ตอนที่ 248 ส่งซือเหยียมาให้ถึงที่
ในตอนที่โจวอี้ยังไม่เกิดเรื่อง ไช่หนานก็มักมีท่าทีเต็มไปด้วยความมั่นใจ หลายครั้งออกมาปฏิบัติหน้าที่ก็ล้วนทำได้ดี ตำแหน่งงานอันดับถัดไปของเขาเกือบจะกำหนดได้แล้ว นั่นก็คือหอเลิศรสบนถนนทักษิณ
หอเลิศรสเป็นร้านอาหารของในวังที่ใกล้ชิดวังหลวงมากที่สุด ขันทีคุมงานก็ต้องเป็นขันทีมีระดับ ไช่หนานไปทำงานนี้แม้ว่าอาจจะปรับตัวไม่ได้ในทันที แต่อนาคตวันหน้าก็สามารถรับประกันได้
คิดไมถึงว่าฟ้าจะผ่าลงมาในวันฟ้าใส เรื่องโกงกินของโจวอี้ถูกเปิดโปง วาสนาเงินทองของไช่หนานก็มลายหายวับไปในทันที อย่าได้พูดถึงงานที่หอเลิศรสเลย แม้แต่วังหลวงก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
โจวอี้เป็นคนอดทน ก็คงยังพอยืนหยัดต่อไปได้ ไช่หนานผู้นี้เติบโตมาจากขันทีใช้แรงงานระดับล่าง ค่อนข้างตาลุกวาวกับเงินทองเป็นพิเศษ เมื่อก่อนเรียกรับผลประโยชน์เล็กน้อย ต่อมาสถานะสูงขึ้น ก็เริ่มคว้าเงินก้อนโตอย่างไม่ลังเล
พอมหาขันทีหลินซูลู่แห่งสำนักอาชาหลวงตรวจสอบ แม้ว่าไม่ได้มุ่งมาที่ไช่หนาน แต่ความผิดส่วนตัวรวมกันเข้า ถูกโทษโบยก็คงได้โดนโบยตายทั้งเป็นเป็นแน่
ทว่าไช่หนานอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของบุตรบุญธรรมจางเฉิง เรื่องครั้งนี้ไทเฮาทรงพิโรธหนัก ความผิดหนีไม่พ้น แต่หากต้องโทษลงทัณฑ์ตายไปจริง จางเฉิงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
คนจำนวนมากในวังย่อมอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงได้จัดการไปตามลำดับสายสัมพันธ์ จัดหางานให้ไปปฏิบัติหน้าที่ โยนออกนอกเมืองหลวงไป วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นกับตัวเขาเองแล้ว หลบลมฝนตรงหน้าก่อนค่อยว่ากัน
ไช่หนานนับว่าเป็นคนสนิทโจวอี้ จางเฉิงยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่งเขามาที่เทียนจิน ฝากให้หวังทงช่วยดูแล นี่ก็นับว่าเป็นวิธีการแสดงน้ำใจอันหนึ่ง
อำนาจวาสนาอยู่เบื้องหน้า อยู่ๆ ร่วงลงในบ่อลึก จิตใจคนเราก็ย่อมรู้สึกตกต่ำ ตอนไช่หนานมาถึงเทียนจินใหม่ๆ ก็หดหู่อย่างมาก ทุกวันเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง
ผ่านไปเช่นนี้ห้าวัน ก็ถูกหวังทงตามไปที่ห้องโถง เขาก็ไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก เดิมคิดว่าอีกฝ่ายจะปลอบใจสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าหวังทงได้แต่สอบถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
สอบถามเรื่องราวที่โจวอี้ทำผิดทั้งหมด พอถามจบก็นั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้าพูด เจ้าเขียน”
ผู้ที่สามารถติดตามโจวอี้และจางเฉิงออกหน้ารับรองเช่นนี้ ทักษะการเขียนอย่างไรก็คงต้องมี หวังทงพูดเป็นภาษาพูด ไช่หนานก็แปลงเป็นภาษาทางการ
ทว่าพอบันทึกจบ ก็คัดลอกใหม่อีกแผ่น เพราะขณะที่บันทึก มือไม่รู้สั่นไปกี่ครั้ง น้ำหมึกกระเด็นเปื้อนกระดาษ สกปรกจนไม่อาจอ่านได้
“โจวอี้เพียงแค่มีจิตใจแสวงหาความก้าวหน้ามากไปหน่อยเท่านั้น ตัวเขายังคงพึ่งพาได้ สำนักรักษาความสงบเขาก็เข้าร่วมมาแต่ต้น…”
“….นอกวังในวังก็ล้วนรู้ว่าโจวอี้เป็นบุตรบุญธรรมจางกงกง บุคคลอันดับหนึ่งในวัง หากไม่จัดวางเขาให้เหมาะสมหรือรักษาเขาไว้ไม่ได้ ก็ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงของกงกง…”
“…โจวอี้แม้ว่าจะรู้จักไตร่ตรองและรักษาท่าทีสงบนิ่งมาได้ แต่อย่างไรก็ตามน้ำตามลมมาถึงปัจจุบัน ไม่เคยพบกับอุปสรรคอันใด เรื่องนี้ฟาดผ่าลงบนศีรษะ คิดไปคิดมาแล้วก็เป็นเรื่องดี วันหน้าอนาคตย่อมประมาณมิได้ กงกงมีผู้สืบทอดแล้ว…”
วาจาล้วนเป็นการคาดเดาและแสดงความเคารพนอบน้อมต่อจางกงกงอย่างยิ่ง ในวาจายังเจตนาปกป้องโจวอี้ และยังมีน้ำเสียงปลอบประโลมว่าเรื่องน็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี
ทุกอย่างประสานกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นจางเฉิงกงกงส่งสารมาถามความเห็นหวังทง และหวังทงยังใช้ท่าทีเสมอภาควางแผนตอบกลับไป ผู้อยู่ข้างกายโอรสสวรรค์ มหาขันทีอันดับสองในสำนักส่วนพระองค์ บุคคลสูงส่งในใต้หล้า กลับต้องมาถามผู้ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมาใกล้จะครึ่งปีแล้ว สถานะก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น
นี่มันเรื่องอะไรกัน การจะอยู่หรือไปต่อของขันทีระดับสูงในสำนักขันทีฝ่ายในและกองกำลังมังกรฝ่ายซ้ายนี้ กลับให้นายกองพันมาตัดสิน
เมื่อก่อนไช่หนานได้รับประโยชน์จากหวังทงไม่น้อย ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยว่าตนสองสามปีผู้นี้สนิทสนมกับฮ่องเต้มาก ยังรู้ว่าแม้หวังทงต้องมาไกลถึงเทียนจิน แต่พระเมตตาก็ไม่เคยลดน้อยลงแม้แต่น้อย
การเขียนจดหมายในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจราวกับฟ้าผ่า ไช่หนานเพิ่งจะรู้สถานะหวังทงว่าแท้จริงแล้วคือสถานะใด ตนเองคิดว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายอาจจะสูงกว่าตนเพียงแค่หนึ่งชั้นสองสั้น ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าหวังทงอาจอยู่ในสถานะที่แม้เขาจะอาจเอื้อมก็เอื้อมไม่ถึง
เช่นนี้แล้ว จากเมืองหลวงมาที่นี่ แม้เป็นการลดตำแหน่ง แต่หากตนเองตั้งใจทำให้ดี ช่วยเหลือนายกองพันหวังผู้นี้ให้ดี วันหน้าก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันฟื้นคืนกลับมา
คิดอย่างละเอียดแล้ว การที่โจวอี้กงกงได้กลายเป็นคนสำคัญในวังหลวง มิใช่ว่าอาศัยหวังทงหรืออย่างไร ถึงได้สานสายสัมพันธ์กับฮ่องเต้ นี่สิเรียกว่าเรือลอยขึ้นตามน้ำขึ้น
ตอนนี้ตนเองตกในสถานะเช่นนี้แล้ว ไม่สู้ทุ่มเทเดิมพันสักครั้ง หากมีวันลืมตาอ้าปากอีกครั้ง สถานะก็อาจจะอยู่ในระดับเดียวกับโจวอี้ก็ได้ เรื่องนี้ก็ไม่แน่
สำหรับชายที่ไม่อาจสืบวงศ์ตระกูลแล้ว อำนาจวาสนาและเงินทองก็ล้วนเป็นความปรารถนาของพวกเขา พอคิดตกแล้ว จิตใจของไช่หนานก็ดีขึ้นในทันที เขียนจดหมายเสร็จ ก็บอกว่าตนเองจะรีบไปคัดลอกใหม่ จะได้ไม่เสียมารยาทต่อจางกงกง จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความนอบน้อม
โขกศีรษะก่อน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขอความเมตตาว่า
“ข้าน้อยกระทำผิดมาจากเมืองหลวง มาอยู่ใต้การปกป้องของใต้เท้าหวัง โชคดีที่ใต้เท้ายังเห็นแก่มิตรภาพวันวานรับข้าน้อยไว้ ข้าน้อยขอโขกศีรษะขอบพระคุณใต้เท้า”
หวังทงที่เมื่อก่อนเคยสุภาพกับไช่หนานมาก ยามนี้กลับไม่เข้าไปประคอง หากยังคงนั่งอยู่กับที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยรับการคำนับ ไช่หนานเองก็รู้สึกว่าควรเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวต่อว่า
“ได้พักกับใต้เท้าที่นี่ ได้กินของที่ใต้เท้ารับรอง ข้าน้อยตอนนี้ก็ไม่รู้จะตอบแทนคุณใต้เท้าได้อย่างไร ยังดีที่ได้ฝึกฝนมาจากในวัง งานเขียนเอกสารก็นับว่าชำนาญ ข้าน้อยคิดว่าใต้เท้าทางนี้กำลังขาดคนเช่นนี้ อยากขอแนะนำตัวข้าน้อยช่วยใต้เท้าแบ่งเบาภาระ”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็ยิ้มลุกขึ้นยืน ดึงไช่หนานให้ลุกขึ้น กล่าวว่า
“คนกันเองทั้งนั้นไยต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้างกายข้าก็ขาดซือเหยีย อยู่แล้ว หากเจ้ายอมมาทำงานนี้ให้ข้า คืนนี้ก็ให้พ่อบ้านถานไปจัดการที่ทางทางนั้นให้เจ้า ที่นี่เจ้าเพิ่งเริ่มต้น ก็มอบเงินเดือนให้เดือนละ 10 ตำลึงไปก่อน ปลายปียังมีพิเศษให้อีก”
กล่าวถึงตรงนี้ สองฝ่ายก็เปลี่ยนสถานะเป็นนายกับบ่าวแล้ว ไช่หนานรู้สถานะของตนเองดี ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะคำนับขอบคุณ
รอจนไช่หนานถอยออกไปคัดลอก หวังทงก็หันไปเทน้ำ สีหน้าปรากฏรอยยิ้ม ไช่หนานเบื้องหน้านับว่ายอมสยบแล้ว ในบรรดาคนของตน การยุทธ์ไม่แพ้ผู้ใด แต่เรื่องเขียนหนังสือพวกนี้ก็ยังขาดอยู่บ้าง พวกที่มาจวนเสนาบดีถานมีสองสามคนที่พอเขียนหนังสือได้ แต่ก็ไม่วางใจให้มาดูแลเรื่องนี้ ไช่หนานเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แผ่นดินหมิงอบรมขันทีในวังได้ดีมีประสิทธิภาพกว่าการสอบเลื่อนขั้นขุนนางบุ๋นมากนัก ขันทีผู้หนึ่งสามารถเข้าสู่สำนักศึกษาได้ เรียนจบมาได้ไปปฏิบัติหน้าที่ตามหน่วยงานต่างๆ จากนั้นจึงได้เข้าออกนอกในปฏิบัติงาน หากมีความสามารถหรือโชคดีพอ สุดท้ายก็จะได้เข้าสู่สำนักส่วนพระองค์ สำนักอาชาหลวงหรือสำนักฝ่ายใน สามสำนักนี้ได้ ตามธรรมเนียมแล้วต้องใช้เวลา20-30 ปี คนที่เติบโตมาจากระบบเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถบริหารจัดการและรู้จักธรรมเนียม เทียบกับบัณฑิตที่อ่านแต่ตำรานักปราชญ์โบราณ ไร้ความสามารถบริหารจัดการในชีวิตจริงแล้ว อย่างไรก็ดีกว่าพวกขุนนางรับราชการไม่น้อยที่ต้องอาศัยซือเหยียในการจัดการ
ไช่หนานสามารถเป็นผู้ติดตามโจวอี้ได้ ก็ย่อมมีความสามารถเหนือคนทั่วไป เขาได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ขั้นนี้ได้ ก็หมายความว่าเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่บริหารที่ไม่ธรรมดาแล้ว งานอ่านเอกสารทางการ การติดต่อสัมพันธ์กับทุกฝ่าย รวมทั้งการควบคุมงานภายใน ก็ล้วนทำได้ เป็นงานที่หวังทงขาดคนที่สุด
แต่การจะทำให้ขันทีในวังหลวงยอมศิโรราบทำงานให้ตนนั้นจะทำเช่นไร หวังทงกับจางเฉิงมีสารถึงกันก็เป็นความลับอันดับหนึ่ง ให้ไช่หนานเข้าร่วม หนึ่ง แสดงความไว้วางใจเขา สอง ใช้การแลกเปลี่ยนและสัมพันธ์นี้สยบเขา จางเฉิงกงกงแห่งสำนักส่วนพระองค์เป็นเสมือนฟ้าบนศีรษะของไช่หนาน ยังคบหากับหวังทงระดับเดียวกันเช่นนี้ นี่นับเป็นบารมีและอำนาจระดับไหนกัน
การให้คนของตนได้รับรู้ความลับของตนในเวลาและระดับอันเหมาะสม เผยความสัมพันธ์ของตนกับคนระดับสูง ส่งผลดีอย่างมากต่อความซื่อสัตย์และเคารพยำเกรงของผู้ใต้บังคับบัญชา ในวงการอาชีพหวังทงก็เคยใช้มาก่อน ผลที่ได้ก็ไม่เลว
แน่นอน สารระหว่างหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ ย่อมไม่ให้ไช่หนานรับรู้
สารที่ทูลฮ่องเต้ หนึ่ง หวังทงใช้เพื่อเล่าสถานการณ์ สอง ก็ว่ากันว่าเพื่อเป็นหูเป็นตาแทนฮ่องเต้ในสำนักรักษาความสงบ ซึ่งสถานะและประโยชน์ที่ได้ย่อมเริ่มทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ งานนี้ไม่ว่าวางไว้ในมือผู้ใดก็ย่อมทำให้อำนาจยิ่งทวีคูณขึ้น กฎมณเทียรบาลราชวงศ์หมิง สำนักส่วนพระองค์ไม่อาจควบตำแหน่งสำนักบูรพาก็ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้โจวอี้ไร้สถานะ ในวังก็อาจพบเจอกับการถูกแช่แข็ง นอกจากอาศัยบารมีฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น คนเช่นนี้ย่อมซื่อสัตย์ไว้ใจได้
เขียนจบ ตอนพับลงซองหวังทงก็ลังเลอยู่เล็กน้อย คิดถึงว่าตนเองต้องกำจัดกฎมณเทียรบาลนี้ทิ้ง อย่างไรก็ต้องกระทบกับเฝิงเป่ากงกง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ใคร่ครวญอยู่นาน หวังทงก็ยังคงทิ้งท้ายไว้ดังเดิม ล่วงเกินก็ล่วงเกิน แต่ในวังวุ่นวายถึงขั้นนี้ ตนเองมาถึงขั้นนี้ ก็เหมือนว่าควรจะกำหนดจุดยืนตนเองในเรื่องนี้ให้ชัดเจนแล้ว
สารที่ส่งให้ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงกงกงถูกส่งไปเมืองหลวงแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงปรึกษากับจางเฉิง จึงได้ให้จางเฉิงไปเยี่ยมโจวอี้ที่พักรักษาตัวอยู่
*******
ไช่หนานทำงานรับใช้หวังทง หวังทงก็ไม่มีทีท่าเกรงใจเขาอีก งานแรกก็ส่งไปติดต่อสำนักอาวุธปืนไฟเทียนจิน
หวังทงเป็นคนที่ใครๆ ก็ต้องไว้หน้าหลายส่วน แต่ไช่หนานในสายตาคนอื่นแล้วก็แค่ขันทีที่หมดวาสนาและถูกขับออกมา หงส์ที่ถูกถอนขนย่อมไม่อาจสู้ระกา นับประสาอะไรกับไช่หนานที่ยังไม่อาจนับว่าเคยเป็นหงส์ ใครจะไว้หน้า การออกไปติดต่องานครั้งแรกก็ถูกปิดประตูใส่หน้า หน้าตาดำคล้ำกลับมา
ทำงานไม่ราบรื่น เดิมคิดจะแสดงความสามารถสักหน่อย ก็รู้สึกละอายใจ แต่หวังทงกลับไม่ตำหนิ หากสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้ไช่หนานสบายใจ
แต่ต้นจนจบไช่หนานเองก็แปลกใจ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ไม่น่าจะเกี่ยวพันไปถึงสำนักอาวุธปืนไฟ สำหรับสิ่งที่หวังทงต้องการนั้นไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่เข้าใจ
แต่ทว่า มีเทียบแนะนำจากจางกงกง เรื่องนี้ก็ควรจะกระทำได้ง่ายสักหน่อย