ตอนที่ 296 ในเมื่อส่งผลท้อมา ย่อมตอบแทนด้วยผลหลี่
“ใต้เท้าหม่าอายุมากแล้ว ดึกเช่นนี้ยังต้องเชิญให้มาที่นี่ โปรดอภัย!”
“ท่านจางกล่าวอันใดกัน ข้าอายุแม้จะมาก แต่ยังกระฉับกระเฉงเช่นวัยหนุ่ม จะว่าไปการได้พบท่านจางนั้นแม้ว่าอดนอนสักคืนก็ย่อมได้!”
เสนาบดีกรมอากรหม่าจื้อเฉียงราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีกล่าววาจาสุภาพ ไม่ยอมรับว่าชราภาพ และยังสรรเสริญจางจวีเจิ้ง สองฝ่ายส่งเสียงหัวเราะดังลั่น ก่อนจะนั่งลง
จางจวีเจิ้งโบกมือให้สาวใช้สองฝั่ง ทั้งหมดจึงถอยออกไป จางจวีเจิ้งเปิดประเด็นถามตรงๆ ว่า
“พี่ถี่เฉียง หลายวันนี้ตรวจสอบได้ผลอย่างไร?”
หม่าจื้อเฉียงปีนี้อายุ 63 หากกำลังวังชายังไม่ถดถอย แต่พอได้ยินคำถามจางจวีเจิ้งก็เริ่มยืดตัวนั่งตรง กล่าวอย่างจริงจังว่า
“กรมอากรทุกหน่วยตรวจสอบรอบหนึ่งแล้ว รายงานที่ฝ่าบาทตรัสว่าจะไม่แตะต้องแล้ว ใต้หล้านี้ก็มิมีทางหาเงินทองใดได้อีกแล้ว”
ได้ยินดังนี้ จางจวีเจิ้งก็ลูบเครานิ่งไปนาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ที่ฝ่าบาทกับในวังคิดได้กันก็คงแค่เพียงเท่านั้น ในวังนอกวังล้วนศึกษาตำราปราชญ์กันมาก ที่ได้ยินได้ฟังก็ล้วนเป็นเรื่องบันทึกในตำรา ไม่ออกนอกตำราไปได้ แต่ที่ข้าเป็นห่วงก็คือหวังทง คนผู้นี้แม้ว่ากำเนิดต่ำต้อย แต่ทำการได้แปลกประหลาดอย่างมาก คิดในสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดทำมาก่อน หรือหากมีมาก่อน เขาก็จะคิดหาทางใหม่เสริมขึ้นมาอีก เงินก้อนจินฮวาครั้งนี้จำนวนถึงล้านตำลึง เดาว่าแปดเก้าส่วนย่อมเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้”
หม่าจื้อเฉียงหัวเราะกล่าวว่า
“ใต้เท้าจางคิดมากไปแล้ว บางทีอาจเป็นแค่อยู่ในช่วงกำลังฮึกเหิมของฝ่าบาทเท่านั้น หากเจ้าหวังทงนั่นคิดเช่นนี้ได้จริง ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ท่านจางนำพวกเราฟันฝ่ามานานหลายปี คลังหลวงเงินทองเพิ่งได้มาไม่กี่ล้านตำลึงเท่านั้น เพียงอ้าปากก็จะได้มาหนึ่งล้านตำลึงหรืออย่างไร หากทำไม่ได้จริง ก็ค่อยเอาเรื่องนี้มาอ้างลงโทษเสียเลย!”
*********
วันไหว้พระจันทร์ทุกปี ในวังจะยุ่งวุ่นวายกันอย่างมาก ต้องจัดงานเลี้ยงและพิธีการต่างๆ ล้วนวุ่นวายยิ่งนัก มหาขันทีจากสิบสองสำนักฝ่ายในก็ทำงานกันจนไม่มีเวลาพัก
ดังนั้นบุคคลอันดับหนึ่งในฝ่ายในอย่างเช่นเฝิงเป่าหลายวันนี้ ทุกวันนอนไม่ถึงสามชั่วยาม ทั้งวันยุ่งอยู่แต่ในวัง อีกสิบวันก็จะไหว้พระจันทร์แล้ว เรื่องที่ต้องเตรียมการยังจัดการไปได้ไม่เท่าไร รู้สึกร้อนใจยิ่งนัก
วันที่ 7 เดือนแปด เฝิงเป่าจัดการฎีกาอยู่ในสำนักส่วนพระองค์ กำลังตำหนิขันทีที่ทำงานจัดซื้อไม่ได้เรื่องอยู่สองคน หลังเพิ่งไปตรวจของใช้ต่างๆ ที่ใช้ไหว้พระจันทร์ในวังหลังมา มีขันทีน้อยสองคนเข้ามาแจ้งว่าฮ่องเต้ว่านลี่เรียกตัวเข้าเฝ้า
ได้ยินว่าเรียกเข้าเฝ้า เฝิงเป่าก็ร้อนใจ เรื่องในวังล้วนเป็นเขาจัดการเพียงผู้เดียว แม้แต่ไทเฮาฉือเซิ่งเองก็ไม่ค่อยมาข้องเกี่ยว ฮ่องเต้ว่านลี่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เขาจำได้ว่าวันนี้ไม่มีราชกิจอันใด การประชุมขุนนางก็ผ่านไปอย่างเรียบง่าย เรียกเข้าเฝ้าด้วยเรื่องใด เฝิงเป่าไม่ได้ระวังท่าทีของตน เขาวางตนในตำแหน่งผู้ใหญ่ คิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่เป็นเด็ก
ยามนี้มาตามตัวทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด เหมือนว่าผู้ใหญ่กำลังทำงานยุ่งอยู่แล้วมีเด็กน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวมารบกวน ผู้ใหญ่ก็ย่อมโมโห
เฝิงเป่าระงับความหงุดหงิดลง รีบขึ้นแคร่หามไปทันที พอถึงห้องทรงอักษร ไปถึงหน้าประตู ก็ลงจากแคร่หาม ขันทีรักษาการหน้าประตูก็รีบเข้ามาคำนับ
เห็นห้องทรงอักษรก็ยิ่งทำให้เฝิงเป่าหงุดหงิด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ห้องทรงอักษรได้กลายเป็นที่ส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ไปทุกอณูได้เช่นนี้ ขันทีนางกำนัลล้วนเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ว่านลี่ หรือไม่ก็จางเฉิงเสนอมา
แม้กล่าวว่าเด็กโตแล้วมักมีความลับและพื้นที่ส่วนตัว แต่ผู้ใหญ่ก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่พอเข้าไปก็เห็นเจ้าจินเลี่ยงรอรับคำสั่งอยู่ที่ประตู เฝิงเป่าจึงได้ยิ้มเล็กน้อย เด็กนี่เฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว และยังรักความก้าวหน้า อาจารย์ในสำนักศึกษาฝ่ายในต่างชมมาหลายครั้ง เฝิงเป่าแต่ไรมาก็ชื่นชมขันทีน้อยเช่นนี้
เดินเข้าไปในห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังทรงเอกเขนกอยู่บนที่ประทับมังกร ยกกระดาษในมือขึ้นอ่าน จางเฉิงคอยรับใช้อยู่ข้างๆ
“กระหม่อมเฝิงเป่า ถวายบังคมฝ่าบาท!”
เฝิงเป่าตะโกนดังก่อนจะก้มตัวลงคำนับ ท่าทางเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงประทับนั่งตรงทันที ปรับสีหน้าท่าทางให้จริงจัง แต่เล็กในจวนอ๋องอวี้ถูกเฝิงเป่าสอนสั่ง มีหลายสิ่งล้วนเคยชินจนเป็นนิสัย
“เฝิงต้าปั้นรีบลุกขึ้น หลายวันนี้ใกล้ไหว้พระจันทร์ ลำบากต้าปั้นแล้ว”
แม้ไม่รู้ว่าเรียกตัวเข้าเฝ้าด้วยเรื่องใด แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีท่าทีอ่อนโยน เฝิงเป่าก็วางใจ ยิ้มขอบพระทัยทูลว่า
“ล้วนเป็นงานของกระหม่อม ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว”
ฮ่องเต้ว่านลี่จัดเอกสารบนโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนจะทรงแย้มสรวลตรัสถามว่า
“ต้าปั้นรู้ไหมว่ากองกำลังพิทักษ์ที่เทียนจินมีเรื่องใดเกิดขึ้น?”
“ไยฝ่าบาททรงถามกระหม่อม กองกำลังพิทักษ์เทียนจินก็ต้องไปถามนายกองพันหวังหรือไม่ก็จางกงกงมิใช่ว่ากระจ่างกว่าหรือ”
วาจาแฝงนัยสัพยอก เรื่องเทียนจินเป็นเรื่องของเซวียจานเยี่ย เซวียจานเยี่ยเป็นคนของจางเฉิง เฝิงเป่าเรียกใช้ไม่ได้ ข่าวที่รายงานมามีประโยชน์กี่ส่วนนั้นยังกล่าวได้ยาก ส่วนหวังทงนั้นก็สร้างระบบของตนเองขึ้นรายงานตรงต่อฮ่องเต้ว่านลี่
ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในพระศอก่อนจะตรัสว่า
“ต้าปั้น มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ที่เทียนจินต้นเดือนแปดตรวจพบคดีลักลอบติดต่อโจรสลัด มีคนส่งอาวุธให้ประเทศวัวผ่านทางท่าเรือเทียนจิน ได้กำไรมหาศาล เรื่องนี้เป็นความดีความชอบนายกองพันหวังที่สืบพบโดยมิได้ตั้งใจ”
สีหน้าเฝิงเป่าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน เขารู้ว่าหวังทงมิใช่คนกุเรื่องเหลวไหลเพื่อหาประโยชน์ให้ตนเอง เขาบอกว่าลักลอบติดต่อโจรสลัดวัวโค่วก็ย่อมเชื่อถือได้
“ฝ่าบาท เทียนจินเป็นประตูสู่เมืองหลวง เรื่องลักลอบติดต่อโจรสลัดวัวโค่วนี้เป็นคดีใหญ่อันดับหนึ่ง กระหม่อมจะส่งคนสำนักบูรพาไป ขอทรงมีราชโองการให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบให้หนัก”
ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ ตรัสว่า
“หากหวังทงต้องการให้ตรวจสอบหนัก ก็คงไม่ส่งคดีมาให้เรา ส่งไปที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรส่วนกลางเลยไม่ดีกว่าหรือ ต้าปั้น เรื่องลักลอบติดต่อประเทศวัวนี้เกี่ยวข้องกับท่าน!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะลักลอบติดต่อประเทศวัวได้อย่างไรกัน???!”
ได้ยินวาจานี้ เฝิงเป่าก็ตกใจหน้าเปลี่ยนสี โทษลักลอบติดต่อประเทศวัวนั้นถึงขึ้นตัดหัว จะเกี่ยวข้องกับตนเองได้อย่างไรกัน หลุดท่าทีถามออกไปก่อนจะคุกเข่าลงโขกศีรษะทันที
“กระหม่อมภักดี ฟ้าดินเป็นพยาน ขอฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัยด้วย…”
“เกี่ยวข้องมิได้บอกว่าท่านกระทำการลักลอบนี่ ลุกขึ้นๆ ดูเอกสารที่ข้าได้รับมาเอาเถอะ!!”
จางเฉิงมือหนึ่งถือเอกสารมือหนึ่งประคองเฝิงเป่าขึ้นมา พอส่งเอกสารให้ไป เฝิงเป่าก็กวาดตาดูอย่างรวดเร็วทันที สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ว่านลี่จริงจังตรัสว่า
“ทั้งคนทั้งหลักฐานกำลังเดินทางมา คาดว่าอีกสองสามวันก็ถึง เจ้าแซ่หลูนี้เป็นคนของสำนักขันทีเรา คนผู้นี้ควรถูกสับเป็นหมื่นชิ้นจริงๆ เห็นว่าตนเองกระทำเรื่องบัดซบผิดต่อฟ้าดินเช่นนี้ ตายสบายไป แต่กลับสาดโคลนใส่ต้าปั้นเสียนี่”
“บัดซบ บัดซบ เป็นเรื่องบัดซบจริงๆ !!”
พออ่านเอกสารจบ ใบหน้าเฝิงเป่าก็ถมึงทึง การลักลอบติดต่อประเทศวัวเป็นความผิดโทษมหันต์ แต่เขานั้นมีโทษเพียงแค่ละเลยตรวจสอบเท่านั้น หากว่ากันตามตรงก็เกี่ยวโยงถึงไม่มากนัก ใหญ่ได้เล็กได้ แต่หากว่าในการเมืองเอามาเป็นเรื่องเป็นราวแล้วโจมตีล่ะก็ เช่นนี้ก็ย่อมยุ่งยากแล้ว
หากเฝิงเป่ารู้เรื่องนี้กลับช้ากว่าฮ่องเต้ว่านลี่ นี่สิจึงเป็นเรื่องยุ่งยากแท้จริง จางเฉิงที่ยืนสงบนิ่งอยู่นั้นน่าจะต้องรู้เรื่องนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะทำเช่นไรต่อ
คิดไปคิดมาก็ไร้ซึ่งหนทาง เฝิงเป่าส่งเอกสารคืน คุกเข่าลงกับพื้น ทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ฟังแล้วช่างน่าตกใจ กระหม่อมได้ยินเป็นครั้งแรก แต่การลักลอบติดต่อประเทศวัวนั้นเป็นความผิดไม่อาจอภัยได้ กระหม่อมขอรับผิดด้วยตนเอง ขอฝ่าบาทโปรดสืบสวนให้ถึงที่สุด”
มุมพระโอษฐ์ฮ่องเต้ว่านลี่เผยรอยยิ้ม แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ทรงรีบลุกเสด็จไปด้านหน้าประคองขึ้นมาด้วยพระองค์เอง
“ต้าปั้นท่านทำอันใด เจ้าแซ่หลูนั้นกลัวตายปลิดชีพตนไป คนก็อยู่มานานแล้ว เกี่ยวข้องอันใดกับท่าน ที่เราเรียกท่านมานั้น ก็แค่คนผู้นี้ทำงานที่สำนักขันที ท่านเป็นคนดูแล รู้ไว้สักหน่อย จะได้พอไว้รับมืออะไรได้บ้างเท่านั้น”
“กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาพะยะค่ะ”
เฝิงเป่าย่อมไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าเรื่องนี้จะจบไปเช่นนี้ พอเขาลุกขึ้นมาก็ไม่ได้ทำการอันใดต่อ ได้แต่ยืนนิ่งรอคอย
ตามคาด ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงแย้มสรวลตรัสว่า
“เรื่องนี้ช่างทำลายบรรยากาศ แต่หวังทงก็ฟันฝ่ามากว่าจะค้นพบเรื่องนี้ ในฎีการานงานว่า เทียนจินติดทะเล แต่ปากทางออกทะเลไม่มีผู้ใดดูแล เรือก็เข้าออกกันสบายไร้ระเบียบมาก เขากลัวว่าจะมีเรื่องอันใดที่เป็นภัยต่อเมืองหลวง ดังนั้นจึงตัดสินใจที่ปรับรูปแบบการจัดการ”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงหันกลับไปยิ้มกับจางเฉิงตรัสว่า
“จางปั้นปั้น พอปรับรูปแบบการจัดการแล้วได้มาทั้งหมดเท่าไรนะ?”
“ทูลฝ่าบาท ทั้งหมดเก็บมาได้สามหมื่นเจ็ดพันตำลึงพะยะค่ะ”
“นี่แค่สามวันนะ ก็ได้มามากมายขนาดนี้ หากเก็บต่อไป ก็จะได้มาเท่าไรกัน ครั้งนี้ยังยึดทรัพย์เจ้าแซ่หลูนั้นมาได้อีกสองแสนกว่าตำลึง รวมแล้วราวสองแสนห้าหมื่นตำลึงที่จะส่งมอบมาให้เรา ต้าปั้น เราบอกว่าปีหนึ่งเพิ่มเงินก้อนจินฮวาอีกหนึ่งล้านตำลึง ท่านดูสิ มาแล้วสองแสนห้า เพียงแค่สามวัน! หากปีหนึ่ง ยังไม่รู้ว่าจะได้เท่าไรกัน?”
ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ทรงสรุปอย่างดีพระทัยเช่นนี้ สีหน้าเฝิงเป่ากลับไม่แสดงความรู้สึกอันใด ได้แต่กล่าวเพียงว่า
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท หวังทงทำงานได้ยอดเยี่ยม ภักดีอย่างมาก นับเป็นวาสนาของเขาเอง”
“ต้าปั้นกล่าวได้มีเหตุผล เราก็คิดเช่นนี้ สามวันก็ได้มามากเพียงนี้ เช่นนั้นมิสู้ให้ตรวจสอบถาวรไปเลย ทางเทียนจินก็จัดตั้งกองตรวจสอบไปเลย งานนี้มอบให้หวังทงไป รับหน้าที่สั่งสมเงินก้อนจินฮวาให้เรา ต้าปั้นเห็นเช่นไร?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว…”
“เรื่องครั้งนี้หากมิใช่หวังทงมีใจคิดเก็บเป็นความลับ ส่งคนมารายงานเราก่อน เกรงว่าพวกขุนนางในราชสำนักที่มีตาหามีแววไม่คงกัดไม่ปล่อยเป็นแน่ หวังทงช่วยต้าปั้นเอาไว้ เรื่องการจัดระเบียบท่าเรือเทียนจิน ตั้งกองตรวจสอบ เกรงว่าบรรดาขุนนางคงมีบางคนไม่ยอมเข้าใจ คงต้องลำบากกันอีกแล้ว มิสู้ต้าปั้นกับท่านจางกล่าวกับพวกเขาก่อน เรื่องนี้ให้คณะเสนาบดีรับรอง ร่างฎีกาขึ้นมาก็แล้วกัน ต้าปั้นว่าอย่างไร?”
เฝิงเป่าสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง คิดไม่ถึงว่าจุดประสงค์ของฮ่องเต้ว่านลี่คือเรื่องนี้ ตรัสวกไปวนมา ความหมายกระจ่างแล้ว ความผิดที่ละเลยตรวจสอบคนของตนลักลอบติดต่อประเทศวัวเก็บเงียบไว้แล้ว แต่ตำแหน่งงานใหม่ของหวังทงที่เทียนจินนั้นต้องขอให้เฝิงเป่าช่วยไปโน้มน้าวบรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่
********
โอรสสวรรค์ไม่ใช่เด็กน้อยแล้วจริงๆ ……