ตอนที่ 315 ที่มาที่ไป เรื่องฉุกละหุก
ลงทัณฑ์สามไม้ ไม่มีวาจาใดไม่กล่าว
ที่เรียกว่าลงทัณฑ์สามไม้ก็คือชื่อเรียกรวมเครื่องลงทัณฑ์ทรมานร่างกายทั้งหมด เช่น ท่อนไม้บีบรัด ท่อนไม้โบย ลาไม้โยก เป็นต้น คนธรรมดาไม่อาจทนได้ หัวหน้านาวาสุคนธ์พวกนี้ รวมทั้งเผียวเฉวียนก็เป็นคนธรรมดาทั่วไป
หวังทงจัดยามเวรยามในเมืองในเวลากลางคืน นางหม่าตะโกนว่านำอาหารเย็นมาส่งแล้ว ทุกคนที่ถูกลากออกมาล้วนให้การสารภาพเรียบร้อย
เหตุผลที่เผียวเฉวียนเลือกละแวกใกล้ที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรเป็นที่กบดานก็เพราะ หนึ่งที่นั้นวุ่นวาย ทางการไม่อยากข้องเกี่ยว สอง ที่ทำการองครักษ์เสื้อแพรที่นี่ แม้แต่หวังทงก็ไม่ได้มาบ่อย นับประสาอันใดกับการที่เป็นพื้นที่ขององครักษ์เสื้อแพรที่เหมือนกับพื้นที่หลบมุมมืด ยากจะรู้สึกได้
การค้นพบเครื่องรางพกติดตัวของลัทธิไตรสุริยันเรื่องนี้ หวังทงคิดดูแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนี้ แต่ผลการสอบสวนกลับพบว่าไม่ได้ซับซ้อนอันใด
ในกลุ่มนาวาสุคนธ์มีความลับที่ไม่เป็นความลับอันหนึ่ง เหมือนว่าแกนนำเกือบทุกคนรู้ดี นั่นก็คือแม้ว่าจะกล่าวว่าเป็นหัวหน้านาวาระดับแกนนำห้าคนลงมือ แต่คนสั่งการจริงๆ ก็คือหัวหน้าใหญ่จินแห่งสำนักนาวาสุคนธ์
นาวาสุคนธ์เมื่อก่อนเป็นแค่กลุ่มองค์กรที่ร่วมสาบานเป็นพวกกันเพื่อใช้แรงงานที่ท่าเรือ มีเพียงจินโต่วชางเท่านั้นที่มาจากแถบเกาหลี ล้วนเป็นหัวหน้าจินสั่งการ
พวกที่เหลือกับพวกที่อยู่มานานหน่อย หรือพวกที่มีคนในสังกัดมาก ก็มีแต่หัวหน้าจินโต่วชางที่มาจากจากเกาหลีผู้นี้ ไร้ที่มาที่ไป อาศัยแค่ความจงรักภักดีถึงที่สุดและความหน้าด้านไร้ยางอายคอยประจบประแจงเท่านั้นจึงได้ปีนขึ้นมาได้สูงเช่นวันนี้
และก็เพราะไร้ที่มาที่ไป แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากนายใหญ่ นับเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาหัวหน้านาวาแกนนำห้าคน
แหล่งเงินทองที่ใหญ่ที่สุขของนาวาสุคนธ์ย่อมหนีไม่พ้นการขนถ่ายสินค้าท่าเรือ ค่าใช้จ่ายสูงกว่าภาษีที่หวังทงเรียกเก็บตอนนี้เสียอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หัวหน้านาวาแกนหลักและหัวหน้าใหญ่ร่วมมือทำการค้ากับเรือทะเล นั่นยิ่งร่ำรวยใหญ่
หลังจากหวังทงสร้างป้อมปืนขึ้น ก็สั่งทุบกระถางธูปในและนอกเมืองทิ้ง เก็บค่าป้ายสงบสุขแทน เท่ากับว่าได้ปิดทางทำมาหากินของพวกนาวาสุคนธ์ไปเสียแล้ว
ในความเป็นจริงแล้ว เป็นการตัดเส้นทางทำมาหากินของพวกนาวาสุคนธ์ พวกโจรสลัดบนแม่น้ำทะเลที่จะค้าปรอท หนังกวาง ยาหางวัวและผ้า ซึ่งล้วนเป็นการค้ากับโจรสลัดประเทศวัวทั้งสิ้น
หัวหน้าพวกนี้ย่อมหนีไม่พ้นความผิดฐานคบคิดโจรสลัด มีโทษตัดหัวและริบทรัพย์ ตัดเส้นทางทำกิน ทำลายชีวิต ความแค้นนี้หากไม่ตายย่อมไม่มีวันเลิกรา
หัวหน้านาวาสุคนธ์ล้วนหลบทาง มีแต่หัวหน้าใหญ่ที่นำเงินออกมา 50 กว่าตำลึงพร้อมส่งคนอีกราวหลายสิบคนมาช่วย ให้เผียวเฉวียนกับพวกที่เป็นหัวหน้าหน่วยออกหน้าก่อความไม่สงบ ส่งพวกนาวาสุคนธ์เข้าเมืองมาก่อความไม่สงบ
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหากต้องเจอกับประชาชนนับพันนับหมื่นคนก่อจลาจล ราชสำนักย่อมไม่พิจารณาถูกผิดอันใด แต่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่จะต้องถูกปลดไปก่อน และหากไม่มีคนหนุนหลังก็อาจต้องโทษเพิ่ม
อย่างไรในพื้นที่ก็เกิดจลาจล ไม่ว่าแก้ต่างเพียงใด ก็ล้วนเป็นเพราะไร้สามารถ หรือไม่ก็ทำความชั่วจนประชาสุดจะทน ชาวประชานุ่มนวลราวกับลูกแกะน้อยถูกเจ้าบีบคั้นจนต้องก่อการ เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดเจ้า
นาวาสุคนธ์มั่นใจในวงการราชสำนักยิ่ง พวกเขาเตรียมใช้เหตุนี้มาบีบหวังทงให้ต้องถูกปลด
แต่สิ่งที่ผู้อื่นไม่รู้ก็คือ เผียวเฉวียนเป็นคนสนิทของหัวหน้าจินโต่วชาง และเขาได้จัดมือสังหารสิบกว่าคนมาที่นี่ หากหวังทงโผล่หัวออกมา ก็จะฉวยโอกาสเก็บทิ้ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ การตายของหม่าต้าฟู่ทำให้พวกเขามีโอกาสเริ่มสร้างเรื่อง แน่นอน ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ บางทีก็อาจมีหม่าต้าฟู่เบอร์สองหรือสามมาแทนก็ได้ แม้พวกเขาไม่รีบไปสู่ความตาย เผียวเฉวียนก็จะช่วยพวกเขาเอง อาศัยจังหวะการจัดงานศพรวบรวมชาวนาวาสุคนธ์ที่กระจัดกระจายให้มารวมตัวกันอีกครั้ง
ซาเอ้อร์เป่าตกเป็นเป้าของพวกเขาแต่ต้น ชาวนาวาสุคนธ์ระดับรากหญ้าหลายคนก็เหมือนกับซาเอ้อร์เป่า ตอนอยู่กับนาวาสุคนธ์ พวกเขาทำเงินได้มากมายแต่ก็ต้องเสียค่าหัวคิว เงินที่ตกถึงมือไม่ต่างอันใดกับเศษเงินที่ได้จากการทำงานข้างนอก เลิกก็เลิก พวกเขาไปหางานใหม่ก็ได้
เมื่อไม่มีสำนักนาวาสุคนธ์ งานมากมายทั้งที่คลองส่งน้ำและแม่น้ำทะเลก็มีมากมายให้ทำ ไม่แน่ว่าจะหาเงินได้มากกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำไป คนเช่นซาเอ้อร์เป่าไม่ตายไปสักคนสองคน ย่อมไม่อาจปลุกความโกรธแค้นให้ลุกฮือขึ้นมาได้
ยิ่งไปกว่านั้นที่คลองส่งน้ำมีผู้คนเข้าออกมากมาย ทำอะไรก็ยากจะมีคนสังเกตเห็น หาสักคืนหนึ่งเข้าไปในเพิงพักของซาเอ้อร์เป่า จากนั้นก็รัดคอและแขวนขึ้นไป
ทหารองครักษ์เสื้อแพรของหวังทงดุร้ายมาก ทุกคนกลัวกันอยู่แล้ว ผู้ใดจะคิดขึ้นมาต่อต้านกัน ล้วนเตรียมหางานอื่นทำกันแต่โดยดีแล้ว
แต่พอซาเอ้อร์เป่าเสียชีวิต ก็เริ่มเอาเงินไปเดินตามถนนและตรอกซอกซอยเพื่อรวมตัวกันอีกครั้ง เป็นเพราะว่าองครักษ์เสื้อแพรไม่ให้นาวาสุคนธ์เรามีทางรอด บีบให้อับจนหนทาง กระต่ายก็ย่อมต้องกัดคน เมื่อถูกบีบคั้นถึงขั้นนี้ พวกนาวาสุคนธ์ ก็ย่อมโกรธแค้นอย่างมาก
ถึงขั้นนี้แล้ว คงต้องออกมาสู้เท่านั้น มีคนนำ ทุกคนก็ย่อมตาม
พวกนาวาสุคนธ์ก่อความไม่สงบ พวกระดับแกนนำปกติก็มีนิสัยเกเรไม่เกรงใจผู้ใด อยู่ๆ ถูกตีลงไปอยู่ก้นบ่อ ในใจย่อมเคียดแค้น นอกจากนี้ยังมีเงินให้อีก ย่อมอยากจะออกมาก่อเรื่อง พวกเขาคิดง่ายๆ ว่า ขอเพียงเจ้าหวังทงที่ไร้เหตุผลผู้นี้ล้มลง ทุกคนก็จะมีวันดีๆ ขึ้นมาใหม่
สำหรับพวกเผียวเฉวียนแล้ว ห้าพันกว่าตำลึงเป็นเพียงเงินที่ใช้ข้างนอก หัวหน้าใหญ่ยังมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการให้อีกหลังเสร็จงาน พวกเขาจะขึ้นเรือจากไปยังเจียงหนานแดนใต้ ที่นั่นหัวหน้าได้จัดเตรียมบ้านและที่นาให้พวกเขาแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาจะได้ไปเสวยสุขที่นั่น
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเรื่องที่พวกเขาคิดว่าดำเนินการลับ พวกหวังทงกลับวางแผนได้สมบูรณ์กว่า รอจังหวะล่อพวกเขาเข้าเมืองมา จากนั้นก็ปิดประตูเมืองเหมือนกับการจับปูลงไห
สำหรับพวกลัทธิไตรสุริยันนั้น เผียวเฉวียนกลับพูดอะไรไม่ได้มาก พูดได้แค่ว่า หากชาวนาวาสุคนธ์อยากได้ดีก็ต้องเป็นศิษย์ของหัวหน้าจินโต่วชาง จินโต่วชางรู้สึกว่าผู้ใดไม่เลว ก็จะชักนำให้พวกเขามานับถือลัทธิไตรสุริยัน
ทุกคนเชื่อในเทพเจ้าก็เพื่อผลประโยชน์ตน ในเมื่อการเข้าลัทธิจะทำให้พวกเขาสถานะสูงส่งขึ้น เหตุใดจะไม่ทำ ไม่มีผู้ใดคิดปฏิเสธ
เผียวเฉวียนรู้ว่ามีคนหลายสิบคนที่เชื่อในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มีหัวหน้าสิบกว่าคนที่เข้าลัทธิ พอมีคนนับถือมาก ก็ย่อมย้ายที่ใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหนกัน
คำให้การนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการยืนยันสิ่งที่หวังทงคิดไว้ก่อนหน้าเท่านั้น ไม่มีข้อมูลที่มีค่ามากมายดังที่หวังทงต้องการ
แม้แต่เรื่องที่หัวหน้าใหญ่จะเป็นเถ้าแก่ร้านทงไห่เช่นไฉฝูหลินนั้น หวังทงก็ไม่แปลกใจอันใด องค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้ ย่อมกินพื้นที่กว้างและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาก ล้วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจการค้า หากอาศัยเพียงสำนักนาวาสุคนธ์ย่อมไม่อาจได้ประโยชน์มากมายมหาศาลสักเท่าไร มีเพียงแต่พวกพ่อค้าใหญ่ที่ทำการค้าเท่านั้นที่จะมีความเป็นไปได้ที่จะร่ำรวยมหาศาล
การคาดเดาเริ่มแรกของหวังทงนั้นเล็งไปที่สามร้านใหญ่อย่างเช่น ทงไห่ หย่งเซิ่งและจิ้นเหอ ตอนนี้ร้านจิ้นเหอถูกหวังทงทำลายราบไปแล้ว เถ้าแก่ร้านทงไห่ก็ไม่รู้หายตัวไปที่ใดนานแล้ว ร้านหย่งเซิ่งกลับทำการค้าปกติ แต่การอยู่ในเมืองเทียนจินมานานเพียงนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องคงเป็นไปไม่ได้ แค่ว่ามากหรือน้อยเท่านั้น
*********
เผียวเฉวียนกับหัวหนาโจรที่เหลือลงนามในเอกสารรับสารภาพแล้วก็ถูกส่งเข้าคุกไป แต่ละค่ายยังไม่อาจรีบร้อนกลับไปพักผ่อน หากต้องทำการกวาดล้างในเมืองอีกครั้งตามคำรับสารภาพ จับกุมพวกที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่มาให้หมด
จางซื่อเฉียงกระซิบเตือนข้างๆ ว่า
“ใต้เท้ากาวทางนั้น…”
หวังทงพยักหน้าเอ่ยว่า
“ต้าไห่ ส่งคนไปจับตาดูไว้ มอบเงินให้มือปราบและเจ้าหน้าที่ฝ่ายคดีอาญาที่ตามมาทำคดีด้วยกันวันนี้คนละ 10 -20 ตำลึง ให้ค้างคืนที่นี่ บอกไปว่าให้ทำงานโต้รุ่ง”
ซุนต้าไห่รีบประสานมือคำนับก่อนจะออกไปข้างนอกทันที หวังทงจึงได้ถอนหายใจยาวนั่งลงบนเก้าอี้ หม่าซานเปียวกับหลี่หู่โถวยืนอยู่ข้างๆ หยางซือเฉินกับไช่หนานนั่งอยู่
“ซานเปียว หู่โถว พวกเจ้าไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยนำกำลังคนละ 100 นายออกลาดตระเวน อย่าได้ลดการป้องกันในคืนนี้แม้แต่นาทีเดียว”
หม่าซานเปียวคุ้นเคยกับการเป็นทหารแล้ว แต่หลี่หู่โถวยังทำความเคารพแบบทหารได้ไม่เป็นธรรมชาตินัก หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“วันนี้ทำงานกันหนัก หากคืนนี้ยังไม่อาจพัก พวกเจ้าสองคนกินข้าวกันก่อน คืนนี้ต้องเฝ้าระวังให้แน่นหนา”
“ลำบากอันใด ใต้เท้าก็มิใช่ว่ายังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่หรือ!”
หม่าซานเปียวพูดจาเสียงดังโผงผาง หลี่หู่โถวยืนตรงทำความเคารพพร้อมรับเสียงดังกังวานว่า “ไม่ลำบาก” หวังทงยิ้มชี้ไปยังของบนโต๊ะกล่าวว่า
“ให้ใครมาเอาไปอุ่นร้อนหน่อย”
จางซื่อเฉียงรีบออกไปข้างนอกจัดการทันที หัวหน้าค่ายและนายกองร้อยค่ายที่หนึ่งล้วนเป็นลูกน้องเก่าของหวังทง เป็นพวกที่ไว้ใจได้ แต่วันนี้ปฏิบัติการใหญ่เช่นนี้ ในเมืองจัดการไปหกพันกว่าคน แม้ว่าขังพวกเขาไว้ แต่หากคืนนี้ฉวยโอกาสเอะอะโวยวายขึ้นมา คงยุ่งกันแน่ จวนหวังทงเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ย่อมต้องเลือกใช้คนที่ไว้ใจได้ที่สุดมาดำเนินการ
หยางซือเฉินและไช่หนานรู้สึกเก้กังอยู่ไม่น้อย กลางวันได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก คนที่ลนลานที่สุดคือเขาสองคน คนที่บอกให้ประนีประนอมก็คือเขาสองคน คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะจบลงง่ายดายราวกับหั่นผักผ่าแตงเช่นนี้ได้
หวังทงเห็นสองคนเก้กังอยู่ก็ยิ้มกล่าวว่า
“หลายวันก่อนมีหัวหน้าหน่วยนาวาสุคนธ์ผู้หนึ่งแอบมาส่งข่าวขอให้รับรองความปลอดภัย เรื่องนี้คนงานในบ้านไม่แน่ว่าจะรู้ได้ ดังนั้นมีข้ารู้เพียงคนเดียว คนอื่นๆ ล้วนปฏิบัติไปตามคำสั่ง”
อธิบายสองประโยค หวังทงเอ่ยอธิบายเองถือว่าให้เกียรติไม่น้อยแล้ว สองคนเดิมยังเป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะทำให้หวังทงเอาผิดหรือดูแคลนเอาได้ ตอนนี้ปมในใจคลี่คลายลงแล้ว
สีหน้าหวังทงเริ่มจริงจังกล่าวอย่างเป็นการเป็นงานว่า
“ตอนกลางวันเราสยบลงได้ด้วยอาวุธ แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ ยังต้องอาศัยฝีมือการเขียนรายงานของเจ้าสองคนไปสู้รบอีก พวกเจ้าสองคนไปที่คุก นำคำให้การคนพวกนั้นกับหลักฐานที่ข้าได้มารวมกัน จะเขียนบรรยายอย่างไรให้เป็นการคิดการร้ายที่เตรียมการมาเป็นอย่างดี เขียนให้ได้ว่าหากวันนี้ไม่สังหาร วันหน้าย่อมก่อหายนะใหญ่ เขียนอย่างไรให้เห็นว่าปฏิบัติการในวันนี้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน เป็นรายงานที่แสดงให้เห็นความซื่อสัตย์จงรักภักดี คงต้องพึ่งเจ้าสองคนแล้ว”
ความหมายชัดเจนและตรงไปตรงมามาก ได้ยินว่าประโยชน์ใช้สอยของเขาสองคนแล้ว ทั้งสองจึงได้วางใจได้อย่างแท้จริง รีบลุกขึ้นกล่าวว่า
“ใต้เท้าวางใจ ข้าน้อยจะรีบไปดำเนินการ”
ไช่หนานก่อนออกไปยังเตือนขึ้นว่า
“ใต้เท้า เลี้ยงหกพันกว่าคนวันหนึ่งก็ต้องใช้เงินหลายร้อยตำลึง ค่าใช้จ่ายอื่นอีกไม่น้อย พวกเราตอนนี้กำลังใช้เงิน ใต้เท้าโปรดไตร่ตรอง”
“ไม่ต้องกังวลไป ย่อมไม่เลี้ยงเสียเปล่า!”
หวังทงตอบด้วยรอยยิ้ม