ตอนที่ 237 ต้นเดือนสามในเมืองหลวง
วันที่ 2 เดือนสามในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 ท้องถนนในเมืองหลวงตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอยล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ
เงินทองท้องพระคลัง เดือนหนึ่งแม่ทัพหลี่เฉิงเหลียงที่เหลียวตงก็ปราบปรามซู่ปาไฮ่หัวหน้าเผ่าไท่หนิงลงได้ เรื่องน่ายินดีสองเรื่องนี้ทำให้เมืองหลวงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริงยินดี
ในสายตาบรรดาขุนนางฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มทรงนิ่งและเจริญพระชันษาขึ้น ในที่ประชุมขุนนางไม่ว่าทรงได้รับฟังสิ่งใดก็จะไม่แสดงออก ได้แต่ตรัสเรียบๆ ว่า “อนุมัติ” “หารือต่อ” เพียงแค่นี้เท่านั้น
อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ประชุมเสร็จก็มักจะทรงชอบเสด็จออกไปนอกวัง เรื่องนี้ไม่ว่าในราชสำนักฝ่ายนอกหรือฝ่ายในเองก็มิได้มีความคิดเห็นใด เพราะฮ่องเต้น้อยเพียงแค่เสด็จออกไปผ่อนอิริยาบถนอกวังในเขตพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น
ฮ่องเต้น้อยมักเสด็จมาที่ลานฝึกและถนนทักษิณ เสด็จพระดำเนินไปรอบๆ เท่านั้น ทุกครั้งก็ไม่นานนัก จางเฉิงและโจวอี้ก็ตามเสด็จด้วย
วันนี้จางเฉิงรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เป็นผู้ตามเสด็จ พระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ ณ ตอนนี้ก็ไม่นับว่าเตี้ยแล้ว ตอนนี้พระองค์จะทรงพยายามฝึกฝนร่างกายอยู่ที่ลานหน้าห้องทรงอักษรทุกคืน ไม่ได้ละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่ได้รับมาจากลานฝึกแม้แต่น้อย ยังทรงเสวยมากขึ้น พระวรกายตอนนี้จึงทรงสูงเกือบเท่ากับจางเฉิงแล้ว
ไปซื้อขนมเปี๊ยะอบไส้หมูแฮมที่ร้านขนมบนถนนทักษิณร้านนั้น พนักงานที่ร้านรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นจางเฉิงที่มีท่าทางเหมือนเป็นพ่อบ้านบิขนมเปี๊ยะเป็นชิ้นเล็กส่งเข้าปากก่อน เด็กหนุ่มที่ขาไม่ค่อยดีท่าทางเหมือนเป็นคุณชายก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำเช่นนี้ สองคนเดินออกไปจากร้านด้วยกัน
โอกาสที่จะวางยาพิษนี้เท่ากับศูนย์ แต่การจะตรวจสอบยาพิษนี้ก็ต้องทำ งานนี้ก็ให้จางเฉิงเป็นคนทำ ขนมเปี๊ยะไส้หมูแฮมเพิ่งออกจากเตา กลิ่นหอมกรุ่นมาก สำหรับจางเฉิงแล้วก็มิใช่งานยากลำบากอันใด
องครักษ์ในชุดชาวบ้านคอยอารักขาทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง ฮ่องเต้ว่านลี่ยามนี้ก็รู้สึกสบายพระทัยยิ่ง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ทรงต้องการออกมาแบบส่วนพระองค์ สถานะมาถึงบัดนี้มีหลายสิ่งที่ไม่อาจไม่ปล่อยให้เป็นไปตามระเบียบได้
ทรงเดินเล่นพระองค์เดียวเงียบๆ แล้วก็เสด็จกลับวังหลวงเงียบๆ พอเข้าเขตวังหลวง ก็มีขันทีสองสามคนรีบแบกเกี้ยววิ่งเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโบกพระหัตถ์ขึ้นตรัสว่า
“เราจะเดินไปกับจางปั้นปั้นเอง พวกเจ้าไม่ต้องมารอรับใช้”
เดินมาเงียบๆ ได้สองสามก้าว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสด้วยสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“หลี่เฉิงเหลียงสังหารผู้คนทางเหนือไปหลายพัน เป็นที่สะเทือนขวัญโจรเผ่าไท่หนิงเช่นนี้ ทำไมนานขนาดนี้แล้วคณะเสนาบดีใหญ่และกรมทหารจึงไม่ปูนบำเหน็จรางวัล บนถนนทักษิณนั่น เราได้ยินบทเพลงพื้นบ้านร้องสรรเสริญไม่น้อย พวกเขากำลังจะทำอะไรกันอยู่?”
จางเฉิงด้านหลังยิ้มเฝื่อนก่อนจะทูลตอบว่า
“ฝ่าบาทไม่ทรงทราบ คณะเสนาบดีใหญ่และกรมทหารก็ลำบากใจ หลี่เฉิงเหลียงทุกปีจะมีรายงานใหญ่มาครั้งหนึ่ง ตอนนี้ได้บรรดาศักดิ์ถึงระดับป๋อแล้ว ลูกหลานรับสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้แล้ว ยังจะปูนบำเหน็จอะไรให้ได้อีก ทุกครั้งที่หลี่เฉิงเหลียงส่งรายงานขึ้นมา ก็จะแนบรายการค่าใช้จ่ายมาด้วย ควรให้ก็ให้ไป แต่แผ่นดินราชวงศ์หมิงโดยรอบ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ทุกมณฑล ที่ไหนไม่ต้องการเงินเลี้ยงดูกองกำลัง จึงตกลงกันไม่ได้”
นี่กำลังได้ยินจางเฉิงพูดช่วยคณะเสนาบดีใหญ่อยู่หรือนี่ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรจางเฉิงด้วยทรงแปลกพระทัยยิ่ง พอเห็นสีหน้ายิ้มเฝื่อนๆ ของอันดับสองในราชสำนักฝ่ายในแล้ว ก็เห็นชัดว่ากำลังกลัดกลุ้มใจในเรื่องนี้
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงส่ายพระพักตร์ด้วยความรู้แปลกใจยิ่ง ไพล่พระหัตถ์ดำเนินต่อไป ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“รบชนะแล้วยังมีอะไรไม่ถูกต้องอีกหรือ?”
จางเฉิงไหนเลยจะฟังนัยยะไม่ออก ลอบมองซ้ายขวา แม้ว่าพวกองครักษ์และขันทีจะถอยห่างออกไปไกล แต่จางเฉิงก็ยังกดเสียงให้ต่ำลงทูลว่า
“กราบทูลฝ่าบาท ที่เหลียวตงห้าปีมานี้รายงานมาสามครั้ง ทุกครั้งล้วนรบชนะยิ่งใหญ่ แต่ก็ปราบแค่เผ่าไท่หนิง ทุกครั้งได้ริบเอาสัตว์เลี้ยงมาจำนวนหลายหมื่นตัว ตัดคอไปก็หลายพันคน แต่ละครั้งก็…”
กล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่มีสิ่งใดจะตรัสต่อ เสด็จพระดำเนินเงียบๆ ไประยะหนึ่ง กำแพงสีแดงชาดของวังหลวงสองข้างทางมีท้องฟ้าเส้นแคบๆ ปรากฏขึ้นหว่างกลาง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงแหงนพระพักตร์มองขึ้นไป พลันตรัสพึมพัมกับพระองค์เองว่า
“หวังทงนั้นไม่เคยปิดบังอะไรเรา ไม่เคยใช้เงินเราสักแดงเดียว เราเห็นรายงานจากเทียนจิน หวังทงมือเปล่าสร้างฐานกำลังขึ้นมาอย่างยากลำบาก ยังกำราบพวกก่อความวุ่นวายได้มากขนาดนั้น ช่างลำบากหวังทงจริงๆ เงินที่ได้จากสำนักรักษาความสงบก็มอบให้เขาไปอีกสองหมื่นตำลึง เงินที่เขาคิดวิธีหามาได้ ตนเองกลับไม่ได้ใช้ ทำอะไรมากมายเพียงนี้ ในเมืองหลวงกลับไม่มีที่ให้เขายืน”
“ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้ฝ่าบาทควรดีพระทัยถึงจะถูกต้อง หวังทงเติบโตที่เทียนจินก็ยิ่งดี ตอนฝ่าบาทจะย้ายเขาเข้าเมืองหลวงมาจะได้ยิ่งดูมีเหตุผลมิใช่หรือพะยะค่ะ?”
พูดถึงหวังทง พระอารมณ์ของฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มดีขึ้นไม่น้อย สีพระพักตร์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสด็จพระดำเนินไปตรัสไปว่า
“หวังทงมีความสามารถจริงๆ มีหลายคนจับจ้องมองอยู่ หลายคนยังแอบใช้เล่ห์อุบาย แต่เขาก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะการจลาจลในค่ายคืนนั้น…หากเราได้อยู่ที่นั่นด้วยจะดีเพียงใด จะได้ร่วมสู้กับหวังทงและหลี่หู่โถว คงสะใจไม่น้อย คงสนุกไม่น้อยเลย”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลีก็อดทอดถอนใจไม่ได้ จางเฉิงก็ไม่กล้ารับคำต่อ ได้แต่เดินต่อไปเงียบๆ เดินไปได้สองสามก้าว ก็มองไปข้างหน้าเห็นขันทีชุดแดงยกปลายชุดยาวรีบร้อนวิ่งมาอย่างเร็ว องครักษ์เบื้องหน้ามองไปก็หันกลับมารายงานเสียงดังว่า
“จางหงกงกง สำนักส่วนพระองค์พะยะค่ะ!”
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไร หัวหน้าขันทีในตำหนักอ๋องอวี้แซ่จางไม่น้อย ทั้งจางเฉิง จางจิง ยังมีจางหงอีก ตั้งแต่เถียนอันกงกงถูกจับลงโทษ จางหงก็เข้าแทนที่ตำแหน่งขันทีในห้องทรงอักษร เขาค่อนข้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฝิงเป่ามากกว่าจางเฉิง วิ่งมาเช่นนี้ย่อมมีเรื่องสำคัญ
จางหงอายุได้ 40 กว่าแล้ว ยิ่งมาเช่นนี้ก็ทำเอาเหงื่อท่วมใบหน้า มาถึงก็คำนับก่อนจะรีบทูลว่า
“ฝ่าบาท มหาอำมาตย์จางถวายฎีกามาพะยะค่ะ วันที่ 13 เดือนสามจะกลับบ้านไปร่วมพิธีศพบิดาและจะถือโอกาสแสดงกตัญญูไว้ทุกข์บิดาด้วย กระหม่อมได้ฎีกามาก็รีบมาทูลฝ่าบาทพะยะค่ะ”
เรื่องวุ่นวายไว้ทุกข์เมื่อปีก่อน วงการขุนนางใต้หล้าล้วนยืนอยู่ทางนี้ หากพวกที่มองไม่ออก คิดการไม่ซื่อก็ล้วนถูกจัดการล้างบางไปหมดแล้ว
ตอนนี้ราชสำนักมั่นคง จางจวีเจิ้งไม่ต้องกังวลว่าเมื่อตนออกจากตำแหน่งไป ราชสำนักจะเกิดความวุ่นวายอะไร ดังนั้นจึงวางใจและถวายฎีกาเพื่อขอให้ทรงมีราชานุญาตให้กลับบ้านเกิดได้
รับสั่งแรกของว่านลี่ไม่ได้ถามเรื่องนี้ แต่กลับทรงยิ้มตรัสถามไปว่า
“จางหง เรื่องนี้เฝิงกงกงรู้แล้วใช่ไหม?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่ทราบ เช้านี้เฝิงกงกงอยู่ที่ตำหนักไทเฮา เรื่องนี้เร่งด่วน จางกงกงยังตามเสด็จฝ่าบาทออกไปนอกวัง พอได้รับรายงานว่าฝ่าบาทเสด็จกลับมา กระหม่อมก็รีบมาถวายรายงานพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ โบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“เจ้าไปทำงานของเจ้า ส่งคนไปที่ตำหนักไทเฮาทั้งสองพระองค์กราบทูลก่อน เฝิงต้าปั้นทางนั้นก็ต้องอยู่ด้วย เราทางนี้รู้แล้ว”
ได้ยินเช่นนี้ จางหงก็รีบถวายคำนับก่อนจะวิ่งออกไปทันที เรื่องนี้ทำให้ว่านลี่และจางเฉิงหันมาสบตากัน ล้วนไม่มีสิ่งใดจะกล่าว ได้แต่เดินต่อไปเงียบๆ
ข้างหน้าเป็นที่ที่ฮ่องเต้ว่านลี่มักจะมาทรงอ่านหนังสือ ขันทีตามทางที่คอยรับใช้ก็มากกว่าทางที่ผ่านมามาก ได้เห็นโคมไฟหลากสีที่แขวนไว้บนกำแพงและเสาคาน รูปร่างปราณีตงดงาม ดูแล้วก็เหมือนกับโคมไฟในเทศกาลบัวลอย แต่ดูด้อยกว่าสักหน่อย
ขันทีกำลังขึ้นบันไดไปปลดลงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ขมวดพระขนงมุ่น ตรัสถามสุรเสียงเย็นเยียบว่า
“กำลังทำอะไรกัน?”
ขันทีบนบันไดรีบปีนลงมา รอบข้างรีบเข้าไปประคองให้ลงมาคุกเข่าพร้อมกัน มีหัวหน้าคนหนึ่งทูลว่า
“ทูลฝ่าบาท โคมไฟเก่าแล้ว มองแล้วก็ไม่น่าดู พวกกระหม่อมเลยจะปลดลงมาไปเก็บในห้องเก็บของ”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มดูไม่ดีนัก แต่ก็กลับคืนสู่ปกติอย่างเร็ว ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“ไยต้องลำบาก เดี๋ยวเทศกาลบัวลอยมาถึงในวังก็ต้องแขวนโคมตรงนี้อีก ในเมื่อจะประหยัด เช่นนั้นก็แขวนไว้เหมือนเดิม ปีหน้าไม่ต้องซื้อใหม่”
ขันทีกำลังจะทูลตอบ จางเฉิงก็ถลึงตามองไปพร้อมโบกมืออย่างแรง บรรดาขันทีก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องแล้ว ก็ได้แต่โขกศีรษะคำนับถอยออกไปด้วยความลนลาน ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ตรัสอะไรต่ออีก สองคนกับจางเฉิงก็เดินเข้าไปในห้องทรงอักษร พอเข้ามาในลานหน้าห้อง ก็ทรงโบกพระหัตถ์ จางเฉิงรีบกล่าวเสียงดังว่า
“ทำตามธรรมเนียมปกติ ให้คนหนึ่งรอรับใช้ที่ประตูลานด้านนอก ที่เหลือถอยออกไปให้หมด”
บรรดาขันทีในลานหน้าห้องก็ถวายคำนับถอยออกไป จางเฉิงรีบเดินเข้าไปในห้องทรงอักษร พอฮ่องเต้ว่านลี่เข้ามาในห้อง กลับแย้มพระสรวลตรัสว่า
“ได้ยินที่จางหงว่ามา เรื่องทุกเรื่องเฝิงต้าปั้นกับไทเฮาทั้งสองทรงทราบก่อน จากนั้นเราจึงได้รู้ ช่างรู้งานยิ่ง!”
จางเฉิงลากเก้าอี้มาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“จางหงผู้นี้ซื่อตรงไปสักหน่อย ตอนอยู่จวนอ๋องอวี้ก็เกรงกลัวเฝิงกงกง งานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ระมัดระวังยิ่ง รู้ดีว่าเรื่องใดเป็นเรื่องใหญ่ ฝ่าบาท กระหม่อมขอกราบทูลบางอย่าง โคมไฟด้านนอกเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปเถิดพะยะค่ะ สภาพเช่นนั้น แขวนไว้ตรงนั้นไม่น่าดู บางคนเห็นแล้ว เกรงว่าจะคิดมาก…”
“ใครจะคิดก็คิดไป เราอยากให้ในวังครึกครื้นหน่อย ท่านจางใช่ว่าคอยตักเตือนให้เราประหยัดไม่ใช่หรือ เห็นรายงานจากสำนักรักษาความสงบทุกวันบอกว่านักเล่าเรื่องด้านนอกก็ชม บรรดาบัณฑิตก็ชม ว่ามหาอำมาตย์ตักเตือนตรงไปตรงมา รับรองราชวงศ์หมิงสงบสุขไม่ใช่หรือ? ทิ้งโคมไฟเอาไว้ ก็ยิ่งเหมือนสร้างป้ายจารึกให้ท่านจาง!”
จางเฉิงก้มหน้าทิ้งมือข้างลำตัวไม่กล่าวอันใดต่อ พระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่จริงจังนัก ตอนเทศกาลบัวลอย ฮ่องเต้ว่านลี่อยากให้ในวังแขวนโคมให้ครึกครื้น มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งกลับบอกว่าฟุ่มเฟือยเกินไป ตอนนี้ประเทศชาติกำลังต้องการใช้เงิน ฝ่าบาทควรประหยัดไว้ก่อน ไทเฮาทั้งสองกับเฝิงเป่าก็เห็นด้วย ว่านลี่ได้แต่ทำตาม จึงแขวนไว้แต่ในตำหนักส่วนพระองค์เท่านั้น
ธรรมเนียมเช่นกันกับทุกวัน ขณะที่ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ที่นี่ เอกสารรายงานจากสำนักรักษาความสงบที่จัดเรียบร้อยก็วางอยู่บนโต๊ะทรงอักษร เพื่อป้องกันขันทีที่นำส่งแอบอ่าน ทุกวันโจวอี้จะใส่กุญแจกล่องไม้ไว้ด้วย จางเฉิงหยิบลูกกุญแจออกมาเปิดกล่องไม้ นำเอกสารออกมาทีละตั้ง
ยามนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้สึกผ่อนคลายยิ่ง ทรงหยิบเอกสารขึ้นมาพลิกอ่านไป พออ่านไปถึงหน้าหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าทอดพระเนตรเห็นสิ่งใดทำให้ทรงอ่านไปมาอยู่หลายรอบ พลันยกพระหัตถ์คว้าถ้วยชาปาลงพื้นแตกกระจาย
เสียงดังก้องขึ้น ถ้วยชาแตกเป็นเสี่ยงๆ ….