ตอนที่ 3 ปรับเปลี่ยนฉับไวตามสถานการณ์
กินข้าวไปได้ไม่กี่คำ หวังทงก็สวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณ บุตรกตัญญูจะคอยกล่าวขอบคุณแขกที่มาคำนับศพ พิธีการเช่นนี้แต่อดีตถึงปัจจุบันก็เฉกเช่นเดียวกัน
ผู้รอต้อนรับแขกที่ประตูก็ขานชื่อเสียงดัง แขกเหรื่อทยอยเข้ามาคำนับศพ หวังทงคุกเข่าอยู่บนเสื่อคำนับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากไม่มีเงินทองที่บิดาเหลือไว้ให้ ไม่มีบ้าน เขาจะมีชีวิตได้อีกนานเท่าไร หรือจะต้องไปอยู่ร้านตีเหล็ก แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแย่งเอาทรัพย์สมบัติของครอบครัวเขา พวกนั้นจะยอมให้เขาได้เตร่ไปมาอยู่ข้างนอกนั้นให้เป็นปัญหาภายหลังอย่างนั้นหรือ
ความเศร้าโศกจากการจากไปของบิดาถูกความหวาดกลัวและความกังวลครอบงำไปเสียสิ้น ยามนี้มหันตภัยมาถึงตัว ที่หวังทงคิดถึงก็คือตัวเขานั้นจะหลบหลีกเช่นไร จึงจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้
องครักษ์เสื้อแพรมีบารมีน่าเกรงขาม วางอำนาจบาตรใหญ่ ทว่าหวังลี่ยังนับว่าเป็นคนซื่อสัตย์ บนถนนนี้ยังไม่เคยใช้อำนาจรังแกใคร หากแต่มักจะให้ความช่วยเหลือทุกคนอย่างเต็มกำลัง หวังทงก็มิได้ซุกซนจนก่อเรื่องก่อราวแต่อย่างใด
ชื่อเสียงของเขาสองคนพ่อลูกดีไม่น้อย ดังนั้นเมื่อหวังลี่จากไปและจัดพิธีคำนับศพ ผู้ที่มาก่อนนั้นก็ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง แขกที่เข้ามาคำนับศพกล่าววาจาปลอบโยนปลอบใจ เมื่อเห็นหวังทงที่ตกอยู่ในภวังค์ก็มิได้ใส่ใจอันใด แม้หวังทงจะโตเกินวัย หากก็ยังเป็นเด็ก ต้องประสบเหตุเช่นนี้ คงยากที่ใจจะไม่รู้สึกสับสน
ไม่นานก็ไม่มีเพื่อนบ้านมาอีก เพราะเพื่อนร่วมงานของหวังลี่จากสำนักองครักษ์เสื้อแพรใกล้จะมาถึงแล้ว หวังลี่เป็นคนซื่อสัตย์ แต่ผู้อื่นนั้นก็มิอาจรู้ได้ รีบหลบไปก่อนน่าจะเป็นการดีกว่า
“ใต้เท้าเถียนหรงหาว นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรและใต้เท้าหลิวซินหย่ง นายกองธงใหญ่นำคณะเข้าคำนับ” ผู้ขานนามแขกที่มางานนั้นเป็นเพียงชายธรรมดาไร้ความรู้ในตลาด การที่สามารถกล่าวขานตำแหน่งขุนนางได้อย่างผู้มีความรู้ก็นับว่ายากแล้ว หากน้ำเสียงสั่นอยู่บ้างเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะรู้สึกตกใจหวาดกลัวอยู่มาก
ในเวลานี้ห้องโถงไว้ทุกข์ไร้ผู้คน ผู้ชายสองคนที่มีหน้าที่ดูแลและนำแขกเข้างานก็พากันหลบหน้าไปแล้ว ‘ราษฎรราวฝูงแกะหมู องครักษ์เสื้อแพรราวฝูงเสือหมาป่า’ ภาษิตนี้มิใช่คำกล่าวไร้ความหมาย
เสียงฝีเท้าย่ำหนักมากมายดังเข้ามา ผู้คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามายังห้องโถงไว้ทุกข์ บ้านตระกูลหวังนี้แม้จะเก่า แต่ในตอนนั้นก็สร้างโดยคหบดีร่ำรวย เรือนภายในก็กว้างขวางโอ่อ่า ผู้คนมากมายเข้ามาก็ไม่รู้สึกแออัดเท่าไร
เถียนหรงหาว ชื่อนี้หวังทงเคยได้ยินบิดากล่าวถึง เขาเป็นหัวหน้าสูงสุดของหวังลี่บิดาเขา เมื่อเถียนหรงหาวเดินผ่านประตูเข้ามา หวังทงก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจก่อนจะเอ่ยเสียงแหบพร่าขึ้น
“ขอคารวะท่านลุงท่านอาทุกท่าน”
จากนั้นก็โขกศีรษะคำนับตอบ เถียนหรงหาวเป็นชายหน้าดำรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง หนวดเคราบนใบหน้าไม่มากนัก หน้าตาท่าทางฉลาดหลักแหลมและเก่งกล้าสามารถ ตอนเดินเข้าประตูมา ขุนนางใหญ่เช่นเขามาคำนับศพด้วยตนเอง ในบ้านกลับไร้ผู้คนต้อนรับ เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นป้ายวิญญาณเบื้องหน้า ในใจก็เศร้าสลดอยู่บ้าง ก้าวไปข้างหน้าปักธูปหนึ่งดอก ถอนใจและกล่าวกับคนด้านหลังว่า
“หวังลี่เป็นคนซื่อสัตย์ น่าเสียดาย”
ผู้อยู่ด้านหลังนิ่งไปก่อนรับคำ เมื่อได้ยินพวกเขากล่าวถึงบิดาตนเช่นนี้ น้ำตาหวังทงก็หลั่งออกมาอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้ สายตาของนายกองร้อยเถียนก็หันมามองเขากล่าวว่า
“เจ้าคือหวังทงสินะ จากนี้จะเลี้ยงดูตนเองอย่างไร”
เดิมพวกองครักษ์เสื้อแพรก็มีหน้าที่หาข่าวกรอง นายกองร้อยเถียนกล่าวเช่นนี้ก็มิแปลกอันใด หวังทงเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า
“เรียนใต้เท้า หวังทงปีนี้อายุสิบสาม ยังไม่ได้ทำงานหาเลี้ยงตนเองอันใดขอรับ”
หวังทงตอบกลับอย่างจริงจังจนทำให้นายกองเถียนรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก ได้ยินว่า ‘อายุสิบสามปี’ ก็อดตกใจไม่ได้ เขากล่าวขึ้น
“รูปร่างสูงใหญ่ อย่างกับผู้ใหญ่”
หากเมื่อหวังทงเงยหน้าขึ้นก็เห็นกลุ่มคนเบื้องหลังของเถียนหรงหาว ใจก็พลันสั่นไหวอย่างไม่อาจห้ามได้ สองคนนั้นที่พบบนถนนก่อนหน้านี้ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ที่แท้ ‘หัวหน้าหลิว’ ก็คือนายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งนี่เอง ผู้ติดตามข้างกายหลิวซินหย่งก็คือชายร่างสูงใหญ่คนนั้นนั่นเอง
องครักษ์เสื้อแพรที่มาด้วยกันสิบกว่าคน บางคนหน้าตาไร้ความรู้สึก บางคนมีร่องรอยเศร้าโศกอยู่บ้าง แต่สองคนนี้ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่ามาคำนับศพ เอาแต่แอบกระซิบกระซาบ มองสำรวจไปทั่ว สีหน้าอย่างนี้หวังทงเคยพบเห็นมาก่อน ในยุคปัจจุบันที่นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ประเมินมูลค่าบ้านของพวกเขาก็หน้าตาแบบนี้
นายกองร้อยที่มานั่นก็แค่มาทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชา เขาเองก็ไม่ได้สนจะอยู่ต่อแต่อย่างใด จึงหันหน้าไปเอ่ยกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า
“พวกเจ้าก็จุดธูปกันเสียสิ เงินทองติดตัวมาก็มอบออกมาส่วนหนึ่ง…”
ทุกคนต่างรับคำ ก้าวเข้ามาตามลำดับ หวังทงลังเลชั่วครู่ก่อนโขกคำนับกลับตามประเพณี โขกศีรษะลงบนเสื่อไม่หยุด แต่ความคิดเขากลับวิ่งไวราวกระแสไฟฟ้า
ภรรยาของหวังลี่เสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควร หวังทงผู้เป็นลูกชายก็โตเกินวัย เรื่องราวชีวิตหรือเรื่องเล่าขององครักษ์เสื้อแพรบางเรื่องก็มักจะถูกนำกลับมาเล่าให้ลูกชายฟังเป็นนิทาน หวังทงมักจะมีความคิดเห็นที่ไร้เดียงสา สร้างเสียงหัวเราะให้กับเขา นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของสองพ่อลูก
ในช่วงเวลาเช่นนี้เรื่องราวที่ไม่น่าพิสมัยก็ลอยเข้ามาให้ห้วงความคิดของหวังทง การแย่งชิงทรัพย์สิน ขับไล่แม่หม้ายและลูกกำพร้าออกจากบ้าน เรื่องแบบนี้ก็มี แต่เรื่องที่เกิดในเวลาต่อมานั้น ถ้าไม่ใช่แม่หม้ายและลูกกำพร้าไปฟ้องร้องเอาคืน ก็จะเป็นพวกคนที่แย่งชิงเอาทรัพย์สินไปเหล่านั้นลงมือตัดรากถอนโคน
ด้วยพฤติกรรมไร้ยางอายขององครักษ์เสื้อแพร หากต้องการชิงเอาทรัพย์สินเพื่อนร่วมงานที่จากไป การลงมือเก็บกวาดก็ย่อมรุนแรงไร้ความปราณีอย่างแน่นอน เขาเองย่อมต้องถูกฆ่าปิดปากเป็นแน่
หวังทงเงยหน้ามองไปยังหลิวซินหย่งและคนข้างกายแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าเขาสองคนฉายแววแห่งความละโมบ ก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตน
ในใจพลันคิดรวดเร็วราวกระแสไฟฟ้า เถียงหรงหาวและผู้ใต้บังคับบัญชาคำนับศพเรียบร้อย ก็หันมาพยักหน้าให้เขาก่อนหันกายจะจากไป ขณะที่กำลังออกจากห้องโถงไปนั้น สติหวังทงก็ฟื้นคืนมาในทันใด ตะโกนขึ้นเสียงดังว่า
“ใต้เท้าเถียนโปรดหยุดก่อน บิดาข้าที่จากไปมีสิ่งของมอบให้ใต้เท้าขอรับ”
นายกองร้อยเถียงหรงหาวแปลกใจหันกายกลับมา หวังทงไม่สนใจชุดไว้ทุกข์ที่สวมอยู่ รีบลุกยืนขึ้นกล่าวอย่างรวดเร็วว่า
“เมื่อครู่เลอะเลือนไป เกือบลืมไปเรื่องหนึ่งขอรับ ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”
เถียนหรงหาวสีหน้าตกตะลึง เขาและหวังลี่ไม่มีมิตรภาพอันใด จะมีของต้องคืนได้อย่างไร หลิวซินหย่งและคู่หูที่ยืนอยู่เบื้องหลังนายกองร้อยเถียนสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกสงสัย หากว่าเป็นคนรู้จักกับนายกองร้อยล่ะก็ การจะแย่งชิงนั้นก็คงทำได้ยาก หากเมื่อก่อนกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน ดูต่อไปละกัน
หวังทงรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนเปิดช่องลับใต้เตียงบิดาของเขาออก ดึงกล่องที่ไม่ใหญ่นักใบหนึ่งออกมา ล้วงเอากุญแจดอกหนึ่งที่พกติดกายออกมาเปิด เผยให้เห็นทองแท่งเรียงตัวเป็นระเบียบอยู่ในนั้นกับปืนไฟที่วางอยู่ด้านบนสุด
หวังทงมองปืนสั้นแวบหนึ่ง จากนั้นโยนปืนและทองแท่งจำนวนหนึ่งกลับเข้าไปในช่องลับอย่างเร็ว อุ้มกล่องนั้นขึ้นมาหันกายออกวิ่งไปยังห้องโถง
ในยุคนี้องครักษ์เสื้อแพรเป็นการคงอยู่ที่เหนือกฏหมาย หากต้องการปกป้องตนเอง และต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นการเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เมื่อหวังทงวิ่งกลับไปที่โถงไว้ทุกข์ ใบหน้าของเถียนหรงหาวก็แลดูไม่สบอารมณ์แล้ว ในใจคิดว่าเจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พูดมั่วซั่ว หากไม่ใช่ว่าอยู่ที่โถงไว้ทุกข์แล้วล่ะก็ ก็คงได้จากไปนานแล้ว
หวังทงอุ้มกล่องตรงมาที่เบื้องหน้านายกองร้อยเถียนอย่างเคารพนบนอบ กล่าวเสียงค่อยว่า
“ใต้เท้าเถียน บิดาข้าก่อนจากไปสั่งเสียเอาไว้ขอรับ เดิมคิดว่าสองสามวันนี้ก็จะส่งไปให้ท่าน แต่เรื่องราววุ่นวายในบ้านทำให้เสียเวลาไปมากอยู่…”