ตอนที่ 324 สังหารแม่ทัพ
เดิมคิดว่าข่าวที่ตนเองได้มานั้นเร็วที่สุดแล้ว ราชสำนักยังไม่มีราชโองการมา ตนยังเป็นอิสระ ยามนี้หนีไปย่อมไม่มีคนสนใจ
คิดไม่ถึงว่าการเดินทางเป็นความลับเช่นนี้ได้ครึ่งทางก็มีคนมาขวางได้
คืนดึกสงัดเช่นนี้ ไร้แสงไฟมืดมิด อีกฝ่ายขี่ม้ามาขวางทางไว้ ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกเลย ช่างน่าตกใจยิ่งนัก
ทหารตนพวกนี้แม้ว่าเห็นการสังหารมาหลายสนามรบ แม้เป็นพวกชอบกินชอบดื่ม แต่ก็รับเบี้ยหวัดฝึกฝนมา น่าจะมีความระแวดระวังพอตัว กลับไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวรอบตัว แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายย่อมมาดักรอล่วงหน้า
หลี่ต้าเหมิ่งสบถด่าในใจ รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือว่าจะสังหารตนปิดปาก แต่ก็ไม่น่าใช้ หากจะปิดปากก็ย่อมรอให้ขึ้นเรือไปค่อยลงมือไม่ดีกว่าหรือ
“ใต้เท้าหลี่กับว่านกงกงและใต้เท้าฟานสนินสนมกัน วันนี้ว่านกงกงไปแล้ว ใต้เท้าฟานวันนี้ก็เสียสติ คิดว่าน่ามีความซ่อนเร้นอยู่ ใต้เท้าหลี่หากยอมพูดออกมา ไม่กล้ารับรองเลื่อนตำแหน่ง แต่การคืนตำแหน่งนั้น…”
ทางนั้นพูดไม่จบ หลี่ต้าเหมิ่งก็ยกมือตบคนข้างๆ คราหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณ ทุกคนเคลื่อนไหวรวดเร็วขึ้นธนูพร้อม
อีกฝ่ายมีเพียงเงาดำ แม้ว่ากลางคืนจะมองเห็นเงาเลือนราง แต่เงาพวกนี้ก็พอเป็นเป้าได้แล้ว
‘ฟุบ’ เสียงแหวกอากาศดัง ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศมาอย่างเร็ว เสียงนี้เหมือนเป็นคำสั่ง ทหารขุนพลหลี่น้าวธนูยิ่งใส่มาไม่หยุด
‘ปึง ปึง ปึง’ เสียงดังติดๆ กัน ลูกธนูชนกับโล่ อีกฝ่ายเตรียมตัวพร้อม พวกที่ยิงเสร็จก็วิ่งลงข้างทาง
“ใต้เท้าหลี่ฝึกพลธนูมาได้ไม่เลว ยังจำถนนเก่าๆ สายนั้นที่ไร้ผู้คนนอกเมืองได้หรือไม่?”
พอได้ยิน หลี่ต้าเหมิ่งก็ได้สติทันที ชัดดาบออกมาคำรามเสียงดังว่า
“เจ้าสุนัขหวังทง วันนี้มีเจ้าไม่มีข้า!!”
“จากวันนี้ไป ใต้หล้าก็จะไม่มีเจ้า หลี่ต้าเหมิ่ง!!”
หลี่ต้าเหมิ่งชักดาบออกมาแต่ไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้อยู่ที่ใด พอหวังทงตะโกนขึ้น ก็แสดงตัวให้เห็นว่าอยู่ทางขวาของกองกำลัง กำลังคิดจะบุก ทันใดนั้นก็มองเห็นดวงไฟสองข้างทางระยิบระยับ
หากไม่ทันคิด ยังคิดว่าเป็นหิ่งห้อย แต่ในเวลานี้จะมีหิ่งห้อยที่ไหนกัน สายลมหยุดพัด คนฝั่งหลี่ต้าเหมิ่งตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“กลิ่นดินปืนรุนแรงมาก…”
กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ดวงไฟระยิบระยับลอยพุ่งเข้าใส่อย่างเร็ว มิได้ยิงม้า แต่กลับยิงถนน
“ปึก ปึก” ดังติดกัน หางตาเห็นลูกธนูติดไฟยิงเข้าใส่มัดฟาง ไฟและฟางแห้งเจอกัน ก็ย่อมลุกพรึ่บทันที เผาไหม้อย่างรวดเร็ว ย่อมเป็นผลจากดินปืน
ข้างทางกับบริเวณที่พวกขี่ม้าขวางทงอยู่ล้วนมีกองฟองเตรียมไว้พร้อม
ทันใดนั้นไฟก็ลุกพรึ่บ ม้าที่เริ่มคุ้นเคยกับความมืดบนท้องถนนยามค่ำคืนแล้ว อยู่ๆ กลับสว่างจ้าขึ้น สายตาม้าไม่สามารถปรับตัวได้ ต่างพากันตกใจ
อย่าว่าแต่ม้าเลย แม้แต่ปฏิกิริยาแรกของขุนพลหลี่ก็ยังหลับตาลงตามสัญชาตญาณ
ในค่ำคืนมืดมิด ถนนสว่างไสว ที่อื่นๆ ล้วนมืดมิด พวกขุนพลหลี่ย่อมเผยให้เห็นเป็นเป้าชัดเจนทันที เป็นเป้าที่สะดุดตาที่สุด
ลูกธนูยามนี้ดังแหวกอากาศไปรวมกัน ขุนพลหลี่คำรามชูดาบขึ้น ก่อนจะตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ธนูยาวดอกหนึ่งแทงทะลุลำคอไปอย่างแม่นยำ
หัวหน้าตนถูกยิงร่วง ลูกน้องที่เหลือก็ไม่สนใจอันใดอีก ลูกธนูถล่มมาราวห่าฝน ทั้งแม่นยำและรวดเร็ว มีเสียงคนร้องโหยหวนร่วงจากหลังม้าเป็นระยะ
“พวกเผ่าจากทุ่งหญ้า!!”
มีคนพบว่าเป็นธนูสั้น จึงตะโกนดังขึ้น แต่ผลของการส่งเสียงดังก็คือทำให้ตนเองเป็นเป้าได้ง่าย ตามมาด้วยพลธนูเล็งมาที่เขาอย่างแม่นยำ
พวกทหารหลี่ต้าเหมิ่งเห็นว่าหัวหน้าของพวกเขาถูกยิงเสียชีวิต ก็ไม่มีกะใจคิดต่อสู้ต่อ แต่ลูกธนูทั้งสองข้างยังคงยิงไม่หยุด ไม่เปิดโอกาสให้หลบหนี
ไม่ถึงสองรอบ คนวงนอกก็ถูกยิงร่วงไปหมด คนที่เหลือก็อาศัยม้าเป็นเกราะกำบัง แต่ก็หลบได้ไม่นานนัก
พลธนูสองด้านนั้นแม่นยำยิ่ง พอหลบหลังม้า ม้าตัวนั้นก็จะถูกยิงทันที และลูกธนูสั้น ๆ ยิงเร็ว หากที่สังหารจริงกลับเป็นธนูยาวของราชวงศ์หมิง
ไฟบนกองฟางค่อยๆ มอดลง พวกขุนพลหลี่เหลือแค่ห้าคน คนพวกนี้ล้วนลงนอนราบ ใช้เกราะและซากม้าบังเอาไว้ ไม่กล้าเคลื่อนไหว
ลูกธนูราวห่าฝนหยุดลง เสียงร้องโหยหวนหยุดลง คนที่เหลือของพวกขุนพลหลี่ยังไม่กล้าขยับ เสียงร้องเจ็บปวดข้างกายไม่มีแล้ว หากเป็นสนามรบ คนที่ถูกธนูยิงบาดเจ็บย่อมส่งเสียงครวญคราง แต่ตอนนี้ทุกคนรอบตัวตายเกือบหมดแล้ว
“พี่น้องเราเป็นทหารกินเบี้ยหวัด ขอทุกท่านโปรดไว้ชีวิตสักครา!!”
พวกทหารบาดเจ็บร้องขอชีวิตเสียงสั่น กลับไม่มีผู้ใดสนใจ หากได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้ มีคนตะโกนเสียงดังสั่งการว่า
“มีดแทงทุกศพ ต้องให้ตายจริง!!”
ได้ฟังประโยคนี้ ทหารโชคดีที่ยังไม่ตายก็จับอาวุธลุกขึ้นสู้ พอลุกขึ้นจึงได้เห็นทวนยาวดาบใหญ่ คนสวมเกราะล้อมพวกเขาไว้หมดแล้ว
***********
“ถอนธนูทุกดอกทิ้ง อย่าให้เหลือร่องรอย ศพมากองไว้รวมกัน!!”
กลิ่นเลือดผสมกับควันไฟคละคลุ้งในอากาศ หวังทงใช้ดาบเขี่ยทีละศพ ตะโกนสั่งเสียงดัง
ตามล่าหลี่ต้าเหมิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก อย่างไรราชโองการก็ยังไม่มา เขายังคงเป็นขุนนาง แต่หากยามนี้ไม่ลงมือ หลี่ต้าเหมิ่งหนีไปได้ ไม่เพียงแต่ตามกลับมาไม่ได้ แต่ยังปล่อยเสือเข้าป่า
หวังทงระดมคนโรงบ้านของตนมา คนของตระกูลถานอีกสิบกว่าคนก็มาด้วย ยังมีพวกคนสนิทอีกสองสามคน
อย่าเห็นว่าคนไม่ถึง 60 เพราะคนพวกนี้ล้วนเป็นมือธนู พวกเขารอซุ่มโจมตีทั้งสองด้าน ไม่บุกเข้าสังหารเบื้องหน้า พวกที่มาจากทุ่งหญ้าก็มีธนูสั้นที่ยิงได้เร็ว ส่วนพวกตระกูลถาน ทุกดอกที่ยิงออกไป ก็ย่อมสังหารได้หนึ่งชีวิต
หลังจากเข่นฆ่าจบลง ศพและร่องรอยต่างๆ ย่อมต้องเก็บกวาดให้สะอาด ไม่เช่นนั้น หากมีคนพบร่องรอย ก็จะสอบสวนมาถึง กลายเป็นหายนะใหญ่เป็นแน่
หวังทงสั่งการให้คนจัดการไป ส่วนตนเองก็เข้าไปตรวจสอบทีละศพ ดูว่าทุกศพดึงธนูออกแล้วหรือยัง
หลี่ต้าเหมิ่งถูกยิงตายเป็นคนแรก เมื่อหวังทงเดินไปดู กลับเห็นถานเจียงยืนนิ่งมองอยู่ตรงนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้า ถานเจียงก็หันไปมองก่อนจะกล่าวว่า
“นายท่าน ธนูของพวกทหารหลี่ต้าเหมิ่งใช้นั้นเหมือนกับที่ใช้ล่าสังหารท่านในวันนั้น หากจะยิงก็ต้องใช้คนที่ชำนาญธนูแบบนี้ นายท่านวิเคราะห์ได้แม่นยำนัก เป็นคนของหลี่ต้าเหมิ่งจริงๆ”
น้ำเสียงของเขาเหมือนหมดแรง อยู่ๆ ก็เหยียบหัวของหลี่ต้าเหมิ่ง ดึงลูกธนูออก ชักดาบตัดศีรษะทิ้ง น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“พี่น้องเราสิบเจ็ดคนผ่านความเป็นความตายจากเขตปกครองใต้และเจ้อเจียงมาด้วยกัน รบกับพวกโจรสลัดมาด้วยกัน รบกับพวกมองโกลมาด้วยกัน สวรรค์คุ้มครองพี่น้องเราให้ผ่านพ้นความตายมาได้ ไม่มีผู้ใดตายสักคน ส่งนายท่านถานเราไปแล้ว ยังมารับใช้นายท่านต่อ คิดไม่ถึงว่า พี่น้องเราชะตาแข็งไม่ตายในสนามรบ แต่ต้องมาตายด้วยน้ำมือทหารหมิงเราเอง ไปถึงยมโลกย่อมตายตาไม่หลับ!!”
กล่าวถึงตอนท้ายก็เริ่มสะอึกที่ลำคอ กล่าวไม่ออกอีก เก็บกวาดพื้นที่ได้พอสมควรแล้ว คนโรงบ้านและคนงานอื่นๆ ก็จุดไฟไปสำรวจสองข้างทาง ดูว่ามีลูกธนูหลงเหลืออยู่หรือไม่
นี่เป็นความกล้าหาญของพวกนายทหารชั้นยอดและพวกโรงบ้าน สองข้างทางยิงใส่กัน แม้ว่าจะมุมเอียง แต่หากไม่ระวังก็อาจจะยิงโดนพวกเดียวกัน
พวกตระกูลถานได้มารวมตัวกันที่นี่ ภายใต้เงาสะท้อนของคบเพลิง ดวงตาของถานปิงแดงก่ำ ไม่กล่าวอันใด ส่วนถานเจี้ยนกลับส่งเสียงร้องไห้ออกมา ถานกงกล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“พี่เจ็ด น้องสิบสอง น้องสิบห้า พี่ใหญ่สังหารหัวหน้าชั่วแก้แค้นให้พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าตายตาหลับได้แล้ว ไปรับใช้ใต้เท้าถานกันก่อน…”
พูดได้เพียงเท่านี้ ถานกงก็ต้องรีบยกกดดวงตาไว้ ไม่อาจกล่าวอันใดออกมาได้อีก
หวังทงเองก็รู้สึกซึ้งไปด้วย ภาพการแก้แค้นใหญ่เช่นนี้ พี่น้องมิตรภาพแน่นแฟ้นเช่นนี้ เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก
รอทุกคนได้ระบายอารมณ์กันจนสงบลงแล้ว หวังทงจึงได้กล่าวว่า
“ได้แก้แค้นให้พี่น้องสามคนของเราแล้ว พวกเขาในปรภพย่อมเป็นสุข พวกเราเก็บกวาดให้เรียบร้อย ถอนกำลังกลับเข้าค่ายกันได้แล้ว!!”
ทุกคนในตระกูลถานต่างเข้าไปฟันใส่ศพหลี่ต้าเหมิ่งคนละดาบ พวกคนโรงบ้านได้เคลื่อนย้ายศพมากองรวมกันแล้ว ยังหาฟางแห้งรอบๆ มากองไว้ด้วย
ถานเจียงหันไปตะโกนดังลั่นว่า
“พี่น้องเราได้ชำระแค้นนี้ก็เพราะนายท่าน หากไม่มีนายท่าน เกรงว่าเจ้าคนผู้นี้คงหนีไปแล้ว นายท่าน โปรดรับการคารวะจากพวกข้าน้อยด้วย”
อย่างไรหลี่ต้าเหมิ่งก็มีสถานะขุนนาง แม้ว่าถูกปลดก็ไม่อาจลงมือตามอำเภอใจได้ หากมิใช่หวังทงมาดักรอ เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่อาจแก้แค้นได้สำเร็จ
“นายท่าน พวกเราเป็นคนตระกูลหวัง ตอนนี้ยังแซ่ถาน ขอใต้เท้าอนุญาตให้พวกเราได้ใช้แซ่หวังตามท่านด้วย…”
คนตระกูลถานมักวางคนไว้ในตำแหน่งช่วยงานมาโดยตลอด ไม่ใช่ในฐานะลูกน้องรับใช้ วันนี้กลับยอมภักดีจากใจ
หวังทงยิ้ม เอื้อมมือไปตบหน้าอก ยิ้มกล่าวว่า
“ไยต้องเปลี่ยนแซ่ วันหน้ายังอีกยาวไกล ที่เรามองกันไม่ใช่แซ่อะไร แต่เป็นใจคิดอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร!!”
พวกถานเจียงเงยหน้าขึ้นสบตาหวังทง ก่อนจะคำนับลงพร้อมกัน
**********
ศพและฟืนกองรวมกัน คนโรงบ้านและคนงานได้ตรวจสอบเรียบร้อย เรือที่จอดรออยู่ริมแม่น้ำก็เผาเรียบร้อย หวังทงโยนคบเพลิงลงไปด้วยตนเอง
คบเพลิงสิบกว่าท่อนถูกโยนลงไป ไฟลุกพรึ่บขึ้นทันที รอจนไฟกลืนลามไปทั่วร่าง คนงานยังคงเติมฟืนเข้าใส่ไม่หยุด เพื่อเร่งไฟให้ยิ่งโหมแรงขึ้น
กลิ่นไหม้ลอยคลุ้งกลางอากาศแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ ร่างย่อมถูกเผาจนมองไม่เห็นอะไร ไม่มีเหลือร่องรอยใดๆ ไว้
***********
วันที่ 14 เดือนสิบ ครอบครัวขุนพลหลี่ต้าเหมิ่งมาร้องเรียนทางการว่าหลี่ต้าเหมิ่งหายตัวไปไร้ร่องรอย
วันที่ 15 เดือนสิบ ราชโองการมาถึงเทียนจิน