Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 257

ตอนที่ 257 ต้อนแพะ

“ชาวบ้านเกรงกลัวทางการ แต่ชาวบ้านจำนวนมากก่อเรื่อง ทางการก็เกรงกลัว!”

“หัวหน้าจินบารมีสูงส่ง มองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่ง ชาวนาวาสุคนธ์เราหกพันกว่าคน เมืองเทียนจินมีคนเท่าไรกัน ไม่ว่าขุนนางทางการไหนมาหาเรื่องพวกเราที่นี้ก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเรา!”

“ฮ่าๆ ข้าอยู่เกาหลีมา 20 กว่าปี มาราชวงศ์หมิงนี้ได้ 30 ปี ที่นั้นก็เช่นกัน”

ในลานบ้านที่หวังทงสังหารคนไปเมื่อคราก่อน ในห้องมีชายสี่คนยืนอยู่ ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางจิบน้ำชาไปอย่างสบายอารมณ์

ผู้ที่เคยโขกศีรษะให้หวังทงอย่างนอบน้อมผู้นั้น หัวหน้านาวาจินที่ยอมศิโรราบอย่างยอมแพ้ ท่าทียามนี้ต่างจากยามนั้นสิ้นเชิง วาจาและการกระทำก็วางท่าอยู่เหนือผู้คนอีกชั้นหนึ่ง

ชายฉกรรจ์รอบๆ ต่างล้อมเอาใจกล่าววาจาเคารพเลื่อมใสยกย่องจบลง ก็มีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“เรื่องหัวหน้าชุยกับเจียงซงนั่นทำเอาพวกเราเสียหน้า ระยะนี้เจ้าเด็กนั้นก็ออกไปนอกเมืองพาคนหลายร้อยเข้าเมืองมา ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าที่บ่อเกลือนั้นมีคนอีกนับพันกำลังฝึกกันอย่างเข้มข้น หัวหน้า อันตรายนะขอรับ พวกเราควรเตรียมการแต่เนิ่นๆ ถึงจะ….”

หัวหน้าจินยังคงสีหน้ายิ้มแย้มสบายอารมณ์เอ่ยว่า

“ไหนเลยจะไม่เตรียมพร้อม ทุกวันให้พวกเจ้าส่งคนไปจับตาดูมาไม่ใช่เตรียมพร้อมหรือ เจ้าหวังทงนั่นอายุยังน้อย พอลงมือสังหารไปก็คงรู้สึกกลัว สังหารคนของเราก็แค่กลิ่นคาวเลือดไม่นาน เขาเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ เบื้องบนยังมีหัวหน้า เจ้าหวังทงนั่นก็คงทำงานไม่ได้ดังใจ มิเช่นนั้นไหนเลยจะถูกส่งมาเทียนจิน มาทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้กัน ย่อมต้องถูกเบื้องบนสั่งสอนมาเป็นแน่”

ชาวเกาหลีผู้นี้นิสัยยอมคน ถูกกดขี่มาก็ยอมรับได้ คนที่เทียนจินไปมาสู่กับพวกเกาหลีมาก ก็พอเข้าใจ หัวหน้าจินเป็นหัวหน้าคนหนึ่งในสำนักนาวาสุคนธ์มาได้เกือบสิบปีแล้ว และก็เป็นผู้ที่โหดเหี้ยมผู้หนึ่ง แต่ยามนี้กล่าววาจายอมอ่อนข้อให้เช่นนี้ ลูกน้องคนใดจะเชื่อกัน

เห็นลูกน้องคิดจะเอ่ยถามต่อ หัวหน้าจินก็ยิ้มเอ่ยก่อนว่า

“เขานำคนมากมายเข้าเมืองมา หวังทงเป็นเจ้าหน้าที่ พวกเราเป็นชาวบ้าน หากลงมือกับพวกเรา ทำไมไม่ไล่พวกเราออกไป ข้าบอกกับพวกเจ้าไว้เลยว่า เป็นเพราะเจ้าหวังทงนั่น ‘มันกลัว’ จึงได้จัดคนมาอารักขาไว้เช่นนั้น!!”

กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกมีเหตุผล เห็นทุกคนพยักหน้า หัวหน้านาวาจินกำลังจะกล่าวอะไรต่อ ก็เห็นประตูหน้าถูกผลักเข้ามาอย่างแรง ชายผู้หนึ่งวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา

“เสี่ยวเผียว เจ้าเป็นอะไร!”

ทุกคนถามขึ้นพร้อมกัน ทุกคนจำได้ว่าเป็นคนสนิทของหัวหน้าจิน เป็นเผียวเฉวียนที่มาจากเกาหลีด้วยกัน ความดุดันปกติของเผียวเฉวียนหายไปหมด มีแต่ท่าทางหวาดกลัวอย่างที่สุด กล่าวว่า

“หัวหน้าจิน หัวหน้าหน่วยทุกท่าน หวังทงนำกำลังคนขี่ม้ามุ่งมาทางเราแล้ว….”

เพิ่งจะบอกว่าหวังทงกลัวแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าพริบตาเดียวก็จะเกิดเรื่องเช่นนี้ เท่ากับตบหน้าหัวหน้านาวาจินอย่างแรงเต็มๆ ฉาดหนึ่ง

แต่ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องนี้แล้ว หลายวันนี้หวังทงก็ไม่เคยล่วงล้ำเข้ามายุ่งเรื่องของนาวาสุคนธ์ สองฝ่ายไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ที่หวังทงทำไปดูแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาวาสุคนธ์ คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเกิดฉับพลันไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ได้

“รีบปิดประตูใหญ่ รวบรวมคนของเรามาให้หมด!!”

เวลากระชั้นชิดก็ได้แต่ออกคำสั่งไปเช่นนี้ ประตูห้องกลางที่เปิดกว้างอยู่ คนด้านในส่งเสียงตะโกนออกไป พวกด้านนอกก็รีบร้อนปิดประตูใหญ่ด้านหน้าทันที

บรรดาคนในห้องต่างลุกขึ้นยืนมองไปข้างนอกอย่างเคร่งเครียด หัวหน้านาวาจินหนวดเคราขาวกำลังสั่นระริก จ้องไปที่ประตูใหญ่ที่ปิดอยู่นั้นกล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“มันไม่กลัวพวกเราหรือ?”

“สำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินปฏิบัติหน้าที่ รีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้!!”

เวลาเพียงไม่นาน เสียงฝีเท้ามากมายก็ดังอยู่ด้านนอก มีคนตะโกนดังจากด้านนอก บรรดาคนนาวาสุคนธ์หลายสิบคนในลานบ้านต่างก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่หันหน้ามองไปทางโถงกลางพร้อมกัน แต่หัวหน้านาวาจินยามนี้จะทำเช่นไรได้

เผียวเฉวียนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาผู้นั้นก็ลนลานหวาดกลัวไปแล้ว ตะโกนดังพลางกระโดดเต้นเหยงๆ ไปมาว่า

“เอาท่อนไม้มายันประตูไว้ อย่าให้พวกสุนัขนั่นเข้ามาได้!”

เขาได้สูญเสียการควบคุมไปหมดสิ้นแล้ว หลายคนข้างๆ กลับได้สติยกมือไปอุดปากเขาไว้ พวกนาวาสุคนธ์นอกห้องไม่รู้จะตอบสนองเช่นไร พอได้ยินคำสั่งก็รีบคว้าท่อนไม้ไปยันประตูไว้

“พังประตู!!”

ปฏิกิริยาด้านในไม่เท่าไร ด้านนอกกลับออกคำสั่งดังลั่น “รถศึก” “กองธงเล็กที่หก กองธงเล็กที่เจ็ด ปฏิบัติ!” แค่ช่วงเวลากล่าวสามประโยคนี้ ประตูใหญ่ของสำนักนาวาสุคนธ์ก็สั่นสะเทือนอย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

รวดเร็วเช่นนี้ มองเห็นประตูที่นูนออกมาทันใด ทุกคนในนั้นต่างถอยหลังกันอย่างบังคับตนเองไม่ได้ ครั้งที่สองที่ตามมาก็พังประตูเข้ามาได้

ไม้ที่ยันประตูไว้หักสองท่อน ประตูเสียงดังสนั่นลั่นเปิดออก สามารถมองเห็นคนสิบกว่าอุ้มท่อนไม้แนวนอนถอยหลังไป ผู้ที่ถือทวนยาวและดาบก็กรูกันเข้ามา

“ทุกคนคุกเข่าลง ไม่เช่นนั้นโทษก่อกบฏ สังหารให้หมด!!”

เสียงตะโกนดังชัดเจน บรรดาชาวนาวาสุคนธ์เห็นท่าทางทหารดุดันเอาเรื่อง ก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด เดิมยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร พอได้ยิน ก็รีบพากันคุกเข่าลงทันที

หัวหน้าจินและคนในห้องต่างยืนอึ้งกันอยู่ตรงนั้น ได้ยินเสียงด้านหลังดังขึ้น มีคนตะโกนดังขึ้นว่า

“คุกเข่า คุกเข่า ไม่อย่างนั้นสังหารให้หมด!”

เห็นทหารสังกัดองครักษ์เสื้อแพรถือทวนยาวและดาบกระชั้นชิดเข้ามา หัวหน้านาวาจินไม่มีท่าทางอวดเบ่งเหมือนตอนที่บอกว่า ‘มันกลัว’ แต่กลับหน้าตึงคุกเข่าลงทันที

ทหารทางการบุกเข้ามาบังคับให้ทุกคนคุกเข่าลง แต่เรื่องไม่จบเช่นนี้ ด้านนอกยังมีเสียงตะโกนดังสั่งการว่า

“รื้อประตูทิ้ง!!”

ไม้ที่กระแทกประตูเมื่อครู่เริ่มหันไปกระแทกกำแพงสองข้าง ไม่นานกำแพงสองข้างก็พังลง มีทหารถือขวานไปจามกรอบประตูสองด้าน ประตูที่สง่างามถูกทลายลงอย่างรวดเร็ว

“ใต้เท้า ไม่มีเล็ดรอดได้แม้แต่คนเดียว!”

เสียงรายงานดังขึ้นพร้อมกับม้าที่ทะยานเข้ามาในลานกลางบ้าน ประตูใหญ่ถูกทะลายลงแล้ว ม้าเข้ามาโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวางแม้แต่น้อย

คนที่วิ่งอยู่ด้านหน้าสุดก็คือหวังทง เขาไม่ได้ลงจากหลังม้า แต่มาหยุดม้าตรงหน้าประตูโถงกลาง ถามเสียงเย็นเยียบว่า

“ทำไมจึงได้สะกดรอยข้าออกนอกเมืองไปในยามวิกาล?”

สองสามคนที่คุกเข่าอยู่นั้นก็ใจเต้นตึกตัก ยังไม่รู้ว่าหวังทงจะใช้โทษฐานความผิดอะไรมาสอบถาม ได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป เผียวเฉวียนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นตะโกนเสียงดังอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้วว่า

“ใต้เท้าขอรับ ถูกใส่ร้ายขอรับ พวกข้าน้อยจับตาใต้เท้าแค่ตอนกลางวัน กลางคืนผู้ใดไหนเลยจะกล้าตาม…”

กล่าวไม่ทันจบ คนด้านหลังสองสามคนก็อุดปากเขาทันที หัวหน้าจินตอบสนองรวดเร็ว ฟังออกว่าเรื่องที่หวังทงเอาเรื่องนั้นก็น่าจะเป็นการออกไปสะกดรอยจับตาดูยามค่ำคืนก่อน เขาเองก็สติแตก ตะโกนเสียงแหบพร่าขึ้นมาทันทีว่า

“ใต้เท้าขอรับ ข้าขอเอาชีวิตเป็นประกัน กลางวันอาจส่งคนสองสามคนไปคอยอารักขาที่จวนใต้เท้า แต่ติดตามออกไปยามค่ำคืนนั้นไม่มีเด็ดขาด หากข้าน้อยโกหกแม้เพียงครึ่งคำ ก็ขอให้ใต้เท้าสับข้าน้อยได้เลย”

คนที่เหลืออีกสองสามคนยังไม่ทันตั้งสติได้ ก็โขกศีรษะโลหิตไหลรินกันไปหมด เรื่องที่จับตาดูในเมืองล้วนรับกันอย่างไม่ลังเล แต่เรื่องตามออกไปนอกเมืองตอนกลางคืนนั้นล้วนสาบานรุนแรงว่าไม่มี

หวังทงจ้องมองพวกเขาค่อยๆ ขมวดคิ้ว ถามเสียงเย็นเยียบทันทีว่า

“สำนักนาวาสุคนธ์มีหัวหน้าทั้งหมดกี่คน?”

“เรียนใต้เท้า ห้าคน!”

“พวกเจ้าแยกกันสั่งการหรือไม่ ไม่รู้เรื่องกันและกัน!”

“ใต้เท้าขอรับ หากหัวหน้าทั้งห้าไม่รู้เรื่อง คนของนาวาสุคนธ์ไหนเลยจะกล้าจับตาดูใต้เท้า การเคลื่อนไหวของชาวนาวาสุคนธ์ทั้งในเมืองนอกเมือง หากจะเข้าเมืองมา ข้าน้อยก็ต้องรู้บ้าง ไม่เช่นนั้น เงินทองที่เข้าเวรตรวจตราก็จะไม่ได้รับ”

แม้ว่าร้อนรนและหวาดกลัว แต่ทุกคำถามก็ตอบได้อย่างมีเหตุมีผลและกระจ่างชัด สายตาหวังทงค่อยๆ หรี่ลง กลางคืนที่ตามตนออกนอกเมืองไปนั้น ตอนนั้นเพื่อไปสืบข่าวริมทะเลและแม่น้ำในยามค่ำคืน หวังทงพาคนไปด้วยสองสามคน หากถูกคนสะกดรอยตาม ส่งคนไปล้อมโจมตี เช่นนั้นก็เป็นเรื่องอันตรายว่าจะถูกสังหารได้

เดิมหวังทงไม่คิดว่าจะมีเรื่องปะทะกับพวกนาวาสุคนธ์เร็วเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายกลับกล้าลงมือเช่นนี้ ถือเป็นการล้ำเขตที่หวังทงขีดเส้นไว้

สายสืบที่จับตาดูยามค่ำคืนอย่างไรก็น่าเป็นพวกมีฝีมือไม่เบา หากไม่ใช่พวกถานเจียงที่ประสบการณ์โชกโชน หวังทงก็ไม่แน่ว่าจะรู้ตัว เดิมคิดว่าสังหารคนพวกนี้ไปแล้วคงไม่กล้าเคลื่อนไหวกันส่งเดช เดิมคิดว่าพวกนาวาสุคนธ์เป็นแค่องค์กรระดับชาวบ้าน คิดไม่ถึงว่าจะเหนือความคาดหมายเช่นนี้

สถานการณ์เช่นนี้บีบให้หวังทงไม่อาจไม่ขยับ แต่คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าจินจะปฏิเสธสิ้นเชิงเช่นนี้ ดูท่าแล้วก็ไม่เหมือนว่ากล่าววาจาโกหก ยิ่งทำให้หวังทงรู้สึกสับสน หรือว่าในนี้ยังมีกลุ่มก้อนอะไรที่ตนเองไม่รู้

เงียบไปครู่หนึ่ง นอกลานบ้านก็มีเสียงทหารมาถึงสองนาย ลงจากหลังม้าที่หน้าประตู รีบวิ่งไปที่หน้าม้าของหวังทง รายงานเสียงดังว่า

“เรียนใต้เท้า ที่ทำการนาวาสุคนธ์ทางตะวันตกทั้งสองแห่งล้วนทะลายลงได้แล้ว ไม่มีเล็ดรอดไปแม้แต่คนเดียว”

ได้ยินเช่นนี้ หัวหน้าจินและเผียวเฉวียนกับคนอื่นต่างก็พากันสั่นสะท้าน ยิ่งไม่กล้าขยับตัว หวังทงพยักหน้า ออกคำสั่งไปว่า

“กลับไปจับทุกคนมัดไว้ก่อน ใช้เชือกมัดโยงกัน รอคำสั่งข้า!”

ทหารม้าคำรับสั่งจากไปทันที หวังทงหันม้ามาทางพวกหัวหน้านาวาจินกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า

“วันนี้ข้ามานี่ คิดจะลงมือสังหาร แต่พวกเจ้าก็รู้งานดี รู้ว่าควรโขกศีรษะอ่อนให้ก่อน เช่นนี้ข้ากล่าวไว้ตรงนี้ชัดเจนก่อนว่า ชาวนาวาสุคนธ์ทุกคนห้ามเหยียบเข้ามาในเมืองเทียนจินแม้เพียงก้าวเดียว ห้ามรวมตัวกันปักธูปในเมือง ห้ามเข้าใกล้ค่ายฝึกข้าเกินสามลี้ ไม่เช่นนั้น สังหารทิ้งให้หมด!!”

หัวหน้าจินที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ กล่าวเสียงแหบพร่าว่า

“ใต้เท้า ชาวนาวาสุคนธ์หกพันเรา ท่านไม่กลัวว่าจะลุกฮืองั้นหรือ?”

“ไม่กลัว สังหารให้หมด!”

หวังทงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ไม่สนใจบรรดาคนที่ราวกับระกาไม้ไร้ทางสู้ หันไปกล่าวเสียงดังว่า

“ทหารทุกคนฟังคำสั่ง จับทุกคนที่นี่มัดรวมกันไล่ออกนอกเมืองไป จากนั้นก็จัดการกวาดล้างกระถางธูปในเมืองให้หมด วันหน้าในเมืองพ่อค้าทั้งหลายไม่ต้องปักธูป…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!