ตอนที่ 321 ฝุ่นตลบสงบลง ผู้ใดได้ผู้ใดเสีย
วันที่ 6 เดือนสิบ หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ บรรดาขุนนางต่างน้อมกายฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
“คลองส่งน้ำถือเป็นสายเลือดของแผ่นดิน การขนส่งเกี่ยวพันกับรากฐานแผ่นดิน หน่วยงานแต่ละแห่งไยจึงได้หละหลวม ถึงกับปล่อยให้พิษร้ายขยายตัวใหญ่โตได้”
ใต้หล้าที่สามารถกล่าววาจาเช่นนี้ได้มีไม่ถึงสิบคน ที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อนี้มีสองคน ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบ ผู้ที่กล่าวย่อมเป็นมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง
“เมืองเทียนจินเป็นประตูออกทะเล ยังเป็นศูนย์กลางการขนส่ง นาวาสุคนธ์เกือบหมื่น ยังมีพวกมารปะปน หากคิดก่อกบฏขึ้นเรือมาเมืองหลวงก่อการกัน ยามนั้นราษฎรย่อมต้องหวาดผวา แผ่นดินย่อมสั่นคลอน หายนะใหญ่ใกล้ตัวเพียงนี้ ต้องรอให้เกิดเรื่องจึงรู้ได้ นี่มันอะไรกัน!!”
เสียงจางจวีเจิ้งไม่สูงนัก แต่ค่อยๆ ดังขึ้น ทุกวาจาที่ออกมาทำเอาในใจทุกคนรู้สึกหวาดผวา ใต้เท้าแต่ไรมาไม่ว่าเกิดเหตุใดจะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่วันนี้สีหน้าหากใช้คำว่าม่วงดำคล้ำยังคิดว่าน้อยไป
หวังทงนั่นโชคดีจริง เดิมคิดว่าจลาจลครานี้จะสามารถล้มเขาลงได้ คิดไม่ถึงว่าจะสร้างความดีความชอบใหญ่ได้ ทุกคนแอบบ่นในใจ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกมา
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใต้เท้าทุกท่านไม่รู้เรื่องกันเลยหรือ?”
น้ำเสียงจางจวีเจิ้งยิ่งสูงขึ้นอีก ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครกล้าส่งเสียง กลับเป็นเซินสือหังที่ลังเลครู่หนึ่งก็ก้าวออกมา กล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าจาง ใต้เท้าทุกท่าน เมืองเทียนจินเป็นพื้นที่ทหาร ยังเป็นพื้นที่สะสมเสบียงแผ่นดิน จลาจลครั้งนี้ได้ล้อมที่ทำการหนึ่ง แต่กลับละเว้นอีกสองแห่ง เห็นชัดว่ามิได้มีเจตนาก่อความไม่สงบแท้จริง”
ได้ฟังดังนี้ คิ้วของว่านลี่กับจางจวีเจิ้งก็ยกขึ้นพร้อมกัน สีหน้าไม่ดีนัก ส่วนใหญ่การก่อการไม่สงบมักจะโจมตีฐานที่มั่นทหารเพื่อเอาอาวุธออกไปก่อการล้อมข่มขู่ราษฎร อันดับต่อมาก็จะแย่งชิงเสบียงเพื่อเตรียมความพร้อมระยะยาว ดังนั้นเซินสือหังกล่าวเช่นนี้มิผิด แต่คำถามนี้ไม่ได้มีเจตนาดังที่ถาม
เซินสือหังทูลต่อว่า
“กระหม่อมตรวจสอบเอกสารเก่า เมื่อสามปีก่อนพวกนาวาสุคนธ์ล้อมโจมตีที่ทำการ เรื่องนั้นค่อยๆ ลืมเลือนไปเอง ไม่มีคนกล่าวถึง เห็นได้ว่าชาวบ้านข่มขู่ทางการสำเร็จจนเป็นนิสัย มิได้มีความคิดก่อกบฏ ก็มีพฤติกรรมก่อกบฏ แต่เทียนจินนั้นเป็นพื้นที่สำคัญ มีกองตรวจการ มีกองเสบียง มีขุนพลรักษาการ มีกองคุมกำลังพล เหตุใดแต่ละที่จึงไม่ถามไม่ไถ่ ยังถึงกับช่วยฆ้องป่าวประกาศให้เป็นเรื่องใหญ่ ในนั้นอาจมีผู้สมรู้ร่วมคิดก็ไม่รู้ได้ ชาวบ้านที่ร่วมก่อการย่อมมีโทษหนักนั้นแน่นอน แต่ความรับผิดชอบจากขุนนาง ก็ควรมีโทษหนักเช่นกันถึงจะถูกต้อง!!”
จางจวีเจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย คนอื่นๆ ต่างก็สบถด่าในใจ คิดว่าเซินสือหังช่างเหี้ยมโหด ราษฏรหัวหลุดจากบ่าก็แล้วไป เจ้าจะโยงมาให้ขุนนางต้องโดนไปด้วยทำไมกัน
“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าจางและใต้เท้าเซินกล่าวได้ถูกต้อง เทียนจินเป็นรังสัตว์ร้าย ปิดบังเบื้องสูง รังแกเบื้องล่าง และยังปิดบังใต้เท้าทุกท่าน ข้าน้อยในฐานะราชบัณฑิตประจำคณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีกรมทหารก็มีความผิดในหน้าที่ ขอให้ทรงลงอาญาด้วยพะยะค่ะ”
จางซื่อเหวยกล่าวจบก็คุกเข่าลง บรรดาขุนนางในราชสำนักก็ปฏิกิริยาไว ความหมายนี้ก็คือผลักความรับผิดชอบไปยังขุนนางที่เทียนจิน ยามนี้ทุกคนต่างสลัดความเกี่ยวข้องทิ้งพัลวัน
“กระหม่อมละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ขอฝ่าบาทโปรดลงอาญา…”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกละอายใจ ขอทรง…”
เพียงชั่วพริบตา ใต้เท้าทุกท่านในที่ประชุมต่างคุกเข่าลงรับผิด จางจวีเจิ้งเองก็สะบัดปลายชุดขุนนางลงคุกเข่าเช่นกัน โขกศีรษะรับผิดว่า
“กระหม่อมเป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีใหญ่ รู้สึกละอายที่เกิดเหตุครั้งนี้กลับไม่รู้เรื่อง ขอฝ่าบาททรงลงอาญาพะยะค่ะ!”
ฮ่องเต้น้อยเห็นภาพเบื้องหน้าก็ส่ายพระพักตร์ ทุกคนล้วนบอกว่าตนมีความผิด กลับไม่อาจทำอะไรได้ แต่เดิมคิดว่าจะต้องเป็นเรื่องถกเถียงกันใหญ่ กลับมาสู่ทิศทางนี้ได้ ไม่ว่าสำหรับพระองค์หรือสำหรับหวังทงที่เทียนจินก็ล้วนเป็นเรื่องดี
“ท่านจางกับใต้เท้าทุกท่านไยต้องทำเช่นนี้ ลุกขึ้นๆ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสด้วยสุรเสียงนุ่มนวล ตรัสถามต่อว่า
“แต่ว่า ในเมื่อต้องลงอาญาแล้ว เช่นนั้นที่เทียนจินจะจัดการอย่างไร ขุนนางทุกท่านเห็นเช่นไรกัน?”
“ทูลฝ่าบาท นายกองตรวจการฟานต๋าเทียนจินละเว้นการปฏิบัติหนาที่ สำนักตรวจสอบควรริบเบี้ยหวัดสามปี ลดตำแหน่งหนึ่งขั้น ….”
รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายสำนักตรวจสอบหลี่ว์กวงหมิงรีบก้าวขึ้นหน้ามากราบทูล แม้ว่าทุกคนไม่ได้อาศัยเบี้ยหวัดยังชีพ แต่ปรับสามปี ลดหนึ่งขึ้น ก็มีนัยยะว่าวันหน้าคงไม่มีภารกิจดีๆ อันใดให้ทำอีก หรืออาจต้องถูกส่งไปประจำถิ่นทุรกันดาร หากตนเองรู้แก่ใจแล้ว พอจบงานนี้ก็ควรขออำลากลับบ้านเกิดไปด้วยตนเอง”
ในยามนั้นเอง เฝิงเป่าที่ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็กล่าวขึ้นว่า
“ทูลฝ่าบาท ขันทีประจำกองเสบียงรับภารกิจสำคัญ แต่กลับไม่รู้ความ กระหม่อมขอทรงอนุญาตให้สำนักบูรพาส่งคนไปจับกุมตัวกลับเมืองหลวงมาลงโทษ กระหม่อมในฐานะหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ มีคนในสังกัดทำเรื่องเช่นนี้ ไม่ทันได้ตรวจสอบ ขอทรงลงอาญาด้วยพะยะค่ะ”
“เฝิงต้าปั้นช่างจงรักภักดี ทำตามที่ขอละกัน! ท่านมีเรื่องให้จัดการมากมาย ไหนเลยจะมีเวลาในเรื่องนี้ โทษย่อมไม่มาถึงท่าน…”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสขึ้น เฝิงเป่าเองก็คุกเข่าขอบพระทัย ว่านลี่หันไปพลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มเย็นตรัสว่า
“เรื่องสัพเพเหระเล่ากันในเมืองเราก็ได้ยินมาบ้าง อย่างเช่นห้าคุณธรรมต่อสู้กับหวังทง อย่างเช่นชาวประชานับหมื่นร้องทุกข์ เห็นเรื่องพวกนี้แล้ว เราถึงกับหัวเราะแทบหงายหลังเลยทีเดียว!”
มีสำนักรักษาความสงบอยู่ เรื่องทุกเรื่องในเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมทรงรู้ได้ทุกเรื่อง ขุนนางหลายคนไม่ว่าเปิดเผยหรือในทางลับต่างก็แอบยื่นฎีกาคัดค้าน หวังจะสลายองค์กรนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ เรื่องที่ฮ่องเต้น้อยตรัสมา ในมุมมองคนนอกแล้วก็ช่างน่าขัน
แต่เมื่อนำมากล่าวที่นี่ ย่อมไม่น่าขันอันใด รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่จางหายไป ตรัสต่อว่า
“ราษฎรเลอะเลือนก็แล้วไป แต่ขุนนางในเมืองหลวง ขุนนางในเมืองเทียนจิน เหตุใดจึงเลอะเลือนไปด้วย นายกองตรวจการเทียนจินยิ่งแล้วใหญ่ กล่าวมาว่าน้ำประคองเรือให้ลอย ชาวบ้านดังน้ำ ราษฎรผดุงคุณธรรมเทียนจิน เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน กินเบี้ยหวัดแผ่นดิน เป็นขุนนางภักดีต่อแผ่นดินหรือไม่ หรือเขาทำงานให้นาวาสุคนธ์ ทำงานให้ลัทธิไตรสุริยัน…”
มีคำของเฝิงเป่าเมื่อครู่และพูดกันถึงขั้นนี้ หลี่ว์กวงหมิงแห่งสำนักตรวจสอบจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ฟานต๋าก็เป็นงานไม่น้อย แม้กองตรวจการและสำนักตรวจสอบจะมีชื่อเป็นหน่วยงานในสังกัดกันเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่เงินทองแสดงความกตัญญูทุกปีที่ส่งมายังมากกว่าคนอื่นถึงสี่ส่วน เรือของพวกตนไปมาก็อำนวยความสะดวกให้ไม่น้อย
แต่เมื่อกล่าวถึงขั้นนี้ ผู้ใดก็รู้ดีกว่าลำดับถัดไปต้องทำเช่นไร หลี่ว์กวงหมิงไม่ลังเลต่อ ทูลขึ้นทันทีว่า
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง กระหม่อมเลอะเลือน นายกองฟานต๋าจะต้องพักตำแหน่งให้กรมนำตัวมาสอบสวน!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้พยักพระพักตร์รับรู้ สายพระเนตรมองไปยังจางจวีเจิ้งที่กวาดสายตาไปยังจางซื่อเหวย ทุกคนรู้ดีแก่ใจ จะไม่เข้าใจพระประสงค์ได้อย่างไร
“ทูลฝ่าบาท ขุนพลหลี่ต้าเหมิ่งที่เทียนจิน รับหน้าที่ดูแลกำลังที่นั่น แต่ปล่อยให้ชาวบ้านก่อการเช่นนี้ได้ หากมีศัตรูมาโจมตีจะทำเช่นไร กระหม่อมคิดว่าควรจะพักตำแหน่งไว้ จับกุมมาลงโทษที่เมืองหลวงพะยะค่ะ!”
จางซื่อเหวยกราบทูลหนักแน่นเด็ดขาด ขุนนางบุ๋นและบู๊ที่เทียนจินหลายวันนี้มักถูกกล่าวถึงในเมืองหลวง ขุนนางที่เกี่ยวข้องย่อมจดจำชื่อได้อย่างแม่นยำ
ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะตรัสต่อ แต่จางจวีเจิ้งก็ทูลขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ทูลฝ่าบาท หลี่ต้าเหมิ่งข้าน้อยพอจำได้ สมัยฮ่องเต้ซื่อจงติดตามหูจงเซี่ยนไปเขตปกครองใต้และเจ้อเจียงปราบโจรสลัด มีความดีความชอบ นับเป็นขุนนางมีความชอบแห่งราชวงศ์หมิง ได้ตำแหน่งขุนพลที่ปรึกษากลับไปสมคบคิดกับพวกมารร้าย คงจะโง่ไปแล้วแน่ กระหม่อมคิดว่าคงเลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอให้ทรงปลดจากตำแหน่ง ให้กลับบ้านเกิดพะยะค่ะ!”
“ท่านจางกล่าวได้ถูกต้อง ฝ่าบาท เมื่อครู่กระหม่อมกราบทูลรุนแรง การละเลยการปฏิบัติหน้าที่นี้ก็ไม่มีหลักฐาน ลงโทษรุนแรงไป เกรงว่าจะทำลายขวัญกองทัพพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง ทอดพระเนตรจางจวีเจิ้งและจางซื่อเหวย สุรเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ตรัสว่า
“ขุนนางสำนักตรวจสอบและสำนักการศึกษา กับหัวหน้ากองในหกกรมครั้งนี้ก็เล่นเรื่องนี้กันใหญ่ ต่างพูดกันว่าราษฎรผดุงคุณธรรม ทุกคนต้องลงโทษให้หมดเช่นกันใช่หรือไม่!”
“ทูลฝ่าบาท ไม่อาจนำคำพูดที่ได้ยินมาลงโทษพะยะค่ะ หากลงโทษด้วยเรื่องนี้ ย่อมก่อให้เกิดความวุ่นวาย ตามความเห็นข้าน้อย ตักเตือนก็พอพะยะค่ะ คนพวกนี้แม้มีความผิด แต่อย่างไรก็ออกมารักษาความเป็นธรรม เป็นคานหลักของแผ่นดิน…”
ลงโทษฟานต๋าไปแล้ว ยังคิดจะขยายความต่อ จางจวีเจิ้งกลับไม่ยอม การจลาจลที่เทียนจินแม้ว่าก้าวล่วงขีดความอดทนของจางจวีเจิ้ง แต่สถานการณ์สงบแล้ว กลับไม่อาจให้ฮ่องเต้เอาเรื่องต่อ ไม่เช่นนั้นอาจมีบรรดาขุนนางในราชสำนักเกี่ยวพันไปด้วยก็ได้ ดังนี้จึงใช้วาจานี้ยั้งไว้
ได้ยินเช่นนี้ ว่านลี่ก็ต้องถอนหายใจ ทิ้งตัวลงพิงที่ประทับ ผู้คนกล่าวว่าโอรสสวรรค์เป็นใหญ่ในใต้หล้า แต่ตนกลับมิอาจทำสิ่งที่ปรารถนาได้ หรือว่าเรื่องเมืองเทียนจินสามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่ยังคงต้องถูกท่านจางขัดเอาไว้หมด ว่านลี่เคยชินกับเรื่องเช่นนี้แล้ว สีพระพักตร์กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ตรัสว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้เราก็มอบให้ท่านจางไปดำเนินการละกัน แต่ว่านายกองพันหวังมีความชอบในการปราบจลาจล ควรปูนบำเหน็จเช่นไร ก็ควรเป็นไปตามธรรมเนียม”
สีหน้าจางจวีเจิ้งนิ่งลง ก่อนจะขึ้นมาคุกเข่ากราบทูลว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า แม้นายกองพันหวังมีความชอบ แต่ในฐานะที่เป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพร ก็มีหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว นั่งรอจนเกิดเรื่องก็มีความผิดที่มิได้ตรวจพบก่อน ทำความชอบชดเชย ย่อมไม่ปูนบำเหน็จและไม่ลงทัณฑ์ ฝ่าบาททรงเห็นเช่นไรพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่ที่นั้นทอดพระเนตรไปยังจางจวีเจิ้งที่คุกเข่าและบรรดาใต้เท้าในหอประชุมทุกคน พระองค์ไม่เห็นผู้ใดเห็นด้วยสักคน ยังมีบางคนมีสีหน้าไม่พอใจ
“ก็ทำตามที่ท่านจางเสนอละกัน ไม่มีเรื่องใดแล้ว วันนี้ก็เลิกประชุมได้..”
บรรดาขุนนางถวายคำนับเสร็จ สีพระพักตร์ว่านลี่ก็นิ่งลงก่อนจะประทับยืนหันหลัง พระโอษฐ์แอบตรัสอะไรบางอย่างอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะรีบอุดเอาไว้ทันที
***********
ชีวิตของฟานต๋า ว่านเต้าและหลี่ต้าเหมิ่งก็ถูกตัดสินเช่นนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจ ทุกคนสนใจแต่สามตำแหน่งนี้ว่างแล้ว เป็นก้อนเนื้อชิ้นงาม เป็นตำแหน่งสำคัญ
กรมปกครองกับกรมทหารนำเสนอรายชื่อขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ผู้ที่ถูกเสนอขึ้นมาไม่คุ้นหน้า แต่พอสืบความก็รู้ว่าเป็นคนสนิทที่ท่านจางไว้วางใจ เรื่องภารกิจเสบียงนั้นย่อมเป็นคนของเฝิงกงกง
เมืองเทียนจินเกิดเหตุนาวาสุคนธ์ก่อจลาจล ผู้ใดได้ประโยชน์ที่สุด ย่อมเห็นกันได้อย่างชัดเจน