Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 271

ตอนที่ 271 เก็บจากประชา ใช้เพื่อประชา ฤาผิด

“อย่าทรงเสียพระจริยวัตรต่อหน้าขุนนาง!”

เห็นบรรดาขุนนางพากันตะลึงงัน จางจวีเจิ้งจึงกล่าวเช่นนี้ออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย

บรรดาขุนนางในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อพากันลุกขึ้น แยกออกเป็นสองข้างดังเช่นปกติ บรรยากาศในห้องเริ่มเงียบลง มองแล้วเหมือนตอนที่ฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จเข้ามา

ผู้ใดต่างก็มองออกว่าพระอารมณ์ของฮ่องเต้ว่านลี่นั้นไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง มีเรื่องกันถึงขั้นนี้ เมื่อครู่ยังต้องอัญเชิญองค์เทพเช่นไทเฮาออกมา หรือว่ายังต้องมีเรื่องโต้เถียงกันต่อ?

‘โต้’ กับฮ่องเต้จนพังก็ไม่มีผลดีอะไร ‘ไม่โต้’ หากฮ่องเต้มีพระราชโองการลงไปจริง ทรงให้ขายป้ายสงบสุขที่เทียนจินได้ เช่นนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

เรื่องภาษีการค้านี้ ในสมัยต้นราชวงศ์หมิง อำเภอหนึ่งในมณฑลซานสีนำเรื่องทูลเสนอเป็นความชอบ เพราะว่าอำเภอนี้สามารถเก็บภาษีการค้าได้เกินกำหนดที่ตั้งไว้ และยังเกินอย่างมาก แต่เมื่อรายงานความดีความชอบขึ้นมาถึงเมืองหลวง ปรากฏว่าปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางทรงเห็นว่าขุนนางผู้นี้ขูดรีดเก่งเกินไป ถูกตัดสินโทษให้เนรเทศไปยังแดนตะวันตกเฉียงเหนือ

ตั้งแต่นั้นมา บรรดาขุนนางทั้งบนและล่างจะจัดการกับการเก็บภาษีเช่นไรก็ล้วนพอมีวินิจฉัยได้เอง ภาษีหนักไปเป็นการขูดรีด ภาษีน้อยไปเป็นการเห็นใจความลำบากราษฎร แน่นอน ภาษีที่นาไม่อาจเก็บน้อยลง จูหยวนจางมาจากครอบครัวชาวนา การที่ชาวบ้านจะมอบภาษีที่นาให้ก็ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร

ตั้งแต่ราชวงศ์หมิงก่อตั้งมา แผ่นดินรอบทิศวุ่นวายไร้ความสงบสุข ประชาลำเค็ญ ที่ดินแตกละแหงหนักหนาสาหัส การค้าไม่อาจเก็บภาษีอะไรได้

พอมาถึงสมัยฮ่องเต้หงจื้อ ประชาเริ่มฟื้นตัว เศรษฐกิจรุ่งเรือง การค้าขายพัฒนาก้าวหน้าไปไกลมาก แต่นโยบายการปกครองการปกครองตอนนี้ยังคงไม่ต่างอะไรกับช่วงต้นราชวงศ์หมิง

ขุนนางท้องที่ที่เมืองหังโจวเก็บภาษีด้วยการวางโต๊ะตัวหนึ่งไว้หน้าประตูที่ทำการ มีหีบใบหนึ่ง บนโต๊ะมีพู่กันและหมึกพร้อมสมุดหนึ่งเล่ม หีบนั้นเป็นหีบไม้ที่เปิดคาไว้ครึ่งหนึ่ง

ปิดประกาศให้พ่อค้าหังโจวมาลงทะเบียนรายการการค้าขายบนสมุดบัญชี จากนั้นก็นำเงินใส่ลงหีบเองถือเป็นการเสียภาษี โต๊ะและหีบไม่มีผู้ใดเฝ้าดู ล้วนใช้ความรู้สึก ไม่มีผู้ใดเป็นคนโง่ การจัดวางเช่นนี้อยู่หน้าที่ทำการสามเดือน ทั้งหมดเก็บมาได้เพียง 700 อีแปะ

การกระทำเช่นนี้ราวกับเป็นเรื่องตลก หากผู้คนในตอนนั้นกลับสรรเสริญ นำไปเปรียบกับเหตุกาณ์ในสมัยฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินแห่งราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้ถังไท่จงหลี่ซื่อหมิงปล่อยนักโทษประหารกลับบ้าน จากนั้นก็ให้นักโทษเหล่านี้กลับมาภายในเวลาที่กำหนด ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในสมัยหลี่ซื่อหมิน

เรื่องการยินยอมให้จ่ายภาษีด้วยตนเองกลับได้รับการยกย่องว่ามือสะอาด มีคุณธรรมดีงาม เป็นเรื่องเล่าขานที่ดีในช่วงเวลาหนึ่ง

ผ่านสมัยฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ ฮ่องเต้เจียจิ้ง มาถึงฮ่องเต้หลงชิ่ง การเก็บภาษีการค้าย่อมเป็นเรื่องขูดเลือดขูดเนื้อประชา เป็นการกระทำของสัตว์ป่าที่กินเลือดกินเนื้อประชา การไม่กระทำเช่นนี้จึงเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาเป็นสุข

ภาษีการค้าเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงทำได้ดีอยู่ก็คือด่านภาษีเจ็ดด่านที่ตั้งอยู่บนเส้นทางคลองส่งน้ำจากหังโจวมาเมืองหลวง เรือผ่านด่านก็ต้องตรวจสอบสินค้า เก็บภาษีตามมูลค่าสินค้า แต่เจ็ดด่านนี้ล้วนฉ้อราษฎร์บังหลวงกันอย่างหนัก ไม่ต้องกล่าวถึงว่าสินค้ามากมายเพียงใดที่ผ่านการขนย้ายโดยเรือขนส่งที่ปลอดภาษี จึงย่อมเก็บไม่ได้เท่าไรนัก

ระบบภาษีการค้าเสื่อมโทรม มีเหมือนไม่มี เมื่อก่อนย่อมมีสาเหตุของเมื่อก่อน พอมาช่วงสมัยกลางกลับแตกต่าง ทางใต้ราชวงศ์หมิงมีการค้ารุ่งเรืองมากกว่าตอนเหนือมากนัก

การค้ารุ่งเรืองเช่นนี้ย่อมนำพาให้เกิดระดับการศึกษาที่สูงขึ้น บรรดาลูกหลานคหบดีทางตอนใต้ต่างได้รับการศึกษาสูง ทางเหนือต้องระดับเจ้าของที่ดินระดับกลางจึงจะทำได้

การศึกษาย่อมส่งผลต่อการสอบเข้ารับราชการ การนี้ก็ย่อมส่งผลต่อการที่ในราชสำนักจะมีขุนนางมาจากแดนใต้จำนวนมาก แม้ว่าการสอบจอหงวนจะกำหนดสัดส่วนที่เหนือสี่ใต้หกเอาไว้ แต่ขุนนางใหญ่ฝ่ายบุ๋นสถานะสูงส่งในราชสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนมาจากทางตอนใต้

ขุนนางระดับสูงก็ย่อมแสดงถึงความร่ำรวย หากไม่อาจร่ำรวยได้ในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ยังต้องการการสนับสนุนจากบ้านเกิดในเรื่องเงินทอง

หรืออาจกล่าวอีกอย่างได้ว่า ขุนนางระดับสูงในราชวงศ์หมิงล้วนเป็นชนชั้นคหบดีตอนใต้ และความร่ำรวยระดับนี้ก็ย่อมเกี่ยวพันกับการค้าขายอย่างแยกไม่ออก

บางทีในสมัยแรกอาจจะขูดรีดจากที่ดิน แต่การเติบโตที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นหลังจากการค้าขายเจริญรุ่งเรือง บรรดาพวกคหบดีตอนใต้ บางทีอาจไม่ใช่เจ้าของที่ดินใหญ่ แต่ย่อมเป็นพวกพ่อค้าใหญ่หรือเจ้าของกิจการใหญ่

เมื่อการค้าของพวกเขาเกี่ยวพันกับการค้าทางทะเลอย่างมาก พวกเขาก็ย่อมเป็นฐานหลักของภาษีการค้า ดังนั้นภาษีการค้าสำหรับพวกเขาแล้วจึงเป็นดังเส้นที่ไม่อาจล่วงล้ำ

การเก็บภาษีการค้าส่งผลเสียต่อกำไรของพวกเขา ผู้ใดที่คิดการทำเช่นนี้ก็ย่อมถูกมองเป็นศัตรูที่ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากบรรดาผู้ทรงอิทธิพลแดนใต้ทั้งมวล

ระดับนี้แล้ว ลูกหลานพวกเขาย่อมขึ้นดำรงตำแหน่งสูงในราชสำนักอย่างไม่ขาดสาย คอยออกหน้าปกป้องพวกเขาอย่างเต็มกำลัง คนระดับนี้ย่อมอาศัยการการขยายขอบเขตการคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นองค์กรผลประโยชน์ที่ไม่อาจแตะต้องได้

ผู้ใดเอ่ยถึงภาษีการค้า ผู้นั้นก็ย่อมเป็นศัตรูกับพวกเขาทั้งมวล ผู้ใดเป็นศัตรูกับพวกชนชั้นสูงระดับนี้ หากมองจากมุมมองของจำนวนคนในระดับชั้นนี้แล้ว อาจกล่าวได้ว่าเป็นศัตรูกับผู้ทรงอำนาจใต้หล้า เป็นศัตรูกับขุนนางบุ๋นทั้งมวล

ราชสำนักหมิงก็มีการส่งขันทีฝ่ายในไปที่ต่างๆ ดูแลเรื่องภาษี เหมืองแร่และสิ่งทอเพื่อขูดรีดเงินทองเข้าท้องพระคลัง ขุนนางบุ๋นแต่ละท้องที่มักจะออกมาช่วยกันต่อต้านรุนแรง เป็นที่รู้กันว่าการที่กล้าต่อต้านเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเป็นพวกมือสะอาดเพราะพวกเขาปกติขูดรีดเงินทองไม่ได้น้อยไปกว่าพวกขันที ทว่าเงินทองที่พวกขันทีขูดรีดมาได้จะส่งเข้าท้องพระคลังไว้ใช้จ่ายส่วนรวม แต่เงินทองที่ขุนนางพวกนี้ขูดรีดมาได้มีแต่เอาเข้าพกเข้าห่อของส่วนตน

แต่ทุกครั้งที่มีผู้ออกมาโต้แย้ง ใต้หล้าทั้งมวลไม่ว่าส่วนใดต่างก็จะเข้าข้างขุนนางบุ๋นพวกนี้ คำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงต่างๆ นานาก็จะมีมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะว่าคนเหล่านี้ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของบรรดาชนชั้นสูงทรงอิทธิพล

เหตุใดมหาอำมาตย์ที่ทรงอำนาจสูงสุดในใต้หล้ามักจะกล่าวถึงการเก็บภาษีอย่างจำกัด เก็บแค่ที่ดิน เปลี่ยนแปลงระบบภาษีที่ดินทำนา ไม่กล้าแตะต้องการค้าที่มีเงินทองมหาศาลมากกว่ามาก เป็นเพราะว่าเขาไม่กล้าเป็นศัตรูกับคนระดับนี้

ชนชั้นสูงก็คือขุนนางชั้นสูง ผู้ที่มีความดีความชอบไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษี ที่ดินของประเทศไม่อาจเก็บเงินได้ ภาษีการค้าก็แตะต้องไม่ได้ มิเช่นนี้ก็จะเป็นศัตรูกับมวลชน เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย พ่อค้าเจ้าของที่ดิน พวกชนชั้นสูงทางใต้ได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดและพยาธิที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อแผ่นดินหมิง พวกเขายิ่งเจริญรุ่งเรือง ราชวงศ์หมิงก็ยิ่งไม่ได้ประโยชน์ ถึงขั้นเสียผลประโยชน์ร้ายแรงด้วยซ้ำ

ป้ายสงบสุขคืออะไร ในความคิดชาวเมืองหลวง ป้ายสงบสุขก็เป็นแค่การเก็บเงินจากสำนักคณิกาและบ่อนพนันหนักหน่อยเท่านั้น สำหรับพ่อค้าพวกนี้แล้ว เงินทองพวกนี้ไม่นับเป็นการขูดรีด แต่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สุด

ปกติพวกนักเลงหัวไม้กับพวกเจ้าหน้าที่ทางการก็มารบกวนอยู่ไม่ขาด ร้านค้าต้องสูญเสียเงินทอง ยังเสียเวลาทำการค้า เงินค่าป้ายสงบสุขนั้นก็ไม่นับว่ามากกว่าเงินที่เคยเสียเดิมมากนัก และยังทำให้ทำการค้าได้อย่างวางใจ ไม่อาจเรียกว่าเรื่องชั่วร้าย การค้าใหญ่ก็จ่ายมากหน่อย การค้าเล็กก็จ่ายน้อยหน่อย ยุติธรรมยิ่ง

เก็บตามจำนวนรายได้จากการค้าแต่ละร้าน สำนักรักษาความสงบอะไรนั่นจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจบัญชีแต่ละร้านค้า จากนั้นกำหนดราคาเก็บเงิน

นี่คืออะไร เรียกว่าป้ายสงบสุข แต่แท้จริงแล้วก็คือภาษีการค้า แค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนมองไม่ออก แต่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ไม่ใช่พวกโง่เง่าที่เอาแต่อ่านตำราคำสอนปราชญ์เมธี ไม่ว่าผู้ใดต่างก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

เมืองหลวงใกล้ชิดฮ่องเต้ เรื่องนี้ไหนเลยเป็นแค่การกระทำของนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรไม่กี่คนกับเจ้าหน้าที่สืบคดีศาลซุ่นเทียนคนหนึ่งเท่านั้น หากเบื้องหลังยังมือรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิง ถึงขั้นมีเงาขององค์ฮ่องเต้อยู่ด้วย

หากเป็นเมืองหลวง อย่างไรก็มิใช่แดนใต้ บางทีโอรสสวรรค์อาจทรงนึกสนุกชั่วคราว พอหมดความสนพระทัย ทุกคนก็ค่อยกำจัดทิ้งก็ได้

แต่หวังทงผู้นั้นก่อเรื่องเช่นนี้ในเมืองหลวงไม่พอ ถึงกับไปดำเนินการที่เทียนจินอีก ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก โอรสสวรรค์กลับทรงสนับสนุน ประสงค์มีราชโองการลงไป

อันดับแรกที่เมืองหลวง อันดับสองที่เทียนจิน หากทำไปทีละเมือง ใช่ว่าจะค่อยๆ ขยายวงกว้างออกไปหรอกหรือ หากยามนี้ไม่โต้แย้งเหตุผล วันหน้าจะถูกผู้คนเข้าใจเอาว่าป้ายสงบสุขนี้เป็นระบบการเก็บภาษีการค้าไปโดยปริยาย ถึงกับให้การสนับสนุนเข้าให้ นั่นย่อมก่อให้เกิดภัยร้ายใหญ่หลวงเป็นแน่

ตนเองอาจปล่อยวางได้ แต่กิจการยิ่งใหญ่เช่นนั้นของตระกูลและความร่ำรวยวาสนาของลูกหลานจะทำเช่นไร อย่างไรก็ต้องโต้แย้ง ต้องหยุดยั้งให้ได้

แต่จะเอ่ยปากเช่นไร เมื่อครู่เจ้ากรมทั้งสองต่างยอมถอยเพื่อรอรุก ยอมโขกศีรษะพลีชีพกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา ฮ่องเต้น้อยกลับทรงตะโกนให้องครักษ์เข้าจับกุม แม้ว่าไม่ได้ลงมือ แต่ทรงระเบิดโทสะเช่นนี้นั้นนับเป็นครั้งแรก

เอาอย่างไรดี ผู้ใดจะทูลดี หากต้องหยุดยั้งให้ได้ แต่หากต้องสูญเสียตำแหน่งไปเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้ เกรงว่าจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไร บรรดาคนในห้องต่างลอบมองกันไปมา

เจ้ากรมตรวจสอบทั้งสองเพิ่งจะกล่าววาจาทิ่มแทงตรงไปตรงมา ยามนี้ก็ยอมถอยไปสองก้าว ไม่ยินยอมออกหน้ามากล่าวอันใดอีก สายตาทุกคนในห้องสบกันไปมาครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไปรวมกันหยุดอยู่ที่จางจวีเจิ้ง

“ฝ่าบาท ราชโองการเป็นหนังสือสำคัญได้ แต่ใต้หล้าแต่ไรก็มีธรรมเนียมปฏิบัติ เรื่องป้ายสงบสุขนั้น แต่อดีตถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน และยังให้องครักษ์เสื้อแพรไปรับผิดชอบเรื่องนี้อีก ย่อมก่อให้เกิดการเบียดบังได้ง่าย ฝ่าบาท ทรงบอกพวกกระหม่อมได้ไหมพะยะค่ะ ว่าป้ายสงบสุขนี้สมเหตุสมผลอย่างไร จะได้ให้พวกกระหม่อมรู้ที่มาที่ไป จะได้ให้บรรดาร้านค้าแขวนป้ายนี้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ?”

ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างร้องรับเห็นด้วยในใจ หวังทงผลักดันให้ฮ่องเต้ทรงทำเรื่องเช่นนี้ก็เพื่อเอาใจฮ่องเต้ ขูดรีดเงินทอง มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน หากไม่อาจแจงเหตุผลได้ ไม่อาจดำรงความสง่าผ่าเผยอยู่ได้ ท่านจางกับเฝิงกงกงก็ย่อมทูลไทเฮาให้ทรงทราบ ป้ายสงบสุขในเมืองหลวงก็คงได้ยกเลิกไปด้วยกันเลย

“ท่านจาง ขุนนางที่รักทุกท่าน เราขอถามทุกท่าน ร้านค้าใต้หล้าตั้งอยู่บนที่ดินของผู้ใด?”

“ทูลฝ่าบาท พื้นที่ทั่วหล้าล้วนเป็นที่แห่งองค์ฮ่องเต้ ย่อมเป็นของฝ่าบาท”

“ขอถามทุกท่านอีกว่า กำแพงเมืองด้านนอกผู้ใดสร้างขึ้น ผู้ใดออกเงิน?”

“….เป็นเงินจากราชสำนัก….”

“เป็นผู้ใดบัญชาส่งกองทัพออกปกป้อง เป็นผู้ใดส่งกองทัพรักษาเมือง ปกป้องพวกเขาให้ทำการค้าได้อย่างสุขสบาย!?”

“ย่อมเป็นฝ่าบาท ย่อมเป็นราชสำนักหมิง”

“พวกเขาทำการค้าได้อย่างสงบสุขเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเราออกเงินสร้างกำแพงเมือง สร้างกองทัพ เหตุใดเราจะเก็บเงินจากพวกเขาไม่ได้เล่า เงินที่เก็บมาได้หรือว่าเป็นเราใช้จ่ายผู้เดียว ไม่ใช่ว่าใช้จ่ายเพื่อปวงประชาเองหรอกหรือ เก็บจากประชา ใช้เพื่อประชา เป็นความผิดงั้นหรือ!?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!