Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 263

ตอนที่ 263 ห้องทรงอักษร เงินก้อนจินฮวา

ห้องทรงอักษรไม่มีผู้ใดรอรับใช้ เห็นฝ่าบาททรงสำราญพระทัยเช่นนี้ จางเฉิงก็อดเขยิบเข้าไปใกล้ไม่ได้ ยิ้มทูลถามว่า

“ฝ่าบาท เรื่องอันใดทำให้พระองค์ทรงสะใจหรือพะยะค่ะ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่เบนสายพระเนตรออกจากจดหมายฉบับนั้น แย้มพระสรวลตรัสอย่างตื่นเต้นว่า

“หวังทงอยู่ๆ เคลื่อนกำลังเข้าเมืองขับไล่พวกนาวาสุคนธ์นั้นออกนอกเมืองไปหมดเลย ทำอะไรรวดเร็วฉับไวจริง พวกมันเห็นอยู่ว่าไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ!”

“หลายวันก่อนอ่านจดหมายจากหวังทง เทียนจินมีพวกอะไรสุคนธ์ๆ กำเริบเสิบสานจริงๆ ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า หรือให้ศาลเหอเจียนและเมืองจี้โจวกวาดล้างสักครา นี่มันช่างใช้ไม่ได้เลย”

ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ ทอดพระเนตรต่ออีกสองสามแวบก่อนจะวางลง ตรัสว่า

“วันนั้นข้าไปเสวยกับเสด็จแม่มาและได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ บังเอิญว่าเฝิงต้าปั้นก็อยู่ด้วย บอกว่าเรื่องนาวาสุคนธ์นั้นทางการก็มีข้อมูลอยู่ เพื่อให้การขนส่งท่าเรือเป็นไปอย่างราบรื่น บอกว่าทางการไม่ควรยื่นมือเข้าข้องเกี่ยว ปกติเราใช้งานพวกนาวาสุคนธ์ เสด็จแม่ฟังแล้วยังตรัสว่าเกี่ยวพันถึงเส้นเลือดหลักของประเทศ ไม่อาจทำการผลีผลาม”

ได้ยินสุรเสียงฮ่องเต้น้อยไม่ถูกต้องนัก จางเฉิงมิได้รับคำ แต่พอตรัสถึงไทเฮา ฮ่องเต้น้อยก็แย้มสรวลเคาะจดหมายตรัสขึ้นว่า

“ได้ยินเสด็จแม่กับเฝิงต้าปั้นกล่าวเช่นนี้ เราเองก็เข้าใจแล้ว ไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเราเองอีก หากทำอะไรไป คงไม่วายที่บรรดาขุนนางจะพากันยื่นฎีกา เรื่องราวไม่จบไม่สิ้น แต่หวังทงทางนั้นก็มีเหตุผลมีหลักฐาน ปฏิบัติการรวดเร็วฉับไว ขอเพียงไม่มีอะไรผิดพลาด เราก็ย่อมให้การสนับสนุน ใต้หล้านี้ไม่อาจปล่อยให้ขุนนางปฏิบัติงานเสียกำลังใจ จางปั้นปั้น ท่านว่าหลักการนี้ใช่หรือไม่?”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว ยังคงเป็นพระองค์ที่ทรงคิดการได้เหมาะสม กระหม่อมคิดการผลีผลามไปแล้วจริงๆ !”

จางเฉิงรีบเข้าไปน้อมรับพระกระแสรับสั่ง สำนักนาวาสุคนธ์ก่อตั้งมาจนยิ่งใหญ่เพียงนี้ สำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรย่อมมิได้ตาบอด เพียงแต่แต่ไรมาสำนักนาวาสุคนธ์มิได้มีการเคลื่อนไหวก่อกบฏ และยังเป็นองค์กรแรงงานขนส่งทางน้ำที่ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นไม่น้อย

ที่ทำการพื้นที่คลองส่งน้ำ กรมอากรและบรรดาหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้องต่างๆ ก็ไม่อาจขาดสำนักนาวาสุคนธ์ได้ เบื้องบนยังต้องปิดตาข้างหนึ่ง

แต่เรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องที่ควรยกมาเอ่ยถึง กลุ่มองค์กรใหญ่ขนาดนี้หาก่อเรื่องขึ้นมา คนที่เกี่ยวข้องต่างต้องรับผิดชอบ ผลก็คือทุกคนรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นี่ก็คือคำพูดปกติในวงราชการที่ว่า ‘ยอมเลอะเลือนเสียบ้าง’

ฮ่องเตว่านลี่คลุกคลีในวงการเมืองได้ไม่นาน ย่อมรู้ว่าควรยอมเลอะเลือนบ้าง กระทบให้น้อยจะดีที่สุด โดยเฉพาะไทเฮาและเฝิงเป่าที่ต่างก็มีท่าทีเช่นนั้น จางเฉิงเพียงแค่พูดไปตามเรื่องเท่านั้น เขาย่อมรู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงทำเช่นนั้นเป็นแน่

แต่เรื่องผิดกฎหมายที่พวกนาวาสุคนธ์ได้กระทำลงไปท่ามกลางความเลอะเลือนนี้ ได้หวังทงลงมือตบสั่งสอนสักครา ก็มิใช่เรื่องไม่ดีอะไร

จางเฉิงเองรู้ดีว่า เรื่องที่หวังทงทำไปที่เทียนจินและเขียนในจดหมายทุกครั้ง ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงนำพาพระองค์ลงไปสู่เรื่องราวนั้นด้วย หวังทงทำอย่างไร ว่านลี่ก็คิดว่าพระองค์เองย่อมทำได้ดีกว่าเป็นแน่ เรื่องสะใจที่หวังทงได้ผจญมาทุกเรื่องราว พระอารมณ์ของว่านลี่ก็ย่อมขึ้นตามไปด้วย

โดยเฉพาะจดหมายที่หวังทงเขียนบรรยายถึงพฤติกรรมผิดกฎหมายบ้านเมืองที่พวกนาวาสุคนธ์ทำกัน ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ย่อมโมโหไปด้วย และยังทรงบ่นว่าหวังทงสังหารโจรชั่วไปแค่สองคน ทำการไม่อลังการเอาเสียเลย ครั้งนี้ขับไล่พวกนั้นออกนอกเมืองไปให้ลำบากอันอย่างไม่ทันตั้งตัว ปฏิบัติการก็รวดเร็วฉับไว ย่อมทำให้พระองค์รู้สึกดีพระทัยอย่างที่สุด

หลังจากโจวอี้สูญอำนาจและไปอยู่สำนักรักษาความสงบแล้ว ข่าวสารที่มีประโยชน์มากขึ้นก็ถูกจัดระเบียบนำส่งมา จางเฉิงพบว่าตนเองสามารถตรวจสอบเรื่องราวบางอย่างผ่านทางสำนักรักษาความสงบได้โดยตรงแล้ว

เช่นสำนักนาวาสุคนธ์ทุกเดือนส่งของขวัญและติดต่อกับที่ใดในเมืองหลวง ทุกเรื่องราวล้วนมีที่มาที่ไป สายสัมพันธ์แนบแน่นกับคนเมืองหลวงนี้ ถึงตอนนั้นหากต้องแตะต้องขึ้นมาจริง ยังไม่รู้ว่าจะเกี่ยวพันถึงคนระดับใดบ้าง

จางเฉิงคิดไปคิดมาอยู่ตรงนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงทอดพระเนตรจดหมายต่อ จางเฉิงรีบปรับอารมณ์กลับคืนมา เดินไปหน้าโต๊ะทรงอักษร ลงมือจัดฏีกาที่วางระเกะระกะพวกนั้น

“จางปั้นปั้น ทุกปีในวังได้รับเงินก้อนจินฮวามาหนึ่งล้านตำลึง ใช้เหลือเท่าไร จำได้ว่าเดือนสี่ปีนี้เฝิงต้าปั้นกับท่านเคยกล่าวกับเราว่าในวังไม่พอใช้ ขาดอีกแสนกว่าตำลึง มิสู้เพิ่มเงินก้อนจินฮวาอีกหน่อยดีไหม?”

ฮ่องเต้ว่านลี่อ่านเรื่องราวเคลื่อนย้ายกำลังพลจบลง ก็วางกองไปที่ด้านหนึ่งบนโต๊ะ ทอดพระเนตรไปมาก็เริ่มมีสีพระพักตร์จริงจังขึ้น

จางเฉิงอึ้งไป ในจดหมายที่เขียนถึงตนเหมือนว่าหวังทงไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เลย ทว่าตอนปักษ์แรกของเดือนห้าเคยมีจดหมายมาถามปัญหานี้เช่นกัน แต่จางเฉิงนั้นร่วมวางแผนมากับเฝิงเป่าก็ย่อมรู้อย่างละเอียด จึงได้แต่โน้มตัวไปข้างหน้าทูลอย่างนอบน้อมว่า

“ในสมัยฮ่องเต้อิงจง[1] ทุกปีที่ส่งเข้ามาในวันหนึ่งล้านตำลึงก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว เอามาให้ฮ่องเต้ไว้พระราชทานเป็นเบี้ยหวัดแก่ผู้น้อยและขุนนางบู๊ระดับหกขึ้นไปตามค่ายพิทักษ์ต่างๆ เมื่อก่อนยังพอใช้ แต่พอสมัยฮ่องเต้ซื่อจง ในวังก็มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ก็เลยเอาเงินกองนี้มาใช้จ่าย มาถึงตอนนี้ พอเงินก้อนนี้มาถึงก็จะมอบให้กับสำนักขันทีทั้ง 12 สำนักแบ่งกันไปใช้จ่าย พระราชทานนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึง แม้แต่เบี้ยหวัดขุนนางบู๊ในเมืองหลวงก็หักสามส่วนมาแปดปีแล้ว บรรดาบ่าวรับใช้และเฝิงกงกงปรึกษากันว่าหากเพิ่มอีกสามหมื่นตำลึงก็น่าจะพอใช้จ่าย ดังนั้นจึงได้เสนอไปเช่นนั้น”

การขนส่งทางน้ำทุกปีนอกจากขนเสบียงไปยังตอนเหนือแล้ว ยังมีเงินก้อนจินฮวาอีกหนึ่งล้านตำลึงส่งมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับฮ่องเต้และวังหลวง เป็นธรรมเนียมเช่นนี้มาเกือบสองร้อยปีแล้ว นอกจากฮ่องเต้พระราชทานแล้ว ขุนพลบู๊สำนักอาชาหลวงยังมีส่งไปประจำค่ายและหน่วยพิทักษ์ต่างๆ เบี้ยหวัดคนเหล่านี้ระดับหกขึ้นไปตามรายชื่อควรได้รับเป็นเงินก้อนจินฮวา ผู้ใดแจกเบี้ยแจกเสบียง เหล่าทหารก็ย่อมรับใช้ผู้นั้น เมืองหลวงเป็นสถานที่สำคัญ เบี้ยหวัดของเหล่านายทหารต้องให้ฮ่องเต้เป็นผู้จ่ายถึงจะวางใจได้ นี่ก็เป็นวิธีการแสดงออกถึงพระราชอำนาจอย่างหนึ่ง

หักสามส่วนมาแปดปี ขุนพลใต้บังคับบัญชาเกรงว่าคงไม่รู้สึกซาบซึ้งใจอันใด ไม่มีใจอาฆาตแค้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว เฝิงเป่ากับจางเฉิงเป็นหัวหน้าของราชสำนักฝ่ายในก็ย่อมกังวลในเรื่องนี้

ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรจดหมายอย่างละเอียดอีกสองสามครา ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นถามว่า

“ในวังขาดเงินอีกเท่าไร กรมอากรทุกปีก็เก็บมาเพิ่มมากอีกหน่อยก็ได้นี่ ปีนี้มีเงินเหลือใช้ไม่ใช่หรือ?”

“ทูลฝ่าบาท แต่ไหนแต่ไรค่าใช้จ่ายในวังข้างนอกก็ไม่ยอมให้ใช้มากอีกหน่อยอยู่แล้ว ท่านจางทางนั้นก็คุมเข้ม ว่ากันว่าท้องพระคลังต้องเก็บไว้เป็นเบี้ยหวัดรายปีให้แก่บรรดาขุนนางใต้หล้า เป็นค่าเสบียงให้แก่กองทัพใต้หล้า หลายพื้นที่กำลังซ่อมแซมระบบจัดการน้ำ ยังต้องส่งไปช่วยภัยแล้ง ดังนั้นในวังประหยัดกันหน่อยจึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง”

ฮ่องเต้ว่านลี่สะบัดจดหมายในพระพัตถ์ไปมา ถามอย่างไม่พอพระทัยนักว่า

“ท่านจางกับพวกขุนนางหกกรมนั่น จวนใครบ้างที่ประหยัด แต่ละคนกินดีกว่าเราทั้งนั้น ภรรยาน้อยก็มากกว่าวังฝ่ายในเราเสียอีก ใช้จ่ายกันมากกว่าในวังเรามากนัก กล่าวเรื่องประหยัดพวกนี้ ก็ไม่รู้ว่าปิดบังผู้ใด ยังคิดว่าเราเป็นเด็กสามขวบงั้นหรือ?”

“ฝ่าบาท…”

เห็นสีหน้าจางเฉิงระแวดระวังคิดจะเขยิบเข้ามาใกล้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงทิ้งพระวรกายลงกับพระที่นั่งถอนพระปัสสาสะตรัสว่า

“พอละ พอละ จางปั้นปั้น เรารู้การควรไม่ควร วาจาพวกนี้เราไม่พูดต่อหน้าเฝิงต้าปั้นและท่านจางแน่นอน ท่านจะตระหนกไปไย!?”

จางเฉิงยิ้มเฝื่อนๆ รับคำทูลว่า

“ฝ่าบาท ไทเฮาทางนั้นก็ทรงเสวยโจ๊กกับผักดองทุกวัน ฉลองพระองค์ก็เรียบง่าย หวังเพียงแค่ประหยัด พระดำรัสนี้หากทรงได้ยินเข้า จะทรงกริ้วได้นะพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ลง ตรัสสุรเสียงราบเรียบว่า

“หรือว่าเราจะใช้คนอย่างหลินซูลู่นั่นให้มากหน่อย จับหาตัวพวกละโมบในวังออกมาให้หมด เงินทองก็คงจะพอใช้แล้ว จางปั้นปั้นไม่ต้องคุกเข่าแล้ว เราไม่ตำหนิท่าน และไม่ได้ตำหนิโจวอี้ด้วย”

จางเฉิงก้มหน้าทิ้งมือลงข้างลำตัวยืนอยู่ข้างๆ สีหน้ายิ้มไม่ออก ตั้งแต่หลินซูลู่ตรวจค้นเรื่องนั้นเป็นต้นมา ฝ่าบาทก็มักจะทรงหยิบยกเอามากล่าวถึงอยู่เนืองๆ ไม่รู้ว่าต้องการกระทบถึงหรืออะไรกันแน่

จดหมายเขียนว่าอย่างไรกันแน่ ถึงกับทำให้ฝ่าบาทตรัสถึงเรื่องเงินก้อนจินฮวา จางเฉิงรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา ด้วยรู้สึกไม่ค่อยพอใจหวังทงเท่าไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะหวังทงมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่อาศัยตน แต่เป็นเพราะฮ่องเต้ที่กำลังทรงขะมักเขม้นทอดพระเนตรจดหมายนั่นต่างหาก

ไม่ค่อยได้เห็นฮ่องเต้ทรงมุ่งมั่นทอดพระเนตรจดหมายเช่นนี้นัก เรื่องเงินก้อนจินฮวา จางเฉิงพอคิดออกแล้ว เมื่อสองเดือนก่อน แม้ว่าจางจวีเจิ้งจะกลับบ้านไปเคารพสุสานบิดา แต่ก็มีจดหมายมาไม่ได้ขาด แผนของจางเฉิงกับเฝิงเป่าก็คือ ให้ฮ่องเต้ว่านลี่เสนอให้เพิ่มเงินก้อนจินฮวาสักหนึ่งล้านตำลึง ทุกปีให้เป็นสองล้านตำลึง จากนั้นก็ให้จางจวีเจิ้งแสร้งทำเป็นตักเตือนเพื่อเห็นแก่ปวงประชา สุดท้ายก็เพิ่มสักสามหมื่นตำลึง ก็จบลงด้วยความชื่นมื่นยินดีกันทุกฝ่าย

ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ทรงเสนอเช่นนี้ขึ้นมาในวันนี้ ขณะกำลังคิดอยู่นั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นตรัสว่า

“ในวังที่ควรตัดก็ตัด ที่ควรใช้ก็ต้องใช้ เงินเบี้ยหวัดขุนนางบู๊ทั้งหลายกับเงินบำเหน็จรางวัลให้กับขุนนางวันหน้าห้ามหักอะไรอีก ทว่าจะว่าไปแล้ว ในท้องพระคลังมีเงินมากหน่อยเป็นเรื่องดีนะ…… เราคิดว่า เงินก้อนจินฮวาเติมอีกปีละสักสองล้านตำลึงก็คงพอใช้!”

ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสตัวเลขออกมาเช่นนี้ จางเฉิงก็อึ้งไป เรื่องเงินก้อนจินฮวานั้นจะให้เฝิงเป่าอีกสองสามวันค่อยทูลให้ฝ่าบาทมีรับสั่ง ตอนนั้นค่อยบอกตัวเลขที่ต้องการ เหตุใดทรงตรัสออกมาเองเช่นนี้ หรือว่าตัวเลขอาจแค่ตรัสออกไปเช่นนั้นเอง หากแจ้งคณะเสนาบดีตอนนี้ก็คงได้มีเรื่องกันเป็นแน่

จางเฉิงลังเลครู่หนึ่งก็ตักเตือนเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาท เรื่องในวังต้องการใช้เงินมากขึ้นนั้น พวกขุนนางข้างนอกล้วนไม่ยอมลดลาวาศอกเป็นแน่ หากฝ่าบาทตรัสตัวเลขนี้ออกมา พวกเขาย่อมต้องเอาเรื่อง ไม่สู้รออีกสองสามวันท่านจางกลับมา….”

“ทำให้เรากริ้ว ก็จับโบย ขังคุก พอดีเลยจะได้สมใจพวกเขา ใช่ไหม!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเสียงแค่นยิ้มตรัสขึ้น จางเฉิงก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตามไปด้วย

“เราเป็นโอรสสวรรค์ เป็นประมุขของปวงประชา เราต้องการใช้เงินนิดหน่อยก็เพื่อใช้จ่ายในบ้านเราเอง ทำไมจึงยากเย็นเพียงนี้”

ตรัสไปก็ยกจดหมายในพระหัตถ์แกว่งไปมา

“นอกวังที่ภักดีต่อเราก็มีเพียงพวกหวังทงเท่านั้น รู้ว่าเราทางนี้ขัดสนเงินทอง ที่นั่นยังต้องใช้เงินเลี้ยงดูกองทัพและใช้เงินกับทุกเรื่อง หากยังคิดหาทางหาเงินหาทองให้เราได้ใช้อีก ขุนนางภักดีเช่นนี้ หากเราไม่ปกป้องช่วยเหลือแล้วจะไปช่วยเหลือผู้ใด!!?”

———————-

[1] ช่วงปี ค.ศ.1436-1449

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!