ตอนที่ 252 ผู้ใดส่งเจ้ามา
โถงกลางโรงเตี๊ยมเงินไหลมาวางโต๊ะและเก้าอี้เต็มพื้นที่ เดินสวนกันก็ยากที่จะไม่กระทบไหล่กัน แม้ว่าเปิดประตูและหน้าต่างกว้าง แต่โรงเตี๊ยมก้ยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่มาก
กลิ่นสุรา กลิ่นเหงื่อไคล ยังมีกลิ่นคาวอาหาร ในกลิ่นนั้นยังมีกลิ่นเครื่องหอมประทินผิว กลิ่นปะปนกันให้วุ่นวายนี้ผสมกันทำให้ผู้คนรู้สึกคัดจมูก
สองฝั่งคลองส่งน้ำที่รุ่งเรือง ยังมีพื้นที่สบกันระหว่างทะเลและคลองส่งน้ำ กลางวันและกลางคืนที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยผู้คนหลั่งไหลไปมา ทุกคนล่องเรืออยู่นอกบ้าน ในอกเสื้อย่อมมีเงินทองอยู่บ้าง
ชาวราชวงศ์หมิงค่อนข้างรักความสุนทรี พวกชนชั้นสูงเบื้องบนลงมาจนถึงชาวบ้านร้านตลาดเบื้องล่างก็ล้วนแสวงหาความสุข ทำให้การค้าในสมัยหมิงนี้รุ่งเรืองยิ่งนัก
คนทุกระดับดื่มไปส่งเสียงดังกันไป ทุกคนคุยเฮฮาหัวเราะไป ยังมีนักร้องงิ้วขายเสียงร้องอยู่ด้วย บรรยากาศในโถงกลางโรงเตี๊ยมเงินไหลมาจึงครึกครื้นยิ่ง ตลอดทางมา ไม่เพียงแต่โรงเตี๊ยมเงินไหลมาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ หากแต่ที่พักน้อยใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ข้างกายหวังทงมีทั้งหม่าซานเปียว ถานเจียง ถานปิง ถานเจี้ยนและหลู่หู่โถวรวมห้าคน บรรยากาศเช่นนี้พวกเขาเคยเจอเป็นครั้งแรก
พวกถานเจียงปกติใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่พิถีพิถันอะไรนัก หลี่หู่โถวปกติชอบความครึกครื้น หากยามนี้กลับเอาแต่ขมวดคิ้ว หลี่หู่โถวยกมือขึ้นอุดจมูกไว้ คิดว่าเป็นเพราะบรรยากาศสกปรกทำให้เขาปรับตัวไม่ได้ เป็นหม่าซานเปียวที่กลับชะเง้อมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ใบหน้าหวังทงเผยรอยยิ้ม เทียบกับชาติก่อนแล้ว ค่ำคืนสมัยนี้มีแต่ความสงบและความมืด สภาพตรงหน้าทำให้เขารู้สึกต่างออกไป พานให้นึกถึงความทรงจำบางอย่างขึ้น
พวกใช้แรงงานต่างก็ดื่มกินกันเต็มที่ ทุกคนในร้านมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่มีแววเย็นชา สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวัง หวังทงลอบมองแต่ละคนภายใต้แสงโคม พลางเดาสถานะและความเป็นอยู่ของพวกเขา
เดิมคิดว่าภาพนี้ก็คือความสุขสันต์ในชีวิตกลางคืนของชาวบ้านยุคสมัยนี้ คิดไม่ถึงว่าสองโต๊ะใกล้กับพ่อค้าจากแดนใต้ กล่าวอย่างไม่พอใจว่าเทียบกับเจียงหนานทางใต้แล้ว ยังห่างกันไกลนัก ค่ำคืนเมืองซูโจว วัฒนธรรมร่ำสุราคึกคักราวกับกลางวัน ผู้คนไปมาขวักไขว่
หวังทงตบท้ายทอยตนเอง ปล่อยห้วงความคิดลอยไป เหมือนว่าว่านลี่ในราชวงศ์หมิงเป็นฮ่องเต้ใกล้จะรุ่นสุดท้ายแล้ว แผ่นดินนี้ยังไปได้อีกกี่ปีก่อนจะสิ้นลง ตนเองตอนนั้นก็คงจากไปแล้ว แต่พอคิดถึงเรื่องนี้หวังทงก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
การค้ารุ่งเรืองเช่นนี้ ทำไมประวัติศาสตร์ที่ตนรู้มา วาระสุดท้ายของราชวงศ์หมิงกลับยากจนราวกับถูกน้ำชะล้างเงินทองไปจนหมด ได้แต่เน้นเก็บภาษีต่อเนื่องเพื่อรักษาสถานะการคลังและกองทัพเอาไว้ การทำเช่นนี้ทำให้ชาวนาลุกฮือขึ้นต่อต้าน ชาวนาที่จนอยู่แล้วต้องสิ้นเนื้อประดาตัว บีบคั้นให้พวกเขาต้องก่อกบฏอย่างไร้ทางเลือก สุดท้ายทำให้ราชวงศ์หมิงต้องล่มสลาย จากนั้นพวกชนเผ่านอกด่านก็เข้ารุกราน หลายร้อยปีแห่งความมืดมนก็บังเกิด ตามมาด้วยยุคใกล้ ที่ยิ่งต้องกล้ำกลืนฝืนทน
แปลกจริงทำไมอยู่ๆ คิดมาถึงเรื่องนี้ได้ ภัยพิบัติและการล่มสลายในช่วงสิบกว่าปีนั่นยังอีกไกล หวังทงคบท้ายทอยแรงขึ้น
ถานเจียงกับถานปิงตั้งแต่ออกนอกเมืองมาถึงตอนนี้ ยังคงความเคยชินที่จะต้องมอบรอบตัวให้ชัดเจน ฟ้ามืดแล้ว บางทีอาจมีคนออกนอกเมืองมา บางทีอาจมีแขกที่มาพักโรงเตี๊ยมเงินไหลมาพอดี หรือบางทีอาจมีคนต้องการมาร่ำสุราหาอะไรกินที่นี่ แต่พวกที่จับจ้องโต๊ะหวังทงมาตลอด การแต่งกายยังไม่เหมือนกับคนที่ใช้ชีวิตริมคลองส่งน้ำ ทำให้น่าสงสัยนัก
ถานปิงสบตากับถานเจียง พยักหน้ามั่นใจพร้อมกันแล้ว ถานปิงก็ลุกมากระซิบรายงานหวังทง
กล่าวไปได้สองสามประโยค หวังทงไม่ตอบสนองอันใด ยามนี้พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่านายท่านน้อยของตนกำลังตกอยู่ในภวังค์ ถานเจียงกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
การเคลื่อนไหวเสียงดังเล็กน้อย ทำเอาหวังทงสะดุ้ง ได้สติคืนมาทันที แม้ว่าความรู้ประวัติศาสตร์ของเขาจะกระจัดกระจาย แต่คิดถึงการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อแล้ว ตอนนี้เขาก็ยิ่งคิดภาพอออกว่าเป็นเรื่องโหดร้ายทารุณเพียงใด หวังทงรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
ถานปิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง หวังทงไม่แม้แต่จะหันมามอง เพียงแค่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นกล่าวว่า
“ใจเย็น รอให้ผู้คนบางตาลงก่อนค่อยว่ากัน”
นี่ไม่ใช่เวลาจริงๆ พรุ่งนี้ทุกคนจะต้องออกทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พวกที่เงินน้อยก็กลับห้องไปนอน พวกที่เงินมากก็โอบสาวเข้านอน คนในโถงก็เริ่มเบาบางลง
สุดท้ายเหลือแค่สองโต๊ะ อากาศสกปรกเริ่มเบาบางลงเช่นกัน พวกถานเจียงรู้สึกสบายขึ้น มีแก่ใจกินขนมนิดๆ หน่อยๆ อีกโต๊ะแกล้งทำเป็นคุยเรื่องสัพเพเหระไม่ยอมไปไหน
พอคนงานเก็บกวาดเสร็จ หวงซานคนงานในร้านก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมา พอถึงหน้าโต๊ะก็กล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“อีกสักครู่รบกวนนายท่านทุกท่านเปลี่ยนชุดคนงานปลอมเป็นคนส่งอาหารตามข้าน้อยไป ที่นั่นแม้ว่าไม่ห้ามคนเข้าออก แต่ก็ระแวงพวกทางการอยู่บ้าง”
หวังทงยิ้มพยักหน้ารับ ล้วงก้อนเงินหนักราว 3 ตำลึงออกมาก้อนหนึ่งโยนให้หวงซาน กล่าวว่า
“ไปเอาขนมเปี๊ยะนึ่งมาเข่งหนึ่งส่งให้โต๊ะนั้น ที่เหลือให้เจ้า!”
ขนมเปี๊ยะนึ่งเข่งหนึ่งแค่ 15 อีแปะ ก็เท่ากับตกรางวัลให้ถึงเกือบสามตำลึง หวงซานฉีกยิ้มกว้าง หากก็ถามอย่างลังเลว่า
“นายท่าน ขนมเปี๊ยะนึ่งที่ห้องครัวเย็นหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไร เอาให้พวกเขาไปก็พอ บอกว่าโต๊ะข้าเลี้ยง ส่งแล้วก็รีบไป”
หวงซานไม่กล้ากล่าวมากความ รีบหันหน้าไปจัดการ หวังทงผลักถ้วยชาในมือออกไปทางด้านหน้า กล่าวนิ่งเรียบว่า
“อย่าให้หนีไปได้ และไม่ต้องกลัวบาดเจ็บ!”
หวงซานทางนั้นถือขนมเปี๊ยะนึ่งมาเข่งหนึ่งวางลงบนโต๊ะ ทั้งสี่คนที่จับตาดูอยู่ก็แปลกใจ ได้ยินที่มาที่ไปแล้วก็รู้สึกเหมือนก้นจะถูกเข็มแทง กระเด้งตัวขึ้นทันที
หวังทงยกมือขึ้นโบกทักทายว่า
“มานี่ ข้ามีเรื่องถามเจ้า!”
ขอเพียงมิใช่คนโง่ก็รู้ว่าไม่ควรเข้าไปตอบ สี่คนสบตากัน หันหลังคิดหนี เสียงแหวกอากาศดังมา คนที่วิ่งอยู่หน้าสุดเหมือนด้านหลังถูกของหนักบางอย่างกระแทกใส่ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นพร้อมกับล้มลงกับพื้น อีกสามคนที่เหลือก็หยุดนิ่งพร้อมเพรียง ลูกธนูดอกหนึ่งปักลงตรงบ่าคนผู้นั้นพอดี
“ถานปิงแม่นมาก!”
พอคนพวกนั้นขยับ ถานปิงก็ยืนขึ้นบนเก้าอี้น้าวสายธนูยิงใส่คนหนึ่งอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีลังเล หวังทงอดที่จะเอ่ยชมไม่ได้
ถานปิงกลับส่ายหน้า กล่าวถ่อมตัวว่า
“นายท่านชมเกินไปแล้ว หากเป็นชื่อเฮยล่ะก็ คงไม่เบี่ยงไปหนึ่งนิ้วเช่นข้าน้อยเป็นแน่”
พวกหวังทงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน โบกมือไปทางเถ้าแก่และคนงานในร้าน ไล่จนไม่มีคนอื่นแล้ว ก็เดินไปเบื้องหน้าทั้งสี่คน
คนที่ถูกธนูปักไหล่ใบหน้าเปื้อนโลหิต แต่บาดแผลไม่สาหัสเท่าไร แค่ทำให้พวกเขาตกใจหยุดอยู่กับที่เท่านั้น แต่ละคนเงียบราวกับจิ้งหรีดในฤดูหนาว ขยับก็ไม่กล้าขยับ
“ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา?”
หวังทงเอ่ยถาม เขายิ้มละมุน และหน้าตายังเหมือนเด็กน้อย ไม่อาจทำให้ผู้ใดหวาดกลัวได้ ปฏิกิริยาแรกของทั้งสี่ก็คือส่ายหน้า มีหนึ่งคนในนั้นเอ่ยแก้ตัวขึ้นอย่างน่าสงสารว่า
“พวกเราเป็นชาวเรือทางฝั่งตะวันออกของคลองส่งน้ำ มาหาอะไรกินกันที่นี่”
เห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแล้ว หวังทงก็ส่ายหน้า ชี้ไปทางคนที่พูดกล่าวว่า
“ซานเปียว หาผ้ายัดปากไว้!”
หม่าซานเปียวรูปร่างสูงใหญ่ แรงเยอะ ทุกวันฝึกฝนร่างกาย พวกที่มาจับตาดูนี้นับว่าเป็นชายรูปร่างกำยำแล้ว แต่ต่อหน้าหม่าซานเปียวกลับไร้แรงขัดขืน กวาดมือไปคว้าไว้ได้หนึ่งคน บีบคอก่อนยัดผ้าเช็ดโต๊ะที่คว้ามาจากโต๊ะตัวหนึ่ง
ยัดผ้าทั้งมันทั้งสกปรกนั่นเข้าปาก คนผู้นั้นก็มีท่าทางเหมือนจะอาเจียนทันที แต่ถูกหม่าซานเปียวกดไว้ ย่อมคายไม่ออก
หวังทงจับมือข้างหนึ่งของคนผู้นั้นวางลงบนโต๊ะ ถานเจี้ยนกดไว้ หวังทงพลิกมือคว้าดาบที่เอวออกมา ไม่ชักออกจากฝัก หากทุบลงไปบนนิ้วมือคนผู้นั้นอย่างแรง
นิ้วมือเป็นเบาะรับ เสียงไม่ดังมากนัก แต่สองตาของผู้ถูกทุบเบิกกว้าง อวัยวะทุกส่วนเขม็งเกลียว แต่ปากถูกอุดไว้จึงส่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้
ทุกคนรอบด้านล้วนได้ยินเสียงกระดูกแตก นิ้วมือของคนผู้นี้หงิกงอไม่ปกติเสียแล้ว ในตอนที่หวังทงทุบลงไปนั้น หลี่หู่โถวเหมือนกับสั่นเทาเล็กน้อย หากสีหน้ายังคงปกติ หวังทงเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไร หันไปยิ้มกล่าวว่า
“หู่โถว ทำงานต้องรู้จักหนักเบา กับคนพวกนี้ ไม่ต้องเสียเวลาให้มากนัก”
กล่าวจบก็หันไปถามอีกสามคนที่เหลือ น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างยิ่ง
“ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา?”
ทุกคนลังเลครู่หนึ่ง มองเห็นหวังทงยกมือขึ้น คนที่ถูกลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ไม่กล้าแข็งขืนอีก ฝืนความเจ็บปวดกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ใต้เท้าหวังไว้ชีวิตด้วยๆ พวกข้าน้อยเป็นคนของสำนักนาวาสุคนธ์ ตั้งแต่ใต้เท้าสังหารเจียงซงไป เบื้องบนก็มีคำสั่งให้จับตาดูใต้เท้าไว้…”
หวังทงสีหน้าดำคล้ำโบกมือขึ้น หันไปสั่งคนข้างๆ ว่า
“จับมัดและอุดปากไว้ ไปขังในห้องเก็บฟืนสักคืน พรุ่งนี้ส่งเข้าเมืองไปถาม”
พวกถานปิงกรูกันเข้ามาจับทั้งห้าคนมัดแน่น ใช้ผ้ามัดปากไว้ โยนเข้าห้องเก็บฟืนไป ทำเอาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมตกใจไม่น้อย ลนลานหาคนมาเฝ้าประตูให้สองคน
*********
ก็แค่ละครคั่นฉาก หวังทงและคนอื่นๆ สวมชุดคนงานเหมือนกับหวงซาน ถือกล่องอาหาร โรงเตี๊ยมเงินไหลมายังเตรียมรถม้าเก่าๆ ให้อีกคัน ว่ากันว่าเป็นรถที่มักใช้ไปส่งอาหาร
อาหารที่สั่งนับว่าไม่น้อย ยังมีสุราเกาเหลียงอีกสี่ไห นอกจากหวงซานขับรถแล้ว คนอื่นๆ ก็ขึ้นรถม้าไม่ได้ จะขี่ม้าก็เหมือนจะไม่เหมาะ ได้แต่เดินกันอยู่ข้างรถม้า
ยังดีที่เป็นรถม้าเก่า เดินทางค่ำคืนยังต้องไปช้าๆ อย่างระมัดระวัง ก็ไม่ถึงกับเดินตามไม่ทัน หวงซานผู้นั้นพยายามให้หวังทงขึ้นรถ แต่หวังทงกลับปฏิเสธ
“…ที่นั่นมีแต่พวกจอดเรือขนถ่ายสินค้า ปลายเดือนห้า บนเส้นทางน้ำกลางวันก็จะชุลมุนวุ่นวายกันเป็นพิเศษ…”
หวงซานเป็นคนในพื้นที่ คุ้นเคยเรื่องพวกนี้มาก ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ต่อ
“…เรือใหญ่จากทางใต้บางลำค่อนข้างระวังตัว จะออกเดินทางกลางคืน บรรทุกของขึ้นก็ออกไป แม้ยังไม่ออกเรือ ทุกคนก็ไม่ออกมาตอนกลางวัน แต่เจ้าของเรือทะเลอย่างไรก็เป็นคนมีเงิน อาหารรสชาติหยาบกินกันไม่ไหว มักจะให้โรงเตี๊ยมเรานำสุราอาหารมาส่ง กล่าวกับใต้เท้าตามตรง พ่อครัวโรงเตี๊ยมเงินไหลมาของเราก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเทียนจิน…”