ตอนที่ 297 เสนาบดีกับผู้ตรวจการ ความชอบกับความซื่อสัตย์ภักดี
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เหมาะพะยะค่ะ!”
“ไม่เหมาะตรงไหน?”
“เรื่องนี้คือว่า…”
การประชุมขุนนางในช่วงเทศกาลมักไม่มีเรื่องใหญ่อันใด เป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้กัน จะได้ฉลองเทศกาลกันสบายๆ ทว่าวันที่ 11 เดือนแปดเรื่องที่นำขึ้นหารือกลับทำให้ทุกคนไม่อาจรับมือได้ทัน
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเสนอเรื่องง่ายมาก ก็คือว่าเมืองเทียนจินติดทะเล เป็นประตูสู่เมืองหลวง หลายวันนี้มีคนมักบอกว่าชายแดนทางทะเลเทียนจินนั้นไม่สงบ ดังนั้นขอให้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงไปจัดระเบียบใหม่
ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับหวังทง บรรดาขุนนางต่างต้องคัดค้าน เพราะทุกคนไม่ได้รายงานล่วงหน้า ย่อมคิดว่าท่านจางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน อย่างไรท่านจางก็คงคัดค้านเป็นแน่
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจหาเหตุผลที่มีน้ำหนักพอมาคัดค้านได้ ชายแดนฝั่งทะเลไม่สงบ โอรสสวรรค์ส่งกองกำลังส่วนพระองค์ไปตรวจสอบจัดระเบียบ ไม่เห็นมีอันใดน่าขัดข้อง
นับประสาอันใดกับการที่หน้าที่องครักษ์เสื้อแพรนั้นก็คือการตรวจสอบการความผิดอาญา ชายทะเลไม่สงบก็เป็นเพราะภัยรุกรานจากภายนอก อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบพอดี
วาจาคัดค้านกล่าวออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงโต้กลับทันที ตามธรรมเนียมที่เคยเป็นมา ควรจะเป็นราชบัณฑิตคณะเสนาบดีใหญ่ออกมาช่วย เซินสือหังกับจางซื่อเหวยส่งสายตาไปยังจางจวีเจิ้ง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า จางจวีเจิ้งกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว เรื่องชายแดนฝั่งทะเลไม่อาจละเลย เทียนจินนอกจากเป็นประตูสู่เมืองหลวงแล้ว ยังมีเรื่องการขนส่งเสบียงอีก หากไม่สงบก็ย่อมทำให้คนทางเหนือรู้สึกไปปลอดภัย ควรจัดคนไปตรวจสอบจัดการสักคน นายกองพันหวังผู้นี้เหมาะสมพอดี”
พอกล่าวจบ บรรดาขุนนางต่างก็เก็บสีหน้าประหลาดใจและสงสัยไว้ไม่ได้ มองไปทางจางจวีเจิ้งพร้อมกัน ท่าทีท่านจางย่อมไม่น่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร้ที่มาที่ไปเช่นนี้ เหตุใดจึงออกหน้าแทนหวังทง
แต่ท่าทีของจางจวีเจิ้งกลับทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดหยุดลงทันที ทุกคนไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ลำดับต่อมาคณะเสนาบดีก็จะนำทูลเกล้าให้ทรงลงชาดอนุมัติ
พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่มีรอยแย้มสรวลเล็กน้อย ก่อนจะบังคับให้เคร่งขรึม ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า
“หลี่ฉิวฟา!”
ทุกคนอึ้งไป ในใจคิดว่าฝ่าบาทจะทรงเรียกเสนาบดีกรมโยธา ปกติในหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อนี้ เสนาบดีกรมอากรโยธาแต่ไรมาไม่เคยมีที่ให้กล่าววาจาอันใด
“พะยะค่ะ!”
ชายวัยกลางคนตัวกลมปล้องก้าวออกมา กรมโยธามีสถานะต่ำสุดในหกกรม แต่การก่อสร้างกำแพงเมืองคูเมือง หรือระบบน้ำ อาวุธ ก็มีเงินทองเข้าออกผ่านมือมาก หากมองจากเรื่องเงินทองแล้วนับว่าเป็นงานที่อวบอ้วนอันดับหนึ่ง
“สำนักอาวุธปืนไฟที่เทียนจินลักลอบขายอาวุธให้พวกโจรสลัดกับพวกวัวโค่ว เรื่องนี้ท่านรู้หรือไม่”
พอตรัสจบ หลี่ฉิวฟาก็อึ้งไป จากนั้นก็คุกเข่าลงโขกศีรษะทันที ทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมไม่ทราบ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระหม่อมพะยะค่ะ!”
“สำนักอาวุธปืนไฟเทียนจินมีหัวหน้างานจากกรมโยธาสองคน เลวร้ายพอกัน สมคบคิดกันกระทำเรื่องเลวร้าย ถึงกับแอบค้าขายอาวุธกับพวกโจร เจ้าคนแซ่หลูที่คุมที่นั่นได้ปลิดชีพตัวหนีความผิดไปแล้ว แอบค้าอาวุธมาเกือบสิบปี ได้เงินทองไปหลายแสนตำลึง เจ้าไม่รู้หรือ เป็นเสนาบดีกรมโยธาได้อย่างไรกัน!!?”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา อยู่ๆ ก็เอาจริงขึ้นมาก บรรดาขุนนางทั้งหอประชุมไม่มีผู้ใดระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน
ข่าวของพวกเขาหากไม่ได้มาจากขุนนางด้วยกันแจ้งข่าว ก็เล็ดรอดออกมาจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรหรือไม่ก็สำนักบูรพา แต่หากทุกฝ่ายต่างปิดข่าวกัน พวกเขาอยากรู้ก็คงต้องมีสายข่าวของตนเองแล้ว มิใช่ว่าทุกคนจะมีความสามารถในเรื่องนี้ได้
เสนาบดีกรมโยธาหลี่ฉิวฟาได้แต่โขกศีรษะรับผิด ไม่กล้ากล่าวอันใด ตามสายงานแล้วสำนักอาวุธปืนไฟอยู่ภายในการดูแลของสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์และกรมโยธา แต่สถานะของสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์สูงกว่ากรมโยธาไม่รู้เท่าไร คนของสำนักอาวุธปืนไฟจึงฟังแต่คำสั่งสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ผู้ใดจะสนในกรมโยธา
อาจกล่าวได้ว่ากรมโยธามีแหล่งรายได้มาก ย่อมไม่แย่งชิงเงินไม่เท่าไรกับในวัง ย่อมไม่สนใจ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะนำภัยมาสู่ตัวได้
ความผิดสบคบโจรวัวโค่วนั้นมีโทษมหันต์ พวกที่เกี่ยวข้องดีไม่ดีอาจต้องโทษติดคุกไปด้วย เสนาบดีกรมโยธาหลี่ฉิวฟาหวาดกลัวถึงขีดสุด ได้แต่ร้องขออภัยโทษ ในใจคิดว่า ตนเองรับใช้ท่านจางมานานไม่เคยชักช้า หวังเพียงท่านจางจะออกมาช่วยพูดสักหน่อย
บรรดาคนในหอประชุมต่างหันไปมองสีหน้าจางจวีเจิ้ง พวกที่คิดรอบคอบหน่อยยัหันไปมองสีหน้าเฝิงเป่าอีกด้วย
สีหน้าทั้งสองเรียบเฉยราวกับไปไม่เกี่ยวข้อง ทุกคนต่างถอนหายใจเฮือกในใจ รู้ว่าเสนาบดีกรมโยธาหลี่ฉิวฟาครั้งนี้คนไม่มีผู้ใดช่วยแล้ว เบื้องบนไม่เอ่ยปาก เบื้องล่างก็ยิ่งต้องเงียบ
ฮ่องเต้ว่านลีทรงกริ้วอย่างมาก ทรงลุกขึ้นยืนชี้มาที่หลี่ฉิวฟาด่าว่า
“โขกศีรษะๆ ลักลอบสบคบโจรมาเยือนถึงประตูบ้านข้าแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาขออภัยโทษ ทหาร…”
“ฝ่าบาท เมืองเทียนจินอย่างไรก็ไม่ใช่เมืองหลวง เรื่องชั่วร้ายกระทำการไร้ขื่อไร้แปเช่นนี้ ใต้เท้าหลี่ย่อมไม่ข้องเกี่ยวด้วยเป็นแน่ ขอทรงวินิจฉัยด้วยพะยะค่ะ!”
ในที่สุดจางจวีเจิ้งก็ออกปากทูลขอ หลี่ฉิวฟารู้สึกผ่อนคลายลง ได้ยินจางจวีเจิ้งทูลต่อว่า
“แต่ใต้เท้าหลี่ยากที่จะพ้นโทษไม่ตรวจสอบดูแล ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่เขาที่ซื่อสัตย์ภักดีมานานหลายปี ให้เขาได้อำลาจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเถิดพะยะค่ะ!”
หลี่ฉิวฟาเย็นวาบไปทั้งตัว มาเข้าประชุมแต่เช้าด้วยความปลอดโปร่ง ผู้ใดจะคิดว่าอยู่ๆ จะเกิดเรื่องเช่นนี้ ที่รับไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ตำแหน่งขุนนางจบสิ้นกันแล้ว
แต่สูญเสียตำแหน่งเรื่องเล็ก หากเอาเรื่องกันต่อ การสบคบโจรสลัดนั้นเป็นโทษมหันต์ หลี่ฉิวฟาตอนอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธาก็กินจนอิ่มแปล้แล้ว หากอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด นับว่าเป็นบทลงเอยที่ดีที่สุดแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงหันกลับไปประทับนั่งด้วยความกริ้ว ครู่หนึ่งจึงตรัสว่า
“ในเมื่อท่านจางกล่าวเช่นนี้ เช่นนี้ก็เห็นแก่ความดีความชอบของท่าน วันนี้กลับไปส่งฎีกาลาออกมาแล้วกัน!”
“กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตา…”
“ออกไปๆ เราเห็นเจ้าแล้วรำคาญ รีบออกไป!!”
ฮ่องเต้น้อยทรงกริ้วตวาดดัง หลี่ฉิวฟาเหงื่อเย็นเต็มหน้าผากลุกขึ้นรีบถอยออกไปทันที หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อเงียบผิดไปจากปกติ ไม่มีผู้ใดคิดว่าวันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงกริ้วเช่นนี้ อายุน้อยก็ส่วนอายุน้อย อย่างไรก็เป็นโอรสสวรรค์ ย่อมมทรงบารมีน่าเกรงขาม
มีคนที่ไวพอจะคิดได้เรื่องหนึ่ง เสนาบดีกรมโยธาหลี่ฉิวฟารู้จักวางตัว ทุกเรื่องจัดการได้เรียบร้อย แม้ไม่ใช่คนของจางจวีเจิ้ง แต่ก็เป็นคนของพวกอื่น ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยใด เรื่องที่เกิดขึ้นระยะนี้หรือเป็นจางจวีเจิ้งที่อาศัยจังหวะจัดการ ผู้ใดก็ไม่อาจกล่าวได้ชัดเจน
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลีก็ทรงถอนหายใจตรัสว่า
“ขุนนางที่รักทุกท่าน ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความภักดี บรรพชนองค์ฮ่องเต้ในอดีตปราบโจรสลัดวัวโค่วมาค่อนราชวงศ์ เสด็จพ่อเราเพิ่งจะปราบปรามลงได้ แต่ที่ทำการราชสำนักหมิงเรากลับลักลอบสมคบคิดกับพวกโจร นี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรืออย่างไร เราจะยังนอนหลับเป็นสุขอยู่ในวังหลวงนี้ได้อีกหรือ?”
พระดำรัสหนักเช่นนี้ ขุนนางในหอประชุมก็ย่อมต้องคุกเข่าลงภายใต้การนำของจางจวีเจิ้งเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียงกันว่า
“เกล้ากระหม่อมตั้งใจภักดี ขอฝ่าบาททรงวางพระทัยได้”
บรรยากาศเริ่มประนีประนอมไม่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงนิ่งไปครู่หนึ่งก็ตรัสว่า
“เสนาบดีกรมโยธาว่างลง ท่านจางกับขุนนางทุกท่านโปรดเสนอ ส่งผู้ที่ได้รับเลือกมาให้สำนักส่วนพระองค์อนุมัติละกัน!!”
ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ขึ้นไปจะต้องให้คณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมร่วมกันเสนอชื่อ หากชื่อที่เหมาะสมสองสามรายชื่อทูลเกล้าให้ทรงเลือก ถึงตอนนี้น หากเป็นท่านจางเสนอมา ก็ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้าน
เห็นจางจวีเจิ้งคุกเข่ารับพระบัญชา ทุกคนก็สบตากันด้วยอาการรับรู้บางอย่าง ท่านจางรู้ช่างเก่งกล้า ถึงกับได้ตำแหน่งเสนาบดีมาไว้ในกำมือได้อย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าจะมอบให้แก่ผู้ใด
“เรื่องนี้ทำให้ข้านึกได้ว่า เทียนจินเป็นเส้นทางน้ำทางทะเล สำนักอาวุธปืนไฟก็มีภารกิจหนักในการผลิตอาวุธให้แก่เมืองจี้โจวและเหลียวโจว ไม่อาจโยกย้ายไปที่ไหนได้ง่ายๆ ต้องอาศัยฝั่งทะเล ยากที่จะไร้พวกเหลวไหล พวกโจรที่คิดการยากคาดเดามารบกวน หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย ก็อาจถูกคนหาช่องทางเข้ามาได้ เหมือนกับครั้งนี้ โจรสลัดวัวโค่วรบกวนชายทะเล สังหารประชาชนด้วยอาวุธที่ทางการเราผลิตเอง นี่เป็นเรื่องบัดซบโดยแท้ เราคิดว่า สถานที่สำคัญเช่นนี้ต้องหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลจะดีที่สุด ขุนนางที่รักทุกท่านว่าใช่หรือไม่?”
กล่าวถึงตรงนี้ ยังต้องกล่าวอันใดอีก บรรดาขุนนางล้วนสรรเสริญพร้อมเพรียงกันว่าทรงพระปรีชายิ่งแล้ว พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เผยรอยแย้มสรวลเล็กน้อย พยักหน้าตรัสว่า
“คนที่ไว้ใจได้นั้น เราเองก็พอมี นายกองพันหวังทงเป็นคนพบคดีของสำนักอาวุธปืนไป คำให้การ พยานและหลักฐานนั้นก็มีครบ ตอนอยู่เมืองหลวง ไม่ว่าลานฝึกหู่เวยหรือหอเลิศรส หอรุ่งเรือง เขาก็บริหารจัดการได้ดี เป็นผู้มีความสามารถ ไม่สู้ให้เขามาควบตำแหน่งดูแลไปด้วยละกัน!”
สีหน้าบรรดาขุนนางต่างย่ำแย่ไปตามๆ กัน จางจวีเจิ้งบึ้งตึงอย่างมาก ค่อยๆ ทูลขึ้นว่า
“ฝ่าบาท หวังทงเป็นขุนนางบู๊ สำนักอาวุธปืนไปแต่ไรมาก็ต้องให้คนของสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์กับกรมโยธาไปดูแลร่วมกัน ทำเช่นนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะพะยะค่ะ?”
ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเรื่องวันนี้ไม่ถูกต้องนัก ปกติท่านจางควรจะปฏิเสธหนักแน่น แต่กลับไปไม่ปฎิเสธ ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสว่า
“ไม่เป็นไรๆ สำนักส่วนพระองค์นั้นเป็นคนของเรา สำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นทหารของเรา ล้วนเป็นคนของเรา ส่งใครไปเราก็ไว้วางใจทั้งนั้น ก็ให้หวังทงควบตำแหน่งไปด้วยละกัน เฝิงต้าปั้น ท่านเห็นว่าควรให้ดำรงตำแหน่งใดดี?”
เฝิงเป่าด้านข้างก็ก้าวออกมากล่าวนุ่มนวลด้วยความนอบน้อมว่า
“ทูลฝ่าบาท ตำแหน่งในสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์นั้นเป็นตำแหน่งฝ่ายใน ในเมื่อนายกองพันหวังจะดูแลงานนี้ มิสู้รั้งตำแหน่งในกรมโยธา ปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจการสำนักอาวุธปืนก็แล้วกัน”
“ดี ดี เฝิงต้าปั้นกล่าวได้ถูกต้อง ท่านจาง คณะเสนาบดีนำเสนอขึ้นมา สำนักส่วนพระองค์ลงชาดแล้วจะรีบออกราชโองการละกัน!!”
หางคิ้วจางจวีเจิ้งกระตุกเล็กน้อย ให้ประโยชน์หวังทงไปเช่นนี้ เขารู้สึกยอมไม่ได้จริงๆ แต่คิดถึงคำขอร้องของเฝิงเป่า คิดถึงตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธา ก็ได้แต่ก้าวออกมารับพระบัญชาว่า
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!”
นาทีนี้ในหอประชุมมีคนอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียง ‘เอะ’ ด้วยความฉงนออกมา แต่ทุกคนก็ทำเป็นไม่ได้ยินอันใด พากันปิดปากนิ่ง หากในสมองวิ่งเร็วจี๋ ในใจพากันคิดว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
“ใช่แล้ว ขุนนางทุกท่าน ยึดทรัพย์คนแซ่หลูนั้นกับการระเบียบชายแดนฝั่งทะเล ไม่ถึงสามวันก็ได้มาสองแสนห้าหมื่นตำลึง ลงแรงไม่กี่วัน เงินก้อนจินฮวาก็ได้มา 1 ใน 4 แล้ว ลำดับต่อไปหากถึงปี หนึ่งล้านนี้ยังต้องกังวลอีกหรือ?”
ฮ่องเต่ว่านลี่แย้มสรวลตรัสขึ้น บรรดาขุนนางต่างตาพองโต ตกใจสุดขีด ตามมาด้วยสีหน้าดำคล้ำลง แลดูย่ำแย่อย่างมาก