังทงมองดูแล้วอายุน่าจะน้อยกว่าคนด้านล่างส่วนใหญ่มากนัก และยังถามด้วยน้ำเสียงละมุน ทุกคนจึงรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
“ใต้เท้าต้องดูแลอาหารที่พักให้พวกข้าน้อย ต้องแจกชุดให้พวกเรา พวกข้าน้อยเข้าใจดี จะไม่ทำให้ใต้เท้าต้องเสียเงินและเสียแรงเปล่า พวกเราทุกคนจะทำงานกันอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้ใต้เท้าเสียเปรียบเป็นแน่!”
ก็ไม่รู้ผู้มีฝีปากกล้าผู้ใดตะโกนออกมาเช่นนี้ ทุกคนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าใต้เท้าน้อยยิ่งมากขึ้น ก็รู้สึกว่าตอบได้ถูกต้องแล้ว ก็รีบแย่งกันรับคำกล่าวว่า
“ข้าเพาะปลูกได้เก่งที่หนึ่ง!”
“ข้าดูแลที่นาได้ไม่แพ้ผู้ใด พอถึงหน้าทำนา หลายหมู่บ้านล้วนมาแย่งกันจ้างข้าไปทำ…”
“ทำนาข้าไม่เป็น แต่มีแรงมหาศาล พอน้ำในคลองส่งน้ำละลาย ที่นั่นต้องการแรงงานมาก ข้าน้อยไปแบกสินค้าหาเงินได้ไม่น้อย ไม่ทำให้ใต้เท้าต้องสิ้นเปลืองเงินทองเลี้ยงดูมาก”
เบื้องล่างแย่งกันพูดไม่หยุด หวังทงหรี่ตามองไปกลุ่มคนด้านขวา คนด้านนั้นไม่ได้แย่งกันส่งเสียงดังตาม สีหน้ายังคงรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก
หลังจากเกิดเหตุการณ์จักรพรรดิจูตี้ปราบจลาจลจิ้งหนานขึ้นสู่บังลังก์มาถึงเหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องจากสงครามถู่มู่ในสมัยฮ่องเต้อิงจงแล้ว ราชวงศ์หมิงก็ไม่มีสงครามที่ทำให้ต้องล้มตายกันมาก ไม่มีการรุกรานที่สะเทือนแผ่นดินอันใด ศึกนอกและศึกในก็ล้วนสามารถส่งผู้มีความสามารถและเงินทองไปกำราบลงได้ พอจะเรียกได้ว่าใช้ชีวิตสงบสุขกันมานาน
สงบสุขกันนานไป บรรดาทหารก็เริ่มผ่อนคลายลง บรรดาทหารต่างก็ไม่มีใจใฝ่ในการฝึกรบ แต่กลับคิดแต่ว่าจะสั่งสมเงินทองอย่างไร จะเลื่อนตำแหน่งขุนนางกันอย่างไร
การหักเบี้ยหวัดก็เป็นหนึ่งในนั้น ใช้แรงงานทหารใต้บังคับบัญชามาทำนาให้ตนก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน แรงงานไม่ต้องจ่ายเงิน พืชผลที่เก็บเกี่ยวได้นอกจากเอาไว้กินเองแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นของกองทัพ หากลูกน้องในบังคับพอมีฝีมือ เช่นนี้ก็จะต่างออกไป คนมีฝีมือย่อมหาเงินได้มากกว่าพวกทำนาเพาะปลูก
ครอบครัวทหารที่กองกำลังพิทักษ์ก็เป็นเช่นนี้ บรรดาครอบครัวทหารก็เท่ากับคนรับใช้ส่วนตัวของบรรดาแม่ทัพคุมกำลัง ทำนาใช้แรงงาน ไม่ได้รับการฝึกฝนยุทธ์ใดๆ แม้แต่น้อย
พลทหารองครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงก็ออกเร่เก็บเงินบนท้องถนน จากนั้นก็นำส่งกันขึ้นไป ก็เป็นหนึ่งในนั้น ได้ยินหวังทงถาม บรรดาพลทหารใหม่ด้านล่างก็คิดไปตามความเคยชินที่ผ่านมาของคนที่นี่ ก็ย่อมตะโกนตอบออกมาอย่างคิดว่าเป็นเรื่องปกติเช่นนั้น
เห็นรอยยิ้มนายกองพันบนเวทียิ่งมากขึ้น บรรดาคนด้านล่างต่างก็คิดว่ากล่าวถูกต้องแล้ว ก็ยิ่งส่งเสียงตะโกนดัง บรรดาคนด้านขวากลับมองหน้ากันไปมา ราวกับเริ่มลังเล
หวังทงยกมือขึ้นให้หยุด เสียงเซ็งแซ่ด้านล่างยังคงดังอีกสักพักก่อนจะเงียบลง รอยยิ้มบนใบหน้าหวังทงยังคงอยู่ หากคิ้วกลับขมวดขึ้นอย่างไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น บรรดาคนด้านล่างต่างเรียงแถวกันเบี้ยวไปเบี้ยวมา ตอนนี้ก็เริ่มกระจัดกระจายกันแล้ว คัดเลือกคนจากกองกำลังพิทักษ์มา ด้วยสถานะครอบครัวทหารก็น่าจะพอไว้ใจได้ มีครอบครัวให้การรับรอง ยังรู้สึกว่าพวกเขาอย่างไรก็เป็นกลุ่มทำนาที่แปลงมาจากกองกำลังรบ อย่างไรก็น่าจะมีพื้นฐานการฝึกฝนกันมาบ้าง
แต่มองสภาพเบื้องหน้าแล้ว สิ่งที่ตนต้องทำนั้นยังมีอีกมากมายนัก คนด้านล่างเวทีค่อยๆ สังเกตเห็นว่าใบหน้าหวังทงเริ่มนิ่งลงเรื่อยๆ ทุกคนก็เริ่มเงียบ
หวังทงยกมือชี้ไปด้านหลังคนที่ถูกเลือก กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
“พวกเจ้าหันกลับไปดู คนเหล่านั้นไม่ได้รับเลือก”
หลายคนที่อยู่แถวหน้าก็หันไปมองตามหวังทง ชายหนุ่มไม่น้อยกำลังเร่งขนย้ายสิ่งของก่อสร้างที่พัก แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บ แต่คนเหล่านี้กลับเหนื่อยจนเหงื่อโซมกาย มีคนส่งสายตามองมาทางเวทีด้วยความอิจฉาอยู่เป็นระยะ
“พวกเขาต้องสร้างที่พักให้พวกเจ้า ยังต้องสร้างโรงฝึกอีก รอให้น้ำในแม่น้ำละลาย ยังต้องไปแบกหามหาเงินอีก เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเจ้าว่าจะไปทำงานหาเงินให้ข้าด้วยใช่หรือไม่?”
หวังทงตวัดเสียงสูง ทุกคนหันหน้ากลับมา ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก สีหน้าหวังทงเย็นเยียบลง กวาดตามองไปอีกสองสามครั้ง ก็เสียงดังขึ้นว่า
“หากรับพวกเจ้ามาใช้งานเป็นวัวเป็นม้าหาเงิน ข้าต้องลงแรงทดสอบพวกเจ้ามากมายเช่นนั้นไปเพื่ออะไร รับมาให้หมดไม่ง่ายกว่าหรือ วันหน้าของพวกเจ้าทุกวันจะได้กินดีกินอิ่ม นอนสบาย ใส่อุ่น แต่พวกเจ้าต้องเหนื่อยกว่าแรงงานพวกนี้สิบเท่าร้อยเท่า เข้ามาสังกัดกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ข้าก็จะฝึกพวกเจ้าขึ้นมาให้ได้ ให้พวกเจ้ามีฝีมือ พอออกไปข้างนอกจะได้พบหน้าผู้คนด้วยความภาคภูมิใจ”
กล่าวจบลงด้วยอารมณ์ร้อนแรง คนด้านซ้ายยังคงตะลึงอยู่ หากคนด้านขวาค่อยๆ ตื่นเต้นยินดี ซุนต้าไห่ข้างหวังทงยกมือขึ้นโบก ซุนต้าไห่คว้าขลุ่ยหวีดขึ้นมาเป่าอย่างแรง
เสียงแหลมหวีดดังขึ้น ทุกคนจึงได้สติพากันอุดหู เห็นขบวนแถวสี่เหลี่ยมเล็กๆ จากที่ไกลๆ วิ่งเหยาะๆ เข้ามาในสนาม วิ่งเหยาะๆ ยังไม่มีอะไร แต่ขบวนห้าสิบคนนี้วิ่งมาได้เป็นแนวระเบียบราวกับยืนนิ่งอยู่กับที่ นี่คือความแตกต่าง คนด้านซ้ายรู้สึกว่าวิ่งได้สวยงาม คนด้านขวาสีหน้าตะลึงพรึงเพริดไปทันที
ยามนี้ก็มีพลทหารม้าขี่ม้าเข้ามาสี่นาย สี่คนสี่ม้าแยกไปตามมุมของขบวนสี่เหลี่ยม ไปยืนตรงไม่ขยับอยู่ตรงนั้น
หวังทงยกมือขึ้น ซุนต้าไห่หยุดเป่า ทหารบนหลังม้าสี่นายตะโกนคำสั่งดังขึ้น สำหรับคนเดียวทำก็นับเป็นคำสั่งปฏิบัติที่ง่ายมาก
เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว หันซ้ายขวาหน้าหลัง ย่อเข่า ไม้พลองยาวในมือวางหน้ากระดานแทงออกไป ทำคนเดียวก็เป็นเรื่องง่าย แต่นี่เป็นการทำเหมือนกันทั้งขบวน เริ่มแรกมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ จากคนด้านซ้ายดังขึ้น
การเคลื่อนไหวแต่ละท่วงท่าดำเนินต่อไป เป็นระเบียบพร้อมเพรียง ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า ทั้งสนามถึงกับเงียบกริบลง แม้แต่แรงงานขนย้ายสิ่งของก่อสร้างที่ไกลออกไปยังแอบจ้องมองมาอย่างเงียบๆ ด้วย
หลายสิบคนในสนามรุกถอยเคลื่อนไหวราวกับกองทัพนับหมื่น มีความน่าเกรงขามเฉกเช่นกองทัพ แม้ว่าคนด้านล่างเวทีจำนวนหลายร้อย จำนวนมากกว่าคนห้าสิบคนนี้มากนัก แต่เมื่อทุกคนต้องเผชิญกับกองกำลังเล็กๆ นี้ ก็รู้สึกว่าหากตนขวางอยู่ด้านหน้า ก็ย่อมถูกตีย่อยยับเป็นแน่
“พักแถว!”
คนบนหลังม้าคนสุดท้ายตะโกนดัง หลายสิบคนก็ตะโกนขึ้นพร้อมเพรียงกัน พร้อมกันเก็บไม้พลองลงตั้งไม่ขยับ เขยื้อน ตั้งแต่เคลื่อนไหวจนหยุดนิ่ง จบลงในชั่วพริบตา หากไม่ใช่ว่ายังมีฝุ่นละอองปลิวอยู่ในสนามแล้วล่ะก็ ทุกคนคงยังสงสัยว่ากองกำลังนี้ได้ขยับเคลื่อนไหวหรือไม่
คนด้านซ้ายพากันนิ่งงันไปหมด คนด้านขวากลับรู้สึกตกใจ หวังทงพอใจในผลงานมาก กล่าวเสียงดังอย่างมั่นใจว่า
“รับพวกเจ้ามา ให้เงินพวกเจ้า ให้พวกเจ้ากินอิ่มใส่อุ่น ก็เพื่อฝึกให้ได้เช่นนี้ก็พอ วันนี้เริ่มวิ่งออกกำลังไปก่อน ข้าขอกล่าวไว้ก่อนตรงนี้ว่า ฝึกไม่ดี มีปัญหา ข้าจะไม่ไล่พวกเจ้าไป เห็นพวกที่ไม่ได้รับการคัดเลือกนั่นไหม ยังมีอีกหลายคนที่รอเข้าแทน วันหน้าจะทดสอบทุกเดือน ชนะอยู่ต่อแพ้คัดออก”
“ชนะอยู่ต่อแพ้คัดออก” กล่าวเช่นนี้คนด้านล่างต่างก็ไม่เข้าใจพากันอ้าปากมองตาค้าง หวังทงกระแอมสองที ลูกหลานครอบครัวทหารที่รู้หนังสือก็มี แต่พวกนั้นก็ไปสอบรับราชการกันหมดแล้ว ใครจะมัวมาครื้นเครงอยู่ที่นี่กัน
กวาดตามองซ้ายมองขวาก็เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเบะปาก ราวกับว่าฟังเข้าใจคำกล่าวนี้ ชายผู้นั้นรูปร่างผอมราวกับแท่งไม้แห้ง ยืนอยู่ทางขวา ย่อมเพราะมีความสามารถพิเศษบางอย่าง แต่หวังทงวันนั้นเฝ้าดูมาหลายคน จำไม่ได้ว่าคนผู้นี้ถนัดด้านไหน
รอส่งถานเจียงไปสอบถามกลับมา กำลังจะกล่าวจบงาน ก็ได้ยินคนทางด้านขวาตะโกนดังขึ้นว่า
“ใต้เท้าหวัง พวกข้าน้อยต้องไปวิ่งเป็นขบวนร่วมกับพวกนั้นด้วยหรือ?”
มองตามเสียงไป ก็เป็นชายคนที่เบะปากผู้นั้นพอดี ชายที่ผอมแห้งราวแท่งไม้แห้งถามขึ้นเสียงดัง ชายผู้นี้ดวงตาไม่โต ปากบาง หน้าตาเห็นแล้วไม่สบายตานัก แต่หว่างคิ้วมีประกายความถือดีบางอย่างอยู่
หวังทงยิ้ม เอ่ยถามขึ้นว่า
“ทำไมไม่ฝึก เจ้าคิดว่าเจ้ามีดีอะไรถึงจะไม่ฝึก!”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงก้มกายลงคำนับ จากนั้นก็กล่าวเสียงดังขึ้นว่า
“ใต้เท้า พี่น้องที่ยืนกันอยู่ที่นี่ก็ล้วนฝึกฝนร่างกายกันทุกวันยามอยู่บ้าน ฝึกฝนกันไม่เคยหยุดพัก จึงได้มีความสามารถกันเช่นนี้ ในเมื่อเข้าสังกัดองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ก็ต้องทุ่มเทปฏิบัติงานเพื่อใต้เท้า ไม่ไปทำอะไรเรื่องอะไรพวกนั้นหรอกขอรับ”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า ชี้ไปทางพวกถานเจียงที่ขี่ม้าอยู่ ถามเสียงดังขึ้นว่า
“พวกเจ้าทุกคนเมื่อวานนี้ได้ประลองฝีมือกับพวกเขาแล้ว พวกเขาเทียบกับพวกเจ้าแล้วเป็นอย่างไร เก่งกาจกว่ามากใช่หรือไม่?!”
สำหรับคำถามนี้ ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ ล้วนพยักหน้าเห็นด้วย หลายคนเดิมยังคิดว่าตนพอมีฝีมืออยู่บ้าง แม้ว่าจะสู้ไม่ได้แต่ก็น่าจะยืนหยัดอยู่ได้นานระยะหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ล้มคว่ำลง ส่วนใหญ่ยังล้มในกระบวนท่าแรก ความเก่งกาจของอีกฝ่ายนี้ หากใครเคยฝึกยุทธ์มาก็ย่อมรู้ว่าไม่ธรรมดา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการขี่ม้าและยิงธนูพวกนั้น ทุกอย่างล้วนโดดเด่น หากไม่เคยได้ฝึกมาก็ย่อมรู้สึกว่าไม่เท่าไร หากพวกที่รู้ดีก็ย่อมรู้สึกยอมศิโรราบให้ด้วยใจ
เห็นทุกคนยอมรับ หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“พวกเขาเก่งกาจกันเพียงนี้ แต่ทุกวันยังฝึกฝนอย่างหนัก ข้าเองทุกวันก็ฝึกฝนอย่างหนัก พวกเจ้ามีฝีมือแค่นี้ ถือสิทธิ์ใดไม่ฝึก ได้กล่าวไว้แต่แรกแล้วว่า เพราะพวกเจ้ามีฝีมือ ดังนั้นก็ยิ่งต้องฝึกให้หนัก เทียบกันพวกทางซ้ายแล้วก็ต้องหนักกว่ามาก พวกที่อยู่ทางขวานี้ เบี้ยหวัดก็มากกว่าพวกทางซ้ายสองส่วน แต่หากฝึกได้ไม่ดี ก็จะถูกย้ายไปอยู่ทางซ้าย เช่นกัน หากพวกทางซ้ายฝึกได้ดีมีฝีมือ ก็จะได้ย้ายมาอยู่ทางขวา”
กล่าวจบ บรรดาชายหนุ่มทั้งซ้ายและขวาก็เสียงเซ็งแซ่กันขึ้น ล้วนสบตากันไปมา สายตาเต็มไปแววแข่งขัน
ผลที่ได้ไม่เลว หวังทงยินดีอย่างมาก เขาถามชายร่างสูงผอมผู้นั้นเสียงดังกังวานว่า
“เจ้าชื่ออะไร?”
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยแซ่หม่า ชื่อว่าอวิ๋นขุย”
หวังทงพยักหน้า พลทหารใหม่ด้านล่างส่งสายตาเป็นห่วงมองมาที่หม่าอวิ๋นขุย ในใจคิดว่าคนผู้นี้เมื่อครู่ทำเรื่องไม่ควรทำ โดนใต้ถามถามชื่อไป เกรงว่าคงโชคร้ายแล้ว
หวังทงเดินลงจากเวที มีพลทหารม้าควบม้ามาอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงดังบนหลังม้ามาว่า
“นายท่าน มีราชโองการ รีบกลับจวนรับราชโองการ!!”