ตอนที่ 317 ปิดงาน มาถึงที่
หลังจากผู้คนในเมืองเทียนจินต้องประสบกับความหวาดกลัวกันทั้งวันทั้งคืน เช้านี้ตื่นมาก็ต้องตกใจใหญ่กันอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท้องฟ้าจะพังลงมา ในบ้านยังมีอาหาร อาหารเช้ายังคงต้องกิน แต่พอถึงเวลากำลังจะลงมือก็มีคนมาตบเรียกประตูดัง
“เปิดประตู องครักษ์เสื้อแพรขอซื้ออาหาร!!”
เมื่อวานมีเรื่องกันตั้งแต่เช้า ทุกคนแนบตัวมองลอดผ่านช่องประตู เป็นพวกนาวาสุคนธ์ก่อเรื่องก่อน จากนั้นพวกอันธพาลในพื้นที่ก็ออกมาปล้นชิง สุดท้ายกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรก็เข้าเมืองมา
บางคนเห็นองครักษ์เสื้อแพรสังหารพวกอันธพาลในเมืองด้วยการตัดหัวทันที แต่ก็มีบางคนไม่เห็น ส่วนภาพเหตุการณ์ทหารล้อมพวกนาวาสุคนธ์ย่อมไม่มีผู้ใดได้เห็น
ทว่าตั้งแต่บ่ายมาก็เงียบสงบ ตามมาด้วยองครักษ์เสื้อแพรถืออาวุธลาดตระเวนในเมือง ผู้ใดชนะผู้ใดแพ้ทุกคนย่อมรู้ดีแก่ใจ
ความวุ่นวายในเมือง โจรมารอบหนึ่ง ทหารมารอบหนึ่ง เช้านี้มีคนมาตบเรียกประตูอีก หรือว่าจะบุกเข้ามาลงมือ
พวกเขาเองก็กลัวจนสมองเลอะเลือน หากจะบุกเข้ามาปล้นชิงจริง ก็น่ะจะพังประตูเข้ามา จะมามัวเคาะประตูเรียกทำไมกัน
กลัวส่วนกลัว ไม่เปิดประตูนั้นไม่กล้า จึงเปิดประตูอย่างกลัวๆ กล้าๆ ปรากฏว่ามาซื้ออาหารจริง เงินที่ให้ก็ยังมากกว่าราคาในเมืองถึงสองเท่า และยังจ่ายเงินสดอีกด้วย
ไล่ตามซื้อไปทีละบ้าน อาหารเช้าของพวกชาวบ้านในเมืองถูกซื้อไปเกือบหมด องครักษ์เสื้อแพรแม้พูดจาไร้รอยยิ้ม แต่ถือเงินสดรอซื้ออยู่หน้าประตู ไม่เข้าไปในบ้านเด็ดขาด
พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้จิตใจผู้คนในเมืองสงบลงอย่างรวดเร็ว สามารถมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้ แสดงว่าองครักษ์เสื้อแพรคุมสถานการณ์ได้แล้ว ในเมืองสงบแล้ว
อาหารที่ไล่ตามซื้อจากบ้านเรือนนับพันมื้อนี้เป็นอาหารเช้าของพลทหารองครักษ์เสื้อแพร ส่วนพวกนาวาสุคนธ์นั้นให้กินแต่น้ำเปล่า ปล่อยให้หิวจะได้ไม่มีแรง ควบคุมง่าย
ในที่สุดประตูที่ถูกปิดตลอดทั้งวันก็เปิดออก ร่างกายท่อนบนถูกมัดโยงกัน พวกนาวาสุคนธ์ถูกขับออกนอกเมืองไปทั้งกระบุง
พ่อค้าทั้งสองฝั่งคลองเป็นกังวลมาหนึ่งวัน เถ้าแก่แต่ละร้านค้าล้วนเก็บข้าวของพร้อม บางคนถึงกับกลับบ้านเกิด หรือไม่ก็นั่งเรือออกไป ทิ้งคนงานในร้านไว้รอดูสถานการณ์
เรือหลายลำรอนแรมมาที่เมืองเทียนจินก็เพื่อนำสินค้ามาและจะนำสินค้ากลับไป แต่ท่าเรือไม่มีร้านค้า ทุกคนต่างพากันหลบภัย สินค้าพวกเขาก็ขนถ่ายลงไม่ได้ขนถ่ายขึ้นก็ไม่ได้ แต่ไม่อาจกลับไปเช่นนี้ เพราะจะทำให้ขาดทุนย่อยยับ เรือยิ่งมากก็ยิ่งไม่อาจล่องเรือผ่านไปมาได้ ยิ่งติดขัดขึ้นเรื่อยๆ
ความวุ่นวายทั้งหมดนี้เริ่มจางหายไปเมื่อองครักษ์เสื้อแพรคุมตัวพวกนาวาสุคนธ์ออกจากเมืองไป พวกที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ต่างรีบไปรายงานเถ้าแก่ตน คนขององครักษ์เสื้อแพรก็เริ่มเก็บภาษีที่คลองส่งน้ำได้
เมื่อวานนี้พวกนาวาสุคนธ์เข้าเมืองมาด้วยท่าทีฮึกเหิม บัดนี้กลับคอตกหมดหวัง ถูกคนลากจูงออกนอกเมืองเหมือนวัวเหมือนม้า คนมากกว่า 6,000 คนค่อยๆ เดินไปตามท้องถนน ต้องใช้เวลาเดินเป็นเวลานาน
ทุกคนที่อยู่นอกเมืองและในเมืองต่างรู้จุดจบของคนเหล่านี้ ส่วนความหวาดกลัวที่มีต่อสำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินโดยเฉพาะต่อนายกองพันหวังก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีคนในครอบครัวพวกนาวาสุคนธ์อีกจำนวนหนึ่งร้องไห้ไล่ตามมา แต่องครักษ์เสื้อแพรก็ตีไล่กลับไป ผู้ชายในบ้านตนทั้งสามีและลูกชายต่างถูกคุมตัวไป คนในบ้านจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร ได้แต่ร้องไห้ไปวิ่งตามไป แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ พวกองครักษ์เสื้อแพรก็ขี้เกียจจะสนใจ
ลำบากกันมาตั้งแต่เช้า เวลาอาหารกลางวัน ก็มีรถใหญ่ขนแป้งเปี๊ยะออกมาจากในเมือง ยังมีน้ำซุปร้อนๆ อีกถังใหญ่
เชลยถูกนำตัวไปยังพื้นที่โล่งบนฝั่งของแม่น้ำทะเล ถูกจัดให้เป็นแถวที่กระจัดกระจาย ล้อมรอบด้วยพลหทาร
พวกนาวาสุคนธ์ทนหิวมาตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่เช้าตื่นมาได้กินแค่น้ำ ตอนนี้ก็ย่อมหิวโหยหนักหนา พอแจกแป้งเปี๊ยะให้ไป หลายคนร่วมดื่มซุปชามเดียวกัน ทุกคนต่างกลืนลงท้องกันอย่างไม่ทันหายใจ
แต่กินไปไม่กี่คำ เริ่มมีอะไรรองท้อง ก็เริ่มมองไปยังทหารรอบๆ อยู่ๆ ก็มีคนคิดได้ว่า หรือว่าจะให้ทุกคนกินให้อิ่มก่อนออกเดินทางสู่ปรภพ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ กินไปก็รู้สึกหวาดระแวงไป
เบื้องหน้าเหล่าเชลย ไม่รู้ว่าไปหาโต๊ะไม้มาจากที่ไหนมาต่อเรียงกัน มีคนท่าทางเหมือนหัวหน้ากองขึ้นไปยืนบนนั้น ใช้มือป้องเป็นรูปแตรที่ปากตะโกนดังว่า
“พวกเจ้ารวมตัวกันก่อความไม่สงบ นี่เป็นความผิดร้ายแรง โทษถึงตาย ตัดหัวทันที”
คนมากกว่า 6,000 คนมารวมตัวกันและยังเป็นสถานที่กว้างใหญ่ คนบนโต๊ะตะโกนดัง คนอื่นก็อาจจะไม่ได้ยิน แต่ทหารรอบ ๆ รับคำสั่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ข้างบนตะโกนดัง ข้างล่างก็ล้วนตะโกนรับพร้อมเพรียงกัน
“รวมตัวก่อความไม่สงบ ความผิดร้ายแรง โทษตายตัดหัวทันที!!”
คนหลายพันร้องตะโกนพร้อมกัน ย่อมได้ยินกันอย่างชัดเจน เสียงทหารยังไม่ทันจบ หอกยาวในมือก็เตรียมพร้อม ดาบก็ชักออกจากฝักพร้อม
คมดาบวาววับส่องประกายรายล้อม ยังบอกว่ามีโทษถึงตาย ไอสังหารแผ่กระจายออกมา ทุกคนต่างสติแตก ภาพเบื้องหน้าเช่นนี้ คิดจะหนีก็คงไม่พ้น เดาว่าอีกสักครู่พวกทหารก็จะบุกเข้ามาสังหาร มิน่าจึงได้นำตัวมาที่รกร้างริมแม่น้ำทะเลเช่นนี้ มิน่าจึงได้ให้กินข้าวก่อน
คนด้านในส่งเสียงร้องไห้ ภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขาที่ตามมาด้วยเกือบสองพัน ห่างกันไม่ไกล พวกเขาย่อมได้ยินชัดเจน ก็พากันร้องไห้ระงมไปหมด มีคนร้องไปก้าวขึ้นหน้าไป พวกทหารกลับไม่ใช้อาวุธคม ใช้เพียงกระบองและแส้ฟาดใส่หน้าไล่ต้อนกลับไป
“ทุกหน่วยพร้อม!!”
เมื่อนายกองตะโกนดัง ธงก็เริ่มโบกสะบัด พลทหารก้าวรุกหนึ่งก้าว คนข้างในก็ยิ่งร้องไห้ดัง ความตายเบื้องหน้า ในเวลานี้เองก็มีม้าเร็ววิ่งมา มีคนผู้หนึ่งตะโกนดังมาว่า
“ใต้เท้าหวังมีคำสั่ง หยุดมือ!!!! ~~~”
หันมามองด้านหน้า คนที่ตะโกนโดดลงจากหลังม้า เพราะรีบร้อนเกินไปจึงล้มคว่ำลง แต่ไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะ คนที่อยู่ด้านหน้าจำได้ว่าคนผู้นี้คือผู้ใด ไม่ใช่หัวหน้าหน่วยพานหมิงหรือนั่น!
พานหมิงวิ่งล้มลุกคลุกคลานมาถึงหน้าเวทีไม้ ตะโกนกับพวกด้านล่างเวทีว่า
“พี่น้องทุกท่าน พวกเราเมื่อวานก่อความผิดใหญ่หลวง เดิมมีโทษประหารตัดหัว แต่ใต้เท้าหวังเมตตา…”
************
ตามแผนการที่วางไว้ หน่วยที่ต้องร่วมวงด้วยก็คืออวี๋ต้าโหยวต้องสั่งการเก็บกวาดนอกเมืองให้สะอาดรอบหนึ่ง กวาดล้างครอบครัวชาวนาวาสุคนธ์กับพวกที่เหลืออยู่ออกมาให้หมด
ทำงานก่อสร้างห้าปี ครอบครัวพวกนี้รับหน้าที่หุงหาอาหารรับเงินไว้ใช้จ่าย มีเพียงคนชราที่จะได้รับการดูแลเลี้ยงดูจากร้านค้าสองแห่งของหวังทง ชาวนาวากว่า 6,000 และครอบครัวของพวกเขาร่วมหมื่นคนจะต้องรับเงื่อนไขของหวังทง
ด้วยการร่วมแรงของคนกลุ่มนี้ ทำให้การก่อสร้างสองฝั่งของแม่น้ำทะเลดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เริ่มเห็นรูปร่างถนนหนทางและร้านค้า สองฝั่งแม่น้ำทะเลเริ่มเหมือนพื้นที่ทองคำแล้ว ทุกคนกางบัญชีเตรียมพร้อม เรือแต่ละลำส่งข่าวแพร่กระจายไปทั้งเหนือใต้
ข่าวแพร่กระจายไป ไม่มีผู้ใดปล่อยโอกาสแห่งความร่ำรวยนี้ให้หลุดลอย ผู้คนพากันรีบมาที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่ามีแรงงานและกองกำลังกลุ่มใหญ่ในมือ งานก่อสร้างของหวังทงหลังจากนี้จึงดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก กำลังคนเพียงพอ เงินทองตามมาเสริม ไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรค ย่อมสะดวกไปทุกเรื่อง
***********
ประตูเมืองเปิดแต่เช้า ประตูเมืองด้านหนึ่งเป็นทางออกของพวกเชลยนาวาสุคนธ์ ที่เหลืออีกสามประตูย่อมปล่อยเข้าออกอิสระ
ประตูเมืองทุกแห่งมีองครักษ์เสื้อแพร 100 นาย เฝ้าอยู่ และยังมีหัวหน้าหน่วยนาวาสองคนอยู่ที่นั่น ถ้าไม่อยากตาย ก็ต้องฟังคำสั่งแต่โดยดี ยังไม่มีผู้ใดปฏิเสธ
เมื่อวานนี้ไม่ได้ถูกกวาดล้าง วันนี้คิดจะหาโอกาสหนีออกนอกเมือง ก็ยังถูกกวาดต้อนออกมาอีกไม่น้อย พวกก่อความไม่สงบก็ย่อมถูกตามจับ
ทหารองครักษ์เสื้อแพรที่รักษาประตูเมืองควบม้าไปยังหอกลองเป็นระยะเพื่อรายงานสภาพของแต่ละประตูให้หวังทงรับทราบ กองคุมกำลังพลส่งพลนำจดหมายไปยังศาลเหอเจียน กองตรวจการกับกองเสบียงก็ไปเมืองหลวง กองขนส่งของกรมอากรนอกเมืองก็ส่งม้าเร็วมุ่งตรงไปยังเมืองหลวง ทุกคนต่างรีบไปรายงาน
บังเอิญตอนที่ผู้ส่งสารออกนอกเมืองไป ทางนี้ก็มีขุนนางหลายท่านมาเยี่ยมเยือนถึงที่
ผ่านเรื่องต่างๆ มามากมาย ฟานต๋าและว่านเต้าไม่เคยมาเยือนถึงที่ หวังทงเหิมเกริมยิ่ง ส่วนตนก็มีคนหนุนหลัง จะต้องไปยอมอ่อนข้อให้ทำไมกัน
หากวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หวังทงกำลังนั่งมองหยางซือเฉินร่างฎีกา เขาเองก็มีจดหมายต้องส่งไปเมืองหลวง นั่นก็คือสารลับที่ตนเองเขียนเอง เมื่อคืนออกเดินทางไปแล้ว
“นายท่าน ใต้เท้าฟานต๋าและขันทีว่านเต้าขอพบ”
มีคนมารายงาน ยังไม่ทันรอให้หวังทงเชิญ ฟานต๋าก็โมโหฮึดฮัดบุกเข้ามา วันนี้เขาใส่ชุดขุนนางเต็มยศ เป็นการแต่งกายที่เป็นทางการที่สุด
ไม่รอให้คนรับใช้ไปเชิญก็บุกเข้ามาเอง เป็นการกระทำที่เสียมารยาทที่สุด ฟานต๋าเป็นคนระวังเรื่องมารยาทที่สุด แต่วันนี้กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“นายกองพันหวัง กลางวันแสกๆ ปิดประตูเมือง ข้ามีหน้าที่ขนถ่ายเสบียงหลวง มีเรื่องต้องออกนอกเมือง เหตุใดคนนำหนังสือมาส่งจึงถูกเจ้าหักแขกทิ้ง เจ้าเป็นขุนนางราชสำนัก หากปฏิบัติการราวกับโจรร้าย ไม่สนธรรมเนียมราชสำนัก ข้าจะต้องยื่นฎีกาฟ้องร้องเจ้า!!”
“ใต้เท้าหวัง เฝิงกงกงและจางกงกงล้วนมีเหตุผล ใต้เท้านำทหารนับพันก่อความวุ่นวายในเมือง ทั้งลงมือทั้งเข่นฆ่า เกิดจลาจลไปทั่วทั้งในเมืองนอกเมือง เส้นทางน้ำติดขัดยาวห้าลี้ เสียเวลาขนเสบียงเข้าเมืองหลวง ความผิดมหันต์เช่นนี้ ข้าก็จะฟ้องร้อง ดูซิว่าในวังจะอยู่ฝ่ายไหน!”
เสียงของฟานต๋าดุเดือด เสียงว่านเต้าก็เต็มไปด้วยการข่มขู่ หวังทงเดิมลุกขึ้นมาต้อนรับ พอได้ยินเช่นนี้ก็หันกลับไปนั่งลงตามเดิม ฟานต๋าโกรธจนหนวดกระดิกไม่หยุด ตวาดดังว่า
“ไร้ยางอาย ไร้มารยาท ข้าระดับสี่ เจ้าก็แค่ขุนนางบู๊ระดับห้า เห็นข้าไม่คำนับ กลับวางท่าโอ้อวด เจ้าช่างเหิมเกริมยิ่งนัก ช่างไร้ธรรมเนียม ไม่รู้หรือว่าวงการขุนนางเราไม่อาจยอมรับพวกไร้ธรรมเนียม…”
พอได้ยินดังนี้ หวังทงก็นั่งไม่ขยับพลางส่งยิ้มตอบกลับไปว่า
“พวกเจ้าจะฟ้องร้องข้า พอดีเลย ข้าก็จะฟ้องร้องพวกเจ้า พวกก่อจลาจลเข้าเมืองมา เอะอะโวยวาย ทำประชาหวาดกลัว พวกเจ้าเป็นขุนนางราชสำนัก ปฏิบัติหน้าที่เพื่อราชสำนัก กลับทำไม่รับรู้ไม่ไถ่ถาม นั่งมองเฉยเมย ยังคิดว่าตนเองเป็นขุนนางราชสำนักหมิงอยู่อีกหรือไม่ หรือว่าใต้เท้าทั้งสองมีสายสัมพันธ์ไม่เลวกับพวกนาวาสุคนธ์ ทำใจลงมือไม่ได้งั้นหรือ?”