ตอนที่ 320 ท้องฟ้าคำรามพลันกระจ่างใส
“ข้าเป็นนายกองตรวจการประจำเทียนจิน ปฏิบัติงานส่งของดูแลกองทัพ เป็นขุนนางดูแลท้องที่ พวกเจ้าถือสิทธิ์ใดไม่ให้ข้าออกไป พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไร!”
นายกองฟานต๋าตวาดเสียงดังราวกับอสุนีบาตอยู่หน้าประตูจวน ชี้ไปยังทหารที่ขวางทางพร้อมด่าทอเสียงดังลั่น แต่ทหารที่ถือดาบอยู่ในมือกลับไม่ยอมขยับ ยืนขวางนิ่งอยู่กับที่
เห็นอาวุธของอีกฝ่ายแล้ว ฟานต๋ากับลูกน้องก็ไม่กล้าพอที่จะฝ่าออกไป ฟานต๋าถูกขังอยู่ในจวนตัวเองได้ห้าวันแล้ว
อย่างไรที่ทำการกับจวนก็อยู่ในบริเวณเดียวกัน ในเมืองนอกเมืองมีเจ้าหน้าที่มาติดต่อ ถามเสร็จค่อยปล่อยเข้าไป
กองตรวจการตั้งอยู่ที่นี่ก็เพื่อเป็นศูนย์อำนาจ งานที่กองทัพต้องการให้จัดการ ทุกอย่างก็จัดการขนส่งไปอย่างราบรื่น ก็แค่มาขอเดินเรื่องเป็นทางการที่นี่ บอกกล่าวสักหน่อย ไม่ได้เสียการเสียงาน ตัวฟานต๋ายังคงถูกขังอยู่ในนั้น
เดิมฟานต๋ายังคิดจะนิ่งรอข่าวหวังทงถูกปลด อยู่ในบ้านพักผ่อนมาสองสามวัน แต่คิดดูแล้วข่าวน่าจะไปถึงเมืองหลวงแล้ว เบื้องบนน่าจะมีคำสั่งมาได้แล้ว
คำสั่งตอบกลับก็น่าจะมาถึงเทียนจินแล้ว ใต้เท้าฟานย่อมนั่งไม่ติดอยู่บ้าง หรือว่าข่าวที่ส่งไปถูกเก็บไว้ หรือว่ามีพระประสงค์ให้ปิดเงียบ
ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ ฟานต๋าย่อมออกมาเอะอะอย่างไม่เกรงสิ่งใด เดิมคิดว่าตนอย่างไรก็ขุนนางระดับสี่ พวกด้านนอกแม้แต่ตำแหน่งต่ำๆ ยังไม่มี ย่อมไม่กล้าขวางตน
คิดไม่ถึงว่าพอออกมาก็ถูกขวางไว้ เขาอ้างตำแหน่งขุนนางมาด่าทอเสียงดัง พลทหารต่างก็ไร้การตอบรับ เอาแต่ถืออาวุธยืนเรียงแถวหน้ากระดานมากขึ้นเรื่อยๆ
10 20 30 เกือบ 100 นายถืออาวุธคมกริบเรียงหน้ากระดานมองมาด้วยสายตาเย็นชา นายกองฟานต๋าก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเอง ตะโกนสักพักก็ค่อยๆ เสียงอ่อยลง
รู้สึกยิ่งเก้กังมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังคิดหาทางลงถอยกลับเข้าจวน ก็หันไปเห็นม้าเร็ววิ่งมา เป็นพลทหาร มาถึงก็กระซิบกับหัวหน้า
หัวหน้าพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าฟานโปรดรอก่อน มีอะไรให้ใต้เท้าชม”
กล่าวจบก็โบกมือ มีพลทหารสิบกว่านายมายืนกลางประตูจวน กั้นไม่ให้ถอยกลับเข้าจวน ฟานต๋าตอนนี้เริ่มลนลานแล้ว มองหน้ามองหลัง ตะโกนดังว่า
“พวกเจ้าคิดทำอะไร ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก พวกเจ้าแม้เป็นองครักษ์เสื้อแพรก็ต้องมีราชโองการจึงจะสามารถ…”
หัวหน้ากองทนไม่ไหวโบกมือขึ้น หันหน้ากลับไป พลทหารองครักษ์เสื้อแพรก็เหมือนล้อมฟานต๋าเอาไว้ตรงกลาง แต่ไม่ทำอะไร ปล่อยให้ฟานต๋าด่าทอตามอำเภอใจ
ไม่นานก็มีคนกองหนึ่งมาจากทางด้านสำนักองครักษ์เสื้อแพร รถใหญ่มาสองสามคัน บนรถมีกรงไม้ใหญ่ ในกรงไม้มีคนอยู่ด้านใน
พอมาถึงหน้าประตู หยุดรถ เปิดกรงไม้ออก ดันคนร้ายด้านในออกมา คนร้ายพวกนี้ใส่กุญแจมือเอาไว้ ถูกนำตัวมายังหน้าประตูหมดทุกคน พอเอามาวางหน้าประตูห้าคน ทหารที่กั้นอยู่ด้านหน้าฟานต๋าก็ถอยห่างออกไป
ยามนี้ฟานต๋ารู้สึกงงอย่างมาก แต่ก็ไม่รีบหันหลังหนี ยืนตาค้างมองอยู่ตรงนั้น
“พวกก่อจลาจลล้อมที่ทำการเรา เจ้าพวกนี้คิดจะลอบสังหารใต้เท้าเราอีกด้วย หลังการสอบสวน ยอมรับสารภาพว่าเป็นโจร ได้รับเงินจากนาวาสุคนธ์มาก่อการที่นี่ พยานหลักฐานพร้อมแล้ว ลงชื่อรับสารภาพแล้ว หลักฐานพร้อมมูล ตัดหัวประจาน!!”
ผู้ติดตามมาด้วยผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังจบลง องครักษ์เสื้อแพรที่ยืนอยู่ด้านหลังนักโทษห้าคนก็ยกดาบขึ้นฟันฉับทันที โลหิตสดสาดกระจายออกจากปากแผล
ที่สังหารนั้นห่างจากฟานต๋าไม่มากนัก โลหิตที่พุ่งออกมากระเด็นโดนตัวเขา ยามนี้สีหน้าฟานต๋าได้แต่ซีดแล้วซีดอีก ถอยหลังกรูดไปหลายก้าว ยืนตะลึงอ้าปากค้าง เขาเป็นขุนนางบุ๋นร่ำเรียนตำรามาทั้งชีวิต ไหนเลยจะเคยพบพานเห็นสถานการณ์เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ ยามนี้รู้สึกว่าสองตาเริ่มพร่ามัว หัวใจเต้นราวกับจะหลุดออกมา
ตัดหัวเสร็จ พลทหารก็คว้าหัวและตัวโยนใส่กรงไม้จากไปอย่างไม่ยี่หระ พวกพลทหารที่เฝ้าจวนฟานต๋าย่อมไม่รู้สึกอันใด พวกเขาไม่รั้งตัวฟานต๋าไว้ต่อ ทุกอย่างเหมือนเดิม
ฟานต๋าเดินล้มลุกคลุกคลานกลับเข้าจวน คนงานข้างกายเข้าก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่าเขาเท่าไร สีหน้าแต่ละคนล้วนลนลานหวาดกลัว
ผ่านเรื่องนี้ไป ในจวนฟานต๋าทุกคนก็ไม่คิดจะออกไปอีก เรียบร้อยผิดปกติ
วันนี้ในเมืองมีการตัดสินโทษผู้กระทำผิดสองแห่ง แห่งแรกพื้นที่หน้ากองตรวจการ ยังมีอีกแห่งก็คือพื้นที่หน้ากองเสบียงของว่านเต้า
ไม่ว่าว่านเต้าหรือฟานต๋า ต่างรู้ว่าหวังทงเชือดไก่ให้ลิงดู แต่รู้แล้วอย่างไร เห็นคนตายตรงหน้า ก็ล้วนเย็นวาบที่คอ ต่างพากันสงบเสงี่ยมลงมาก
**********
วันที่ 1 เดือนสิบในเมืองหลวงก็เริ่มสวมเสื้อบุฝ้ายกันหนาวกันแล้ว แต่วงการราชสำนักกลับร้อนระอุ ขุนนางระดับล่าง อีกทั้งพวกมีตำแหน่งไม่มีตำแหน่งต่างก็รวมตัวกัน
ฎีการหลั่งไหลมายังกองฎีการาวกับเกล็ดหิมะว่อน เรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ก็ร้อนแรงยิ่งขึ้น ทุกเรื่องกล่าวว่าหวังทงเป็นโจรแผ่นดิน ก่อให้เกิดการจลาจลใหญ่ที่เทียนจิน วันหน้าจะจัดการอย่างไร? หากฝ่าบาทยังคงไว้ใจคนชั่ว วันหน้าแผ่นดินจะทำเช่นไร?
ปฐมฮ่องเต้เนรเทศพวกเก็บภาษีมีผลงาน อดีตฮ่องเต้ก็ละเว้นภาษีการค้า ล้วนเป็นกฎธรรมเนียมที่ไม่แย่งประโยชน์ชาวประชา แต่หวังทงกลับเก็บภาษีสองส่วนบนคลองส่งน้ำ นี่มันอะไรกัน?
พวกมีตำแหน่งขุนนางไปเมืองหลวง ส่วนใหญ่ก็เอาของฝากจากบ้านเกิดไปเป็นของกำนัลหรือเอาไปขายเมืองหลวง
พวกมีตำแหน่งขุนนางที่มาจากทางใต้ คนที่บ้านไม่มากก็น้อยก็ย่อมมีการค้าที่คลองส่งน้ำ ล้วนมีสายสัมพันธ์กันอยู่ หวังทงเก็บภาษีเช่นนี้เท่ากับกลืนเนื้อชิ้นโตลงท้อง
เรื่องน่าบัดซบเช่นนี้ ทุกคนจะทนต่อไปได้อย่างไร ชาวบ้านผดุงคุณธรรมที่เทียนจินเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนตามกันเถอะ!!
ปลายเดือนเก้าถึงวันที่ 1 เดือนสิบในปีที่ 6 รัชสมัยว่านลี่ วงการขุนนางเมืองหลวงต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องสังหารหวังทง
***********
วันที่ 2 เดือนสิบ เมืองเทียนจินนำคนร้ายส่งตัวเข้าเมืองหลวงพร้อมคำให้การรับสารภาพ ส่งตัวให้กรมอาญาตามกฎระเบียบ เพราะไม่ใช่หน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร
ที่ทำการกรมอาญาก็เหมือนกระจาดที่ปล่อยลมรอดผ่าน คนร้ายเข้าคุก ข่าวทุกข่าวก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
เมืองเทียนจินเกิดจลาจลนั้นเกี่ยวข้องกับลัทธิมาร ว่ากันว่าเป็นลัทธิไตรสุริยัน ว่ากันว่าปีที่ 5 ในรัชสมัยว่านลี่ กองกำลังอาชาหลวงได้เคยนำกำลังทะลายรังโจรลัทธิไตรสุริยันที่อำเภอหวงราบคาบมาแล้ว
เมืองหลวงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดก็พลันสงบลง สมัยก่อนเริ่มจากลัทธิเจ้าแม่ถังไซ่เอ๋อร์ ต่อด้วยลัทธิบัวขาว ลัทธิพระศรีอารย์ที่ก่อความไม่สงบเรื่อยมา เรื่องล้อมที่ทำการทางการนับว่าเป็นเรื่องปกติ
คดีที่เกี่ยวข้องกับลัทธิมารนั้น ราชวงศ์หมิงมีท่าทีชัดเจน คือสังหาร สังหารไม่ละเว้น
หรือว่าพวกชาวบ้านที่ล้อมที่ทำการในเทียนจินเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของลัทธิไตรสุริยัน บนโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ แต่ข่าวที่ออกมาจากกรมอาญานั้นย่อมไม่มีความเท็จกระมัง!
ขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันนั้นอยู่ๆ ก็นึกในทางกลับกัน ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกอึ้ง เช่นนี้ หวังทงไม่ใช่ไม่มีความผิดใหญ่ แต่กลับมีความชอบใหญ่น่ะสิ
เรื่องเก็บภาษีกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลยทีเดียว เดิมพวกขุนนางระดับล่างกำลังโกรธแค้น รวมทั้งพวกบัณฑิตในเมืองหลวง ตอนนี้ได้แต่หยุดโจมตี ทุกคนล้วนรักหน้า เรื่องกลับตาลปัตรตนเองย่อมไม่ทันตั้งตัว อย่างน้อยก็ไม่อาจชมเชยได้ อย่างไรหุบปากเงียบไว้ก่อนดีกว่า
หากในวงสุราที่มีนักเล่านิทานนั้นไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ พวกเขารู้ตัวดีว่าเป็นแค่ต้นหญ้าน้อยๆ หลายวันก่อนในวงสุรายังด่าพ่อล่อแม่ หากมีใครเอาเรื่องขึ้นมา ก็ย่อมมีภัยมาถึงตัว
ในบทความเรื่องเล่าหลังๆ ล้วนมีการหักมุมเขียนกัน ในนั้นมีนักเขียนนิทานทางใต้ของเมืองคนหนึ่ง ไม่ว่าเล่าอะไรก็ล้วนเป็นที่นิยม ปลายเดือนเก้ายังเล่าเรื่องชาวบ้านผดุงธรรมต่อสู้กับหวังทง เล่าถึงห้าวีรบุรุษถูกจับไปลานประหาร ทุกคนต่างไม่ยอมก้มหัว หัวเราะอย่างอาจหาญ ในลานประหารยังเอ่ยพระนามฮ่องเต้ หลังจากตายลง หัวยังถูกนำมาเสียบประจานบนกำแพงเมือง สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน ทุกที่ๆ ไปเล่า ผู้ฟังต่างก็ซาบซึ้งจนต้องหลั่งน้ำตา
วันที่ 3 เดือนสิบ นักเล่านิทานผู้นี้อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนไป เล่าว่าห้าคนนี้เป็นพวกอันธพาลในเมือง จับตัวเด็กชายหญิงให้ลัทธิมารร้าย สุดท้ายนายกองพันหวังทงถือดาบหยกตัดหัวมารร้ายพวกนี้ทิ้ง เล่าไปถึงว่าดาบหยกวาววับส่งแสงทอประกายอะไรพวกนี้
ได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างอึ้งไปปรับตัวไม่ทัน หากไม่นานจากนั้นทุกคนก็รู้สึกสนใจเรื่องนายกองพันหวังขจัดมารร้ายกันมาก ทุกคนอยากฟังกันแล้ว
**********
พอถึงวันที่ 3-4 เดือนสิบ นอกจากข่าวและพยานหลักฐานที่หวังทงตรวจค้นเจอนำส่งเมืองหลวงแล้ว ข่าวที่แต่ละแห่งสืบมาได้ก็เริ่มรอบด้านมากขึ้น
เรื่องลัทธิไตรสุริยันมีหลักฐานอยู่ที่ศาลเหอเจียน มีคำสารภาพของพวกนาวาสุคนธ์และพุทธรูปพร้อมเครื่องรางพวกนั้น ยังมีคัมภีร์ที่ตรวจค้นมาได้จากแต่ละบ้าน ที่ล้วนสอดคล้องกับรายงานในบันทึกคดีที่เมืองหลวงเมื่อก่อน
เรื่องอื่น ๆ เช่นพวกหัวหน้าหน่วยนาวาคิดจะยุยงให้พวกนาวาสุคนธ์ก่อการ ใช้วิธีการเดินไปติดต่อตามซอกซอย แสดงว่ามีอิทธิพลไม่น้อย สำนักบูรพา สำนักองครักษ์เสื้อแพรและกรมอาญาล้วนมีประสบการณ์มาก ลงแรงไปตรวจสอบ มีอันใดสอบไม่พบ นับประสาอันใดกับการร่วมมือก่อการกันอย่างใจกล้าและเปิดเผยเช่นนี้
มีคนรวมตัวก่อการ มีคนเคลื่อนไหว มีมือสังหารผสมเข้ามา สำนักนาวาสุคนธ์เป็นแค่องค์กรที่รวมตัวกันของผู้ใช้แรงงาน ไม่ใช้การค้าผิดกฎหมาย เก็บภาษีเกี่ยวอันใดกับพวกเขา หากเรื่องราวที่รังแกผู้ชาย เอาเปรียบผู้หญิง ปักธูปเก็บเงินต่างก็ล้วนถูกสอบสวนออกมาจนครบ
เรื่องเป็นเช่นนี้ พวกก่อจลาจลในเทียนจินย่อมตัดสินโทษได้แล้ว พวกผู้ร้ายคิดก่อกบฎ ยังมีพวกลัทธิไตรสุริยันรวมอยู่ด้วย โชคดีที่นายกองพันหวังกล้าหาญชาญชัยนำกำลังทำลายแผนการร้ายนี้ได้
ไม่เพียงไม่มีความผิด ยังมีความชอบใหญ่หลวง
ขุนนางอื่นๆ ในเทียนจินกลับวางเฉยในเรื่องนี้ ล้วนมีความผิดมหันต์ อย่างน้อยก็ต้องโทษละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
**********
“อดกลั้นไว้อย่าเคลื่อนไหว เมืองเทียนจินทางนั้นอย่างน้อยก็ยังพอมีกำลังใช้ได้อยู่ หากวู่วาม ทุกอย่างจะสูญสิ้นหมดด้วยน้ำมือเจ้าเพียงคนเดียว ที่แม่น้ำถังเจียนั่นก็ถอนกำลังซะ พึ่งพาไม่ได้ ยังถูกตรวจพบได้ง่าย”
เสียงหัวหน้าราบเรียบยิ่ง ไฉฝูหลินที่คุกเข่าอยู่ไม่ค่อยยินดีนัก แต่ไม่กล่าวอันใด