Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 245

ตอนที่ 245 ดึกดื่นริมทะเล

ค่ำคืนดึกสงัดวันที่ 16 เดือนสี่ ณ ที่ทำการตรวจการพ่วงสินค้าริมคลองส่งน้ำ ไปทางทิศใต้สี่ลี้

ที่นี่เป็นที่สบกันของทะเลและคลองส่งน้ำ หลายปีก่อนกองตรวจการที่เมืองเติงโจวและเมืองไหลโจวสองเมืองสำคัญของมณฑลซานตงได้รายงานว่าเรือขนส่งทางทะเลราบรื่นดี มีเรือไม่น้อยแล่นเข้ามาในคลองส่งน้ำ แต่การดำเนินนโยบายทำไปได้ไม่ถึงปีก็รกร้าง ระยะนี้มีแต่เรือทางการแล่นไปมาระหว่างกองกำลังเทียนจินกับกองกำลังเวยไห่เท่านั้น

ที่เทียนจินมีเรือไม่มากที่จะแล่นไปเมืองเหลียวโจวและเมืองจินโจวและใช้เส้นทางนี้ออกทะเล หลังรัชสมัยเจียจิ้งปิดทะเล เส้นทางเดินเรือทะเลต่างๆ ก็ค่อยๆ รกร้าง รัชสมัยหลงชิ่งจึงได้เปิดทะเล และค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น

แต่การเดินทางจากเหนือไปใต้ในสมัยราชวงศ์หมิงนี้ก็อาศัยเส้นทางคลองส่งน้ำจากเมืองปักกิ่งไปเมืองหังโจว การค้าต่างประเทศก็รวมศูนย์ที่เจ้อเจียง ฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง กองกำลังที่เทียนจินนี้สำคัญกว่าเศรษฐกิจมากนัก ดังนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่ค่อยคึกคักนัก

ตอนอยู่เมืองหลวง หวังทงได้ยินคนกล่าวถึงเรื่องการเดินเรือสำเภาก็ล้วนกล่าวเช่นนี้ พอมาถึงเทียนจินได้เห็นนอกเมืองมีการเดินเรือขนส่งรุ่งเรืองก็คิดเช่นนี้

หากไม่ใช่ว่ามาเห็นด้วยตาตนเองในคืนนี้ หวังทงอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าบนท้องทะเลและคลองส่งน้ำจะรุ่งเรืองคึกคักเช่นนี้ได้

แม้ว่าดึกมากแล้ว แต่ที่นี่แสงไฟยังคงสว่างไสว บนท้องทะเลและคลองส่งน้ำยังมีเรือจอดอยู่มากกว่าตอนกลางวันมากนัก เรือใหญ่มากมายลอยลำรออยู่

ที่ท่าเรือก็เห็นคนมากมายกำลังทำงาน คนเหล่านี้เหมือนว่ากำลังขนย้ายสินค้าจากเรือเดินทะเลไปสู่เรือคลองส่งน้ำ

“ช่างเปรียบเสมือนเงามืดใต้แสงตะเกียง หากมิใช่กู่จื้อปินกล่าวกับข้า ข้าไหนเลยจะรู้ว่าที่นี่ยังมีสถานที่คึกคักเช่นนี้ด้วย”

หวังทงอยู่บนหลังม้ามองภาพเบื้องหน้าด้วยความตกใจ อดอุทานออกมาเช่นนี้ไม่ได้ ถานเจียงและคนอื่นที่ติดตามมาด้วยก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน แต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะมองกันตาค้าง

คนในพื้นที่อาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติ พวกหวังทงมาที่นี่ครั้งแรก ไม่มีใครบอกไว้ก่อน พวกเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย

เรื่องพวกนี้ถือเป็นจุดบอดของหวังทง ไม่ใช่ว่าได้สังเกตเห็นหรือไม่ หากไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำไป

ร้านสินค้าตระกูลหวังของกู่จื้อปินจ่ายเงินไปหนึ่งร้อยตำลึงก็ขอซื้อร้านกลับคืนมาได้ แต่พอตรวจบัญชีดู แม้ว่าไม่มีคนมาคอยหักหัวคิว การค้าที่ได้ทำไปสองสามครั้ง กำไรน้อยมากๆ ไม่ใช่ว่ากำไรเท่าไร แต่หากนับแรงงานคนเข้าไปด้วยแล้วละก็ย่อมขาดทุนเป็นแน่

เถ้าแก่กู่ทำการค้าในเมืองหลวงมานาน เชี่ยวชาญการค้าขาย เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ไยจึงไม่อาจสังเกตเห็น แต่กลับทำจนเป็นเช่นนี้ไปได้ มิน่าจึงหมดแรงถึงขั้นขายร้านทิ้ง

หากคิดจะปักตะปูตัวหนึ่งไว้บนพื้นที่นี่ ก็ไม่อาจจะขาดทุนทำไปอย่างน่าประหลาดเช่นนี้ได้ สาเหตุตรวจสอบแล้วก็เป็นเรื่องง่ายมาก ในท้องตลาดมีสินค้าจากทางใต้อย่างเช่นเครื่องเคลือบและผ้าแพรเหมือนกัน แต่ถูกกว่าของร้านสินค้าตระกูลหวังมากกว่าสามเท่า การค้าเช่นนี้ย่อมอยู่ที่สินค้าของผู้ใดขายถูกก็ซื้อของผู้นั้น ราคาเช่นนี้จะไปมีลูกค้ามาซื้อได้อย่างไร

ทุกคนทำการค้าเหมือนกัน สินค้าเหมือนกัน ราคาทำไมจึงต่างกันมากมายเช่นนี้ เดิมคิดว่าสาเหตุจะซับซ้อน คิดไม่ถึงว่าพอสอบถามก็รู้ได้ทันที

“ร้านสินค้าสามร้านใหญ่นั่นและพวกพ่อค้าที่มีสัมพันธ์กับพวกนาวาสุคนธ์ สินค้าได้มาจากการขนส่งทางทะเล แต่ข้าน้อยได้มาจากทางคลองส่งน้ำ ก็ย่อมราคาต่างกัน”

ราชวงศ์หมิงเป็นประเทศใหญ่ หากระบบจัดเก็บภาษีการค้ากลับล้าหลังยิ่งนัก แต่ทว่าการเก็บภาษีเส้นทางขนส่งทางน้ำนี้กลับมีระบบสมบูรณ์ หากเริ่มจากเมืองหังโจวมาเมืองหลวงต้องผ่านด่านเจ็ดด่าน ยังไม่ต้องพูดถึงการผ่านด่านต่างๆ ในพื้นที่อีก สินค้าหนึ่งร้อยตำลึง มาถึงเมืองหลวง แค่ภาษีก็ต้องจ่ายไปเกือบห้าสิบตำลึงแล้ว

ทว่าเป็นการพ่วงสินค้ามา ยังต้องจ่ายเบี้ยรายทางให้กับเจ้าหน้าที่เก็บภาษีอีก สินค้าหนึ่งร้อย ก็ใช้เงินสิบตำลึง ค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างยังทับถมกันขึ้นมา ทำให้ราคาสินค้าจากเหนือมาใต้จึงสูงมาก แน่นอนกำไรก็ย่อมงาม

จะลดค่าใช้จ่ายระหว่างทางได้อย่างไร จะขนสินค้ามาเมืองหลวงด้วยต้นทุนที่ถูกลงได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่พ่อค้าทุกคนคิดใคร่ครวญกัน

น่าจะเริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยเซวียนเต๋อ การพ่วงสินค้าก็ยิ่งมากขึ้น ทางการสั่งห้าม ตรวจเข้มงวด การพ่วงก็น้อยลงหน่อย ตรวจหละหลวม ปริมาณการพ่วงก็เพิ่มขึ้นทันที

แต่การขนส่งบนเส้นทางคลองส่งน้ำ ก็ย่อมหนีไม่พ้นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายก้อนหนึ่ง กล่าวคือ เรือแต่ละลำบรรทุกสินค้าปริมาณหนึ่ง มีบางจุดต้องใช้รถม้าลากหรือวัวเทียม ต้องมีค่าผ่านด่าน คนงานบนเรือก็ต้องจ่ายเงินพิเศษ ค่าใช้จ่ายคนบนเรืออีก ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่แน่นอน

กล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะรัดเข็มขัดอย่างไร พอถึงระดับหนึ่งก็ลดลงไม่ได้อีกแล้ว บรรดาพ่อค้าก็ต้องแสวงหาผลกำไรที่มากขึ้น

“ใต้เท้าหวัง ขนสินค้ามาทางทะเลเกรงว่าจะช้าไป ทำเช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ หรือ ขาดทุนแน่!”

ถานเจียงเชี่ยวชาญในหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องการค้าแล้วยังต้องถามหวังทง หวังทงคิดแล้วก็เขยิบเข้าใกล้ไปมอง ไม่ว่าสำรวจอย่างไรก็มองไม่ออกว่ามีคนอารักขาอะไร

สินค้ามาทางทะเลพวกนี้ พอขนออกทะเลมา ก็เหมือนว่าเป็นเรื่องที่เปิดเผยยิ่งใหญ่ ไม่ต้องป้องกันหรือหลีกเลี่ยงอะไร

แต่หวังทงก็ยังระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ในความมืดสลัวนี้ ตนเองก็มีมาไม่กี่คน หากเกิดเรื่องขึ้นมา คงหนีไม่ทัน

หวังทงรู้ดีกว่า ตนเองที่เทียนจินนี้ไม่ใช่คนที่ใครเห็นใครรักอะไรพวกนั้น การปรากฏตัวเช่นนี้ หากเป็นการล่วงเกินอีกฝ่าย พวกนั้นรวมตัวกันโจมตีก็ใช่ว่าไม่อาจเป็นไปได้

ได้ยินถานเจียงถาม หวังทงก็คิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า

“เรือสำเภาลำใหญ่สุดก็บรรทุกได้แค่ 800 สือ[1] แต่ข้าเคยไปที่กวางตุ้งมาครั้งหนึ่ง รู้ว่าเรือเดินทะเลใหญ่ บรรทุกได้หลายพันสือเป็นปกติ และใช้คนเรือไม่ต่างกัน ประหยัดแรงงาน นับประสาอะไรกับการต้องจ่ายเงินตามเส้นทางคลองส่งน้ำตั้งเท่าไร บนทะเลอีกเท่าไร คิดไปคิดมา จะประหยัดเงินได้เท่าไร มิน่าจึงได้ราคาถูกกว่าสินค้าของร้านค้าตระกูลหวังมากนัก ไม่ว่าคนสมัยไหนก็ไม่อาจมองข้ามไปได้จริง!”

ประโยคสุดท้ายของหวังทง ถานเจียงฟังไม่เข้าใจ แต่ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ส่ายหน้ารับคำว่า

“ใช้ทางทะเล เส้นทางทะเลมีโจรสลัดตั้งเท่าไร โจรบนเส้นทางบกในปีนั้นก็ไม่แตกต่าง ทางทะเลยังไม่รู้ว่าเท่าไร สินค้าขนมาเต็มลำออกทะเลมา ใช่ว่าอันตรายยิ่งมากหรอกหรือ”

หวังทงยิ้มเย็น หยิบแส้ขึ้นมาชี้ไปทางด้านหน้ากล่าวว่า

“พวกเขาต้องเกรงกลัวอันตรายอะไร เจ้าคิดว่านอกจากโจรสลัดแล้ว ยังมีผู้ใดสามารถส่งสินค้าจากตอนใต้ขึ้นมาที่นี่ได้ ราชวงศ์หมิงไม่ต่อเรือมานานเท่าไรแล้ว เรือพ่อค้าธรรมดามากขนาดนี้ เจ้าคิดว่าทางการต่อขึ้นหรือ?”

ก่อนปิดทางออกทะเล ราชวงศ์หมิงนอกจากเรือรบแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้เรือพ่อค้าธรรมดาออกทะเล แม้แต่การต่อเรือเองก็ไม่ได้ แต่การต่อเรือและขายเรือก็เป็นการค้าทางทะเลอย่างหนึ่ง เช่นนั้นก็ย่อมมีกำลังมากถึงขั้นกำไรระเบิดเถิดเทิงกันเลยทีเดียว มีกำไรตรงหน้า กฎหมายจะไปมีอะไร ดังนั้นเรือเดินทะเลใหญ่บนทะเลก็ล้วนเป็นเรือพ่อค้าทั่วไป ทางการไม่อาจห้ามได้

แต่ก็มีการเสียดสีกันว่า เรือที่ต่อเองผิดกฎหมาย แต่ราชสำนักหมิงกับทางก็ล้วนให้ความสำคัญ ขุนนางจากเหนือลงใต้ ก็มักจะนั่งเรือเดินทะเลของพ่อค้า หลายครั้งการขนส่งทางทะเลยังใช้เรือพ่อค้า ผู้ใดก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ไม่ใช้ก็ไม่ได้

หม่าซานเปียวมองไปครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยความสนใจอยากรู้ว่า

“ตามที่ใต้เท้าว่ามา การขนส่งทางทะเลสะดวกกว่าการขนด้วยเรือสำเภาทางคลองส่งน้ำ คนทางเหนือและคนเมืองหลวงก็จะได้ใช้ของราคาถูก นี่เป็นเรื่องดี!”

หวังทงหันหัวม้ากลับมาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“สำหรับราษฎรที่ซื้อสินค้าพวกนี้ไหวก็เป็นเรื่องดีจริง แต่สำหรับราชวงศ์หมิงและประชาใต้หล้าที่ทำนาทำไร่แล้วก็เป็นเรื่องชั่วร้ายมาก การค้ามากมายเช่นนี้ต้องผ่านด่านภาษีมากมาย เงินทองล้วนตกอยู่ในกระเป๋าของบรรดาขุนนาง ส่วนราชวงศ์หมิงเราได้ประโยชน์สักแดงหรือไม่?”

กล่าวออกมาเช่นนี้ทำเอาทุกคนอึ้งไป ก็ใช่ว่าอึ้งตกใจ แต่คือฟังไม่เข้าใจเลยต่างหาก หวังทงขี่ม้าไปอีกสองสามก้าว ก็ถอนหายใจพึมพัมกับตนเองว่า

“ราชวงศ์หมิงก็ใช่ว่าเป็นราชวงศ์หมิงของข้า จะไปเดือดร้อนทำไมกัน!”

วาจานี้ทุกคนไม่ได้ยิน จันทร์สาดแสงสว่าง มองเห็นทางได้ชัดเจน ถานเจี้ยนดึงม้าไว้เข้ามากระซิบกับถานเจียงว่า

“พี่ถานเจียง ใต้เท้าเราอายุยังไม่ถึง 16 ปี ทำไมการกระทำและการพูดการจาเหมือนบรรดาเสนาบดีเฒ่าพวกนั้น”

ถานเจียงยิ้มกระซิบตอบว่า

“ไม่อย่างนั้นจะเป็นนายท่านของพวกเราได้อย่างไร นี่เรียกว่าความสามารถแท้จริง!”

ปริมาณการขนเสบียงทุกปีก็ราว 8 ล้านสือ เงินทองในการขนส่งก็ต้องใช้ถึง 30 ล้านตำลึง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้มาจากภาษีที่นา และบรรดาภาษีด่านต่างๆ

สินค้าขนทางทะเลก็เท่ากับหนีภาษี แต่เงินทองที่ใช้จ่ายในการขนส่งยังคงมากมายเช่นนั้น ปริมาณการขนส่งยิ่งมาก กำไรส่วนตัวก็ยิ่งมาก ค่าใช้จ่ายในการขนส่งก็ยิ่งมากกว่าการเก็บได้จากภาษีที่นา การบีบคั้นเอากับชาวนาก็ยิ่งหนักขึ้น นับเป็นวงจรอุบาทว์

เกียรติยศเงินทองหวังทงและเส้นทางชีวิตก็ล้วนเกี่ยวพันกับฮ่องเต้ว่านลี่ จะว่าไปก็เกี่ยวพันถึงราชวงศ์หมิงด้วยเช่นกัน รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน เสียหายก็เสียหายด้วยกัน มิน่าเขาจึงต้องร้อนใจมากมายเช่นนี้

ความเร็วม้าวิ่งไม่เร็วนัก ยามนี้ประตูเมืองปิดแล้ว กลับเข้าเมืองไม่ทันแล้ว ได้แต่พักที่โรงเตี๊ยมเงินไหลมานอกเมือง ทุกคนขี่ม้ากันมาเงียบๆ ได้ครึ่งทาง อยู่ๆ หวังทงก็กล่าวขึ้นว่า

“พรุ่งนี้ให้เฉียวต้ามาพบข้า มีเรื่องสั่งการ!”

คนข้างๆ รีบรับคำ ทุกคนพากันขานรับและก็เดินทางกันต่อไป

*******

“ซี่โครงหักแค่สองซี่เท่านั้น ตรึงแผ่นไม้ไว้ กินยาสองสามเทียบนี้ให้หมด โชคไม่ดีเลยจริงๆ ไยต้องมารับหน้าที่นี้ด้วย”

โจวอี้ที่นอนอยู่บนเตียงมองเพดานห้องด้วยสีหน้าเลื่อนลอย หมอหลวงที่มาดูอาการให้เขากำชับเหลือทนสองสามคำ ก็ผลักประตูจากไป

โจวกงกงที่เดิมที่แต่คนคอยยก ตอนนี้กลับเป็นแค่ “เสี่ยวโจว” ที่บิดาไม่สนิทมารดาไม่รักไปเสียแล้ว ที่พักอาศัยที่เคยใกล้กับตำหนักฮ่องเต้ก็ย้ายมาที่ห้องเก็บของโกโรโกโสทางประตูเหนือของวังแทน ในห้องมีกลิ่นอับแปลกๆ

เดิมจะส่งเขาไปหน่วยซักล้าง แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงถูกห้ามไว้ งานอะไรก็ไม่จัดให้ ให้เขานอนนิ่งๆ รักษาตัวในห้องเล็กๆ นี่

น้ำใจคนเราหนักเบา ความผันแปรของโลกร้อนหนาว อยู่ๆ โจวอี้ก็รับรู้สัมผัสได้มากมาย มากมายนัก

“โจวกงกง ข้าเอาโจ๊กข้าวขาวกับขนมเปี๊ยะย่างจากหอเลิศรสมาให้ท่าน ยังมีผักดองอีกสองสามอย่าง”

ประตูไม้เปิดออก เห็นเจ้าจินเลี่ยงแบกกล่องอาหารเข้ามาอย่างทุลักทุเล

อยู่ๆ โจวอี้ก็รู้สึกตีบตันในลำคอ รีบยกมือกุมดวงตาไว้…

………………..

[1] 1 สือเท่ากับ 120 ชั่งหรือ 60 กิโลกรัม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!