Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 316

ตอนที่ 316 ทุกสิ่งล้วนมีประโยชน์ของมัน ต่อสู้ภายในย่อมควบคุมง่าย

หวังทงสั่งการลูกน้องไปเรียบร้อย แม้แต่นางหม่าก็สั่งให้ไปสั่งการสาวใช้ทำอาหาร ในจวนมีคนไม่น้อยต้องทำงานกันมาหลายชั่วยาม ยังต้องยุ่งกับงานอีกหลายชั่วยาม แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ได้แต่รอกินกันตอนนี้

จางซื่อเฉียงไปจัดการด้านนอกกลับเข้ามาถึง เห็นหวังทงหยิบผ้าเปียกขึ้นมาเช็ดดาบและขวาน จางซื่อเฉียงกำลังจะเรียกให้หวังทงไปพัก หวังทงกลับพูดขึ้นก่อนว่า

“เอาตัวพานหมิงมา”

*********

หัวหน้าหน่วยนาวาสุคนธ์ถูกขังในคุกหลายคน เว้นแต่พานหมิงคนเดียวที่ถูกขังเดี่ยวอย่างไม่มีผู้ใดทันสังเกต องครักษ์เสื้อแพรและมือปราบทางการนำคนมาสอบสวนนั้น ทุกคนได้รับคำสั่งมาก่อนหน้า ย่อมไม่มีผู้ใดแตะต้องพานหมิง แต่เสียงโหยหวนที่ดังแว่วมาก็ทำให้เขาฟังแล้วรู้สึกหนาวเหน็บหวาดกลัวเช่นกัน

กลางวันนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของหวังทง แต่ในใจของพานหมิงยังคงรู้สึกไม่มั่นคง อย่างไรเขาเองก็เคยเป็นลูกหลานขุนนางมาก่อน ย่อมพอจะเข้าใจเรื่องราวกลนัยพวกนี้อยู่บ้าง

นาวาสุคนธ์ก่อเรื่องใหญ่เพียงนี้ ในเมืองยังมีคนฉวยโอกาสปล้นเผาเมือง ในเมืองเทียนจินเหมือนจะจลาจลกันหนึ่งวันเต็ม วันนี้แม้จะผ่านไป แต่ในราชสำนัก หัวหน้าของหวังทงไม่รู้จะตำหนิลงมาอย่างไร ต้องผ่านด่านนี้ไปก่อนจึงจะนับว่าจบอย่างแท้จริง

ได้ยินมาว่าหวังทงฝีมือขั้นเทพ ทุกเรื่องเป็นดังคาดหรือบางทีอาจเพราะเตรียมตัวมาก่อน

หลังจากนั้นไม่นานมีทหารหลายนายมาที่ห้องขังของพานหมิง เปิดประตูนำตัวเขาออกไป มือและเท้าของพานหมิงล้วนมีโซ่ตรวน พวกทหารเหมือนว่ายกตัวเขาออกไป

เดินมาตามทางในคุก มีพวกหัวหน้าหน่วยนาวาที่อยู่ห้องด้านหน้ากล่าวอย่างอ่อนล้าว่า

“เหล่าพานเอ๊ย มีอะไรก็พูดไป นาวาสุคนธ์ก็มิใช่บิดามารดาเรา ให้เงินทองนิดหน่อย ทำเอามีภัยมาถึงชีวิตได้เช่นนี้…”

กล่าวเตือนสติอย่างอ่อนล้าเสร็จ ยังส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดเล็ดรอดมาด้วย พานหมิงไม่กล้ารับคำ ในใจรู้สึกดีใจไม่น้อย ยังดีที่ตนเองไวพอ ไม่เช่นนั้นหากต้องถูกลงทัณฑ์เช่นนี้ จะทนรับได้อย่างไร

ชายวัยกลางคนข้างหน้ามองแล้วน่าจะเป็นหัวหน้า ได้ยินทหารข้างๆ เรียกว่าใต้เท้าจาง ไม่รู้ว่าจางไหน

พอไปถึงหน้าห้องของหวังทง ใต้เท้าจางผู้นั้นก็กระซิบว่า

“โซ่ตรวนไม่อาจปลดออก อดทนไปก่อนสักสองสามวัน!!”

พานหมิงตอนนี้ไหนเลยจะกล้าบอกว่าทนไหวหรือไม่ไหว ได้ยินก็ได้แต่ก้มหน้า ดึกแล้ว มองเห็นสาวใช้ยกอาหารรีบร้อนเข้าไปในห้องโถง

พอเข้าไป ประตูปิดลง คนอื่นๆ ถูกไล่ให้ออกไปจากบริเวณนั้น หวังทงเช็ดดาบอย่างสะอาด กำลังเช็ดคมขวานอย่างตั้งใจ

โยนผ้าเปียกทิ้งลงพื้น ผ้าเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำคล้ำ พานหมิงที่คุกเข่าอยู่พอเห็นก็รู้สึกว่านัยน์ตาและหนังหัวกระตุกไม่หยุด กลางวันนายกองอายุน้อยผู้นี้พูดคุยยิ้มแย้มอยู่กลับลงมือสังหารตัดหัวผู้อื่น โลหิตกระเซ็นเปื้อนสี่ทิศ

อยู่ ๆ พานหมิงรู้สึกว่าความรู้สึกไม่มั่นคงนั้นหายไปสิ้น เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีอย่างที่สุด หากไม่มาบอกความลับ เช่นนี้เมื่อครู่ที่ถูกสอบสวนทรมานหนักก็คงเป็นเขา ไม่แน่โลหิตบนดาบและขวานของหวังทงอาจเป็นของเขา

*********

หวังทงไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในห้วงความคิดของพานหมิง เขาเพิ่งเช็ดดาบกับขวานเสร็จก่อนจะวางลงข้างกาย เอ่ยถามว่า

“เรื่องวันนี้โชคดีที่มีเจ้ามาแจ้ง!”

“ข้าน้อยอยู่ในรังโจรก็รู้สึกผิดสมควรตายแล้ว สามารถทำงานเพื่อใต้เท้าได้ ถือเป็นวาสนาข้าน้อยที่ได้สั่งสมมาแต่ชาติก่อน”

อยู่สำนักนาวาสุคนธ์มานานหลายปี ความสามารถในการประจบประแจงนับวันจะยิ่งพัฒนาขึ้น แค่เปิดปากก็พรั่งพรูออกมา หวังทงยิ้มกล่าวต่อว่า

“หากเจ้าไม่มาแจ้งข่าว ก่อนหน้านี้วันหนึ่งข้าก็จะนำกำลังกวาดล้างนอกเมืองแล้ว ข่าวของเจ้าทำให้ข้าไม่ต้องเปลืองแรง พวกที่ควรโผล่หัวออกมาก็โผล่หัวออกมาหมด จึงกวาดล้างถอนรากได้ สะดวกดี”

พานหมิงโขกศีรษะลงบนพื้น ไม่กล้าพูดต่อ หวังทงยกชาร้อนขึ้นจิบ ยิ้มกล่าวว่า

“พานหมิง เจ้าเป็นคนอำเภออู่เฉียงใช่ไหม เจ้าตัดนิ้วตนเองข่มขู่ร้านขายเนื้อ ไม่มีสายสัมพันธ์กับนาวาสุคนธ์แต่ได้เป็นถึงหัวหน้าหน่วย ในห้วงเวลาสำคัญกล้ามาแจ้งข่าว ฮ่าๆ หัวหน้าหน่วยนาวาเป็นร้อย มีเพียงเจ้าที่มาส่งข่าวถึงที่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ฝ่ายหนึ่งเป็นโจร ฝ่ายหนึ่งเป็นทางการ พวกเขาสมองพิการไปแล้วจึงได้ถึงกับเชื่อโจรไม่เชื่อทางการ?”

เสียงของหวังทงตวัดสูงขึ้นเล็กน้อย พานหมิงโขกศีรษะรีบกล่าวว่า

“ใต้เท้าไม่รู้ เมื่อก่อนนาวาสุคนธ์เคยลงมือโจมตีทางการในเมือง พอเกิดเรื่องใต้เท้าท่านั้นก็ถูกปลด…”

หวังทงโบกมือแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอ่ยต่อว่า

“ไม่พูดถึงเรื่องนี้ พานหมิงเจ้าเป็นคนตัดสินใจไว ดูเจ้าเดินเข้าออกตามซอกซอยในเมืองคล่องแคล่ว วาจาก็ไหลลื่น นับว่าเป็นผู้มีความสามารถ อยากมาทำงานกับข้าไหม!?”

เสียงไม่ดังนัก หากเมื่อได้ยิน พานหมิงก็ตกตะลึง ก่อนจะหน้าแดงก่ำโขกศีรษะเสียงดังสนั่นพร้อมกับส่งเสียงร้องไห้โฮดังลั่นกล่าวว่า

“ความเมตตาของนายท่าน ความเมตตากรุณาของนายท่าน ข้าน้อยเป็นวัวเป็นควาย ข้าน้อยต้องร่างกายแหลกสลายก็ไม่อาจตอบแทนได้ ท่านกล่าวคำเดียว ไม่ว่าบุกน้ำลุยไฟ….”

หวังทงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พานหมิงคนนี้สมองคิดได้เร็วและกระจ่างยิ่ง รู้ว่าควรรีบแก้ไขจาก ‘ใต้เท้า’ เป็น ‘นายท่าน’ ช่างเป็นผู้มีความสามารถควรค่าแก่การใช้งานจริงๆ

“วันนี้พวกนาวาสุคนธ์กับพวกที่ร่วมก่อการในเมืองราวเจ็ดพันคน หากรวมคนในครอบครัวด้วยก็ร่วมหมื่นคน คนพวกนี้แค่สมองมีปัญหาคิดไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง สามารถปล่อยตัวไปได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าวันใดจะมีคนมายุแยงอีก พวกนี้ก่อการหนักหนา ไม่ลงโทษก็ไม่ได้”

หวังทงพูดช้าลง ความคิดนี้เพิ่งคิดได้เมื่อครู่นี้ เขาจึงต้องค่อยๆ ใช้สติพูดออกมาอย่างช้าๆ

“นาวาสุคนธ์ยังคงไว้ แต่ชื่อต้องเปลี่ยน คนนับพันคน ไม่มีองค์กรควบคุมย่อมไม่ได้ ทั้งหัวหน้าทั้งลูกน้อง พานหมิงเจ้าเลือกเอง ส่งรายชื่อมาให้ข้าดูรอบหนึ่ง”

พานหมิงได้แต่โขกศีรษะไม่หยุด ไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมมีวาสนาใหญ่รออยู่เป็นแน่แล้ว หวังทงกล่าวต่อไปอย่างไม่สนใจสิ่งใดว่า

“ข้าต้องการใช้คนห้าปี การสร้างสองข้างทางแม่น้ำทะเลนั้นต้องจัดการ ริมทะเลก็ต้องสร้าง ในเมืองน้องเมืองยังมีงานก่อสร้างอีกไม่น้อย ต้องการคนงาน งานใช้แรงงานเช่นการขนถ่ายสินค้าท่าเรือก็ต้องการพวกเขา จะจัดการอย่างไรเป็นเรื่องของเจ้า ข้าออกแค่เงินค่าอาหารให้เจ้า ผลประโยชน์จากแรงงานขนย้ายสินค้าท่าเรือมอบให้เจ้า จะใช้เวลาห้าปีนี้อย่างไร เจ้าไปคิดเองละกัน!”

“ความเมตตายิ่งใหญ่ของนายท่านเช่นนี้ ความผิดที่ข้าก่อไว้ใหญ่หลวงกลับลงโทษเบาเพียงนี้ ข้าไม่อาจทดแทนได้หมด จะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้นายท่านอย่างถึงที่สุด”

ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานอย่างถึงที่สุดย่อมเป็นเรื่องไม่จริง เรื่องนี้เท่ากับว่าให้พวกนาวาสุคนธ์เป็นทาสห้าปี พวกนาวาสุคนธ์เป็นพวกที่สบายเคยตัว ย่อมเกิดการปะทะเป็นแน่

แต่ทว่าในสมองพานหมิงกลับวิ่งไปมาหลายตลบ กล่าววาจาสรรเสริญจบ ก็โขกศีรษะกล่าวว่า

“นายท่านสั่งมา ข้าน้อยย่อมปฏิบัติด้วยความจงรักภักดี แต่เพื่อจัดการงานให้ดีให้เหมาะสม ข้าน้อยมีเรื่องขอใต้เท้าสักสองสามข้อ”

ปากก็รับปากเต็มที่ ค่อยๆ ได้คืบเอาศอก นี่เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในแวดวงการทำงาน ยิ่งเป็นเช่นนี้ หวังทงก็ยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้นับว่าไว้ใจให้ทำงานได้ ค่อนข้างมีหลักการ จึงยิ้มอนุญาต พานหมิงจึงได้กล่าวว่า

“หนึ่ง เงินที่ได้มาขอให้ใช้เพื่อชาวนาวาสุคนธ์เท่านั้น พวกผู้ชายยังพอว่า แต่คนในครอบครัวต้องการเงินก้อนนี้เลี้ยงชีพ มีเงินก้อนนี้พวกเขาจึงจะวางใจ เรื่องที่สอง จะคัดเลือกชาวนาวาสุคนธ์ 500 คนมารับเงินเดือนได้หรือไม่ ให้ใต้เท้าควบคุม ข้าน้อยจะใช้การก็จะได้ใช้ได้ อย่างไรก็ตั้งหลายพันคน ยามคับขัน ข้าน้อยจะได้หาคนไปคลี่คลายได้ทัน”

ยามนี้พวกก่อความไม่สงบคิดจะตั้งกลุ่มติดอาวุธ ย่อมเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ดังนั้นพานหมิงจึงกล่าวว่าให้หวังทงเป็นผู้ควบคุม

หวังทงพยักหน้า ที่พานหมิงคิดกับที่เขาคิดนั้นไม่ต่างกันนัก พวกนาวาสุคนธ์หลายพันคน ก็เป็นกำลังที่ดียิ่ง หากเลือกจากในนั้นเอามาควบคุมบรรดาคนที่เหลือ ให้พวกเขาจัดการเจรจากันเอง ย่อมได้ผลดีที่สุด

ทันใดนั้นหวังทงก็คิดถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมาได้ว่า ‘ใช้มวลชนสู้มวลชน’ ในโลกก่อนนั้นเป็นคำพูดที่ไม่คุ้นเคย แต่เอามาใช้ยามนี้เหมาะสมนัก

คิดถึงตรงนี้ หวังทงก็อดหัวเราะดังลั่นขึ้นมาไม่ได้ พานหมิงที่คุกเข่าอยู่ก็มิใช่สุนัขรับใช้หรือ ตนเองคืออะไร เจ้าของที่หรือว่าผู้ทรงอิทธิพล น่าขันเสียจริง

คิดกลับมาแล้วก็ไม่มีอะไรให้หัวเราะ เหมือนความจริงจะเป็นเช่นนี้

“ตั้งใจทำให้ดี พรุ่งนี้เจ้าพาพวกนาวาสุคนธ์ออกนอกเมืองไปได้ เจ้าไปจัดการละกัน ทำได้ธรรมชาติเท่าไรก็เป็นประโยชน์กับเจ้าเอง ให้พลทหารในกองพันไปก่อนละกัน!”

ตำแหน่งต่ำสุดในองครักษ์เสื้อแพรก็คือพลทหาร แต่ก็นับเป็นสถานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางการ เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติเอาไว้อวดเบ่งข้างนอกได้

พานหมิงตะลึงงัน ลืมแม้กระทั่งโขกศีรษะขอบคุณ ตั้งแต่จากบ้านมา มาแฝงตัวหากินกับพวกนาวาสุคนธ์ เสี่ยงภัยครั้งเดียว ก็มีตำแหน่งขุนนางนี้ได้ คิดถึงความทุกข์ทนที่เผชิญมาแต่เล็กจนโตแล้วก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาหลั่งริน

หวังทงหยิบชาและแผ่นแป้งขึ้นมา คุยกันอยู่นาน อาหารที่อุ่นร้อนมาก็เย็นอีกแล้ว อดไม่ได้ยิ้มเฝื่อน ในที่สุดพานหมิงก็ได้สติคืนมา น้ำตานองหน้าโขกศีรษะไม่หยุดราวกับทุบกระเทียม

*********

ระยะสิบลี้บนคลองส่งน้ำในเมืองเทียนจิน มีเรือสองสามลำจอดเทียบท่าอยู่ บนฝั่งมีม้าหลายสิบตัวอยู่ที่นั่น รอบทิศมีคนไม่น้อย ล้วนแอบซุ่มอารักขาอยู่

เรือเข้าออกหลายลำจะว่าแปลกก็ไม่แปลกอันใด แปดเก้าส่วนน่าเป็นคหบดีใหญ่ ไม่เพียงแต่นั่งเรือมา พอเทียบท่ายังมีคนคอยอารักขา

เรือจอดกันค่อนข้างแปลก เหมือนว่าหลายลำล้อมลำหนึ่งอยู่ เรือลำตรงกลางถูกบังด้วยม่านดำ ด้านนอกดูปกติ แต่เห็นชัดว่าเป็นการจัดการไว้สำหรับคหบดีใหญ่ ยิ่งใหญ่มาก

ยามนี้ดึกมากแล้ว แสงไฟบนเรือยังคงสว่างไสวราวกับกลางวัน เครื่องเรือนไม้หอม กาน้ำชาเครื่องเคลือบชั้นดี เครื่องประดับหยกงดงาม ล้วนอลังการงดงามไม่น้อย

เถ้าแก่ร้านทงไห่ไฉฝูหลินนั่งอยู่ตรงกลางสีหน้าดำคล้ำ ไม่กล่าวอันใดสักคำ คนงานข้างๆผู้หนึ่งกล่าวรายงานน้ำเสียงจริงจังว่า

“ท่านสาม ท่านสองทางนั้นบอกให้ท่านรีบกลับไป อย่าได้ยุ่งเรื่องทางนี้อีก จะได้ไม่ต้องเกี่ยวพันไปด้วย ข้างนอกได้ข่าวมาจากในเมืองว่า พวกที่ก่อการถูกปราบราบคาบ คนนาวาสุคนธ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองก็ถูกกวาดล้างสิ้น ทางนี้จบแล้ว ไปเถิด!”

ไฉฝูหลินถอนหายใจยาว กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า

“ยังมีเรื่องต้องบอกกล่าวกับสหายบนท้องทะเลก่อนจึงจะไปได้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version