ตอนที่ 329 ลงโทษหนัก ต่อเรือเอง
การยิงปืนใหญ่รอบสามได้ทำลายความหวังของคนบางคน แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม ปืนใหญ่กระบอกเล็กๆ แค่นี้อานุภาพทำลายล้างไม่มากเท่าไร
เหมือนว่าเสียงดังตูมตาม กลิ่นดินปืนลอยคลุ้งไปทั่วผืนน้ำ และผีโชคร้ายถูกยิงตายไปคนนั้น ก่อเกิดเสียงร้องโหยหวยและตกใจของบรรดาเรือสำปั้นเล็กๆ ขนสินค้า ผลที่ได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ปืนใหญ่ในใจทุกคนเหมือนอาวุธจากสรวงสวรรค์ ปกติแม้แต่จะได้พบเห็นยังแทบไม่มี ตอนนี้ตรงหน้ามากมายราวกับหลอมขึ้นโดยไม่ต้องใช้เงิน ทุกคนไม่เพียงแต่หวาดกลัวอย่างที่สุด แม้แต่ขยับก็ไม่กล้า
เรือใหญ่สองลำนั้นปล่อยเรือเล็กลงมา แต่ละลำมีพลทหารสิบนายพายไปข้างหน้า
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ คนเรือลำอื่นๆ ย่อมไม่ทันสังเกต ทุกคนต่างกุมหัวหมอบอยู่กับที่ พวกที่กล้าหน่อยก็วิ่งไปหาที่กำบัง
บนท้องทะเลเป็นเช่นนี้ บนผืนแผ่นดินก็เหมือนกับกำลังต้อนแกะ พลทหารม้าดำทมึนขี่โอบล้อมเข้ามา ผู้ใดกล้าต่อต้าน คนที่เหน็บดาบไว้ที่เอวต่างก็ปลดอาวุธโยนทิ้งอย่างไม่ลังเล
ไม่กล้าต่อกรด้วย เกิดถูกม้าเหยียบเป็นก้อนดินไปจะทำยังไง แต่เพ่งมองให้ดี คนที่ขี่ม้ามาจริงๆ ก็มีแค่สองร้อยกว่าเท่านั้น คนอื่นๆ ต่างพากันลงจากหลังม้าจัดเป็นแถวแล้วค่อยบุกเข้ามา
ผู้ที่สามารถพักอาศัยในหมู่บ้านชาวประมงที่แม่น้ำถังเจียนี่ได้ก็มีแต่ระดับหัวหน้าและคนสำคัญของเรือ เพราะต้องคอยให้การต้อนรับพวกพ่อค้าที่มา บางทียังมีองครักษ์คอยอารักขาสองสามคน แต่องครักษ์พวกนี้ในยามนี้ย่อมไม่คิดจะเป็นต่อ
“ทิ้งอาวุธ!”
เสียงพลทหารตะโกนดัง ในกลุ่มคนมีสองสามคนที่ได้สติไว ค่อยๆ ถอยหลบหลังฝูงชน ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีทันที
ที่รกร้างป่าเขาเช่นนี้ ขอเพียงวิ่งไปหลบตามแอ่งน้ำ บางทีพลทหารม้าพวกนี้อาจจะหาไม่เจอ ผลปรากฏว่าคนที่หนี ไม่มีพลทหารราบที่โอบล้อมเข้ามาไล่ตามไปสักคน
ขณะที่ทุกคนกำลังลังเลคิดหนีตาม พลทหารม้าก็ควบม้าเร่งติดตามออกไป ในมือยังถือธนูยาวขึ้นเล็ง ท่าทางบรรจงยิง ดอกหนึ่งผ่าอากาศไปปักด้านหลังคนผู้นั้นอย่างแม่นยำ เห็นคนที่วิ่งหนีผู้นั้นล้มลงกับพื้น
วิ่งไปสี่คน พลทหารม้าสี่นาย แค่ละคนก็แสดงความสามารถตน นอกจากลูกธนูดอกแรกยิงไป ยังมีทวนยาวพุ่งจากบนหลังม้าตามไป มีคนใช้ดาบใหญ่ตัดหัว ยังมีอีกคนใช้เชือกคล้อง พอโยนเชือกออกไปก็รัดคอผู้ที่วิ่งหนีผู้หนึ่งได้
พอรัดคอได้ ก็หยุดม้ากระชากถอยหลัง คนที่วิ่งอยู่นั้นก็ถูกกระชากลอยกลับมาตกลงบนพื้น เกรงว่าน่าจะถูกรัดคอตายไปแล้ว
การสังหารแต่ละครั้ง พลทหารบนหลังม้าก็จะตะโกนชมกัน สภาพการณ์นี้ไม่เหมือนกับการลงโทษ แต่เหมือนกับการล่าสัตว์ ทางนี้ยินดีคึกคัก แต่พวกถูกล่าแต่ละคนนั้นต่างอกสั่นขวัญแขวน ผู้ใดยังกล้าขยับ
ทางนี้หยุดยั้งไว้ได้เบ็ดเสร็จ พลทหารก็เริ่มบังคับให้ทุกคนคุกเข่าลง เห็นบรรดาเรือสำปั้นพยายามพายเรือหนี เสียงปืนใหญ่ยังคงดังตูมตามไม่หยุด เรือสำปั้นเล็กออกทะเลไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย ทุกคนก็พายไปอีกทาง เข้าไปคลองส่งน้ำก็คงปลอดภัยไร้กังวล
ไม่นานทางนี้ก็พลอยวุ่นวายตามไปด้วย เรือสำปั้นด้านหน้าพายถอยหนี เรือด้านหลังหันหัวเรือไม่ทัน ลำน้ำติดขัดแน่นขนัด เรือเล็กไม่น้อยพลิกคว่ำกลางน้ำ ผู้ใดยังสนใจสินค้าอันใดอีก ทุกคนต่างตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ ออกตัววิ่งขึ้นฝั่ง แต่เพราะเปียกน้ำจึงวิ่งได้ไม่เร็ว พลทหารม้าริมฝั่งยังไล่ตามจับ หรือคนจะวิ่งเร็วกว่าม้ากัน…
เรือสองลำเรียงกันหน้ากระดานค่อยๆ ลอยประชิดเข้าใกล้ เส้นทางน้ำบนแม่น้ำถังเจียเริ่มติดขัด ด้านหน้าเรือยังมีชายฉกรรจ์ถือไม้พลองยาว พอเห็นหัวคนผลุบขึ้นมาก็ตีหัวฟาดหน้าทันที
************
“เจ้าช่างกล้าไม่น้อย พื้นที่ห่างจากเทียนจินเพียงสามชั่วยาม พวกเจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือไง?”
ไล่บี้ไก่ต้อนแกะด้วยพลทหารม้าโอบหน้าและปืนใหญ่โอบหลังนั้นง่ายมาก ไม่นานหมู่บ้านถังเจียก็มีแค่คนคุกเข่ารอการตัดสิน แม้แค่คนบนเรือก็ถูกนำตัวขึ้นฝั่งมาคุกเข่า
หวังทงเห็นคนคุกเข่าบนพื้นหวาดกลัวตัวสั่นก็อดเสียดสีไม่ได้ พวกออกทะเลพวกนี้ย่อมผ่านความเป็นความตายมาไม่น้อย เมื่อครู่ทั้งบนบกและบนทะเลเกิดการล่าสังหารเล็กน้อย ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะหวาดกลัว
หวังทงถามไปหนึ่งคำ ทุกคนต่างพากันก้มหน้านิ่ง หวังทงแกล้งทำเป็นนึกขึ้นได้กล่าวว่า
“หรือนี่ก็คือที่เรียกกันว่าเงาดำใต้แสงตะเกียง ข้าจะมองไม่เห็นกัน!”
วาจานี้เสียดแทงยิ่ง แต่ตอนนี้เขาจะพูดอันใดก็ได้ ผู้ใดกล้าตอบรับคำ กวาดตามองไปรอบหนึ่ง หวังทงก็ยิ้มเย็นถามว่า
“พ่อค้าทุกท่าน ข้าเป็นคนพูดด้วยเหตุผล เรื่องถึงขั้นนี้ พวกท่านคิดว่าควรทำเช่นไรดี!”
นายกองพันหวังมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก แต่ทุกคนล้วนรู้ดีกว่า นายท่านผู้นี้ไม่เคยใช้อำนาจรังแกผู้ใด ขอเพียงเจ้ามีเหตุผล นายกองพันหวังย่อมต้องพิจารณาดู
เบื้องหน้าเงียบไปครู่หนึ่งก็มีคนใจกล้าผู้หนึ่งน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า
“นายท่าน พวกเราครั้งนี้ไม่ได้จ่ายภาษี ยอมโดนลงโทษ สองส่วนภาษี สองส่วนค่าปรับ พวกข้าน้อยยินยอมจ่ายค่าปรับสามส่วน…”
พอกล่าวเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างอึ้งไป ตามมาด้วยเสียงเห็นด้วย ล้วนเหมือนคนตายแล้ว สิ้นเนื้อประดาตัวแต่พ้นภัยก็ดี ครั้งนี้ก็ถือว่าซวยไปละกัน
“ยึดสินค้าที่นำมาทั้งหมด เรือทุกลำคนทุกคนให้แค่ค่าเดินทางกลับ จะเอาสินค้าออกก็ปรับแปดส่วนของราคาสินค้า คิดราคาเท่ากับสินค้าที่นำขึ้นฝั่ง!”
หวังทงกล่าวจบก็หันหลังจากไป ด้านหลังเงียบกริบ มีคนลุกขึ้นวิ่งตามไปขอร้อง แต่พอลุกขึ้นก็มีพลทหารใช้ไม้พลองยาวฟาดให้คุกเข่าลงตามเดิม
รอจนหวังทงขึ้นม้าจากไป ด้านหลังก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้น หวังทงกล่าวเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ครั้งนี้คงได้แต่สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว น่าแค้นใจตนเองที่โดนผู้อื่นล่อลวงมา แค่ต้องการเลี่ยงภาษีสองส่วน ผลปรากฏว่าถูกยึดไปหมด อีกฝ่ายยังทำได้อย่างถูกต้องสมเหตุสมผลเสียด้วย
ชาวประมงจากหลายสิบหลังคาเรือนก็ถูกนำตัวออกมา พวกเขาแยกไปคุกเข่าอีกกลุ่มหนึ่ง หวังทงขี่ม้าไปเบื้องหน้า หม่าซานเปียวตะเบ็งเสียงตะโกนดัง
“พวกเจ้าลูกเต่าบัดซบคบคิดโจรสลัด นี่มีโทษถึงประหารเก้าชั่วโคตร…อย่าตะเบ็งร้องดังกันไปเลย เห็นว่าพวกเจ้ายังพอมีความเป็นลูกผู้ชาย…ลงโทษใช้แรงงานห้าปี นี่นับว่าเบาแล้วนะ…”
แรกเริ่มบอกว่าโทษตาย จากนั้นบอกว่าใช้แรงงาน เห็นพวกที่ถูกสังหารอนาถไปก่อนหน้า ได้ยินว่าใช้แรงงานก็รู้สึกว่าโชคดียิ่งนัก ผู้ใดยังกล้าเสนอความเห็นใดอีก
หวังทงขี่ม้าเข้ามา ยกมือให้หม่าซานเปียวหยุด กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบบนหลังม้าว่า
“ผู้ใดออกทะเลจับปลา ข้ามีเรื่องจะถาม ตอบถูกละเว้นโทษ ไม่ต้องใช้แรงงาน”
วาจานี้กล่าวจบ ชาวประมงสิบกว่าคนที่คิดไวต่างก็แย่งกันยกมือ หวังทงถามว่า
“ข้าถามพวกเจ้า แม่น้ำทะเลออกทะเลแต่ละที่ที่เหมือนกับแม่น้ำถังเจียนี่มีกี่แห่ง?”
ชาวประมงสบตากัน ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว คนผู้หนึ่งดูแล้วมีอายุหน่อยกล่าวว่า
“นายท่าน มีแค่ที่นี่ ที่นี่เมื่อก่อนเกิดแผ่นดินไหวจนเป็นรอยแยก น้ำทะลักเข้ามาในแม่น้ำถังเจีย เรือจึงได้แล่นผ่านได้ ทางใต้น่าจะเป็นพื้นที่ซานตง ทางเหนือข้าน้อยก็ไม่เคยไป แต่ได้ยินคนรุ่นก่อนเล่าวว่า สามารถนำเรือใหญ่ออกไปยังเมืองหย่งผิงได้”
หวังทงดึงม้าหันกลับ หม่าซานเปียวรีบวิ่งตามไปถามว่า
“ใต้เท้า ชาวประมงพวกนี้จัดการอย่างไร ปล่อยไป?”
“เอาตัวกลับไป จัดหาที่ริมทะเลให้จับปลา พอดีเลย จะได้หาอาหารทะเลให้พวกใช้แรงงานได้กินกัน”
พระอาทิตย์ค่อนไปทางตะวันตก ละแวกแม่น้ำถังเจียระงมไปด้วยเสียงร่ำไห้ด่าทอ หวังทงขี่ม้าตระเวนดูรอบๆ พอผ่านพวกพ่อค้าที่สีหน้าสิ้นหวังพวกนั้น พวกที่กำลังตรวจนับสินค้าก็รีบก้าวยาวๆ เข้ามาถามว่า
“นายท่าน จะเอาสินค้าออกปรับแปดส่วน ทางนี้มีสามร้านที่นับสินค้ากับเงินแล้วเกรงว่าก็ยังไม่พอ ทำอย่างไรดีขอรับ?”
“กักเรือไว้ ให้พวกบนเรือใช้แรงงานชดใช้ หาเงินมาชดใช้ได้เมื่อไรค่อยปล่อยตัว!”
ได้ยินคำสั่งหวังทง เจ้าหน้าที่ก็อดบ่นพึมพัมไม่ได้ เห็นเขามีทีท่าหวาดกลัว หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“หากไม่สั่งสอน พวกเขาจำไม่ได้ พวกเขาได้กำไรอีกส่วน พวกเราก็น้อยลงอีกส่วน วันนี้ไม่สังหารก็นับว่าเมตตาแล้ว รีบไปจัดการ!”
เจ้าหน้าที่จดบัญชีรีบคำนับถอยออกไป กล่าวจบก็ได้ยินเสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้น
มีเรือสำปั้นมาจากทางทะเลลำหนึ่งจอดอยู่ พลทหารหลายนายมาพร้อมกับคนอีกสามคน คนสามคนนี้มีสองคนเหมือนพวกคนงานตีเหล็ก มีอีกคนสวมชุดขุนนางบุ๋นระดับหก แต่ท่าทางไม่ได้ดูเหมือนพวกบัณฑิตแม้แต่น้อย ชุดยาวยังเหน็บชายเสื้อไว้ที่เอว กำลังคุยกับคนงานตีเหล็กเหมือนมีอะไรน่าตื่นเต้นบางอย่าง
หวังทงมองคนเหล่านี้เดินมา ยิ้มลงจากหลังม้าเข้าไปรับกล่าวว่า
“หัวหน้าเหริน เดินทางมาทางเรือพอไหวไหม?”
หัวหน้าหน่วยจากกรมโยธาเหรินย่วนโบกมือท่าทางลำบากใจ กล่าวอย่างเกรงใจว่า
“ขอบคุณใต้เท้าหวังที่จำข้าได้ แต่เดินทางบนเรือมาหลายชั่วยาม อาเจียนไปสามรอบ ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
ตอนนี้จึงได้เห็นสีหน้าเขาไม่ดีนัก แต่ยังคงท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก เหรินย่วนตบมือทีหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า
“ปืนใหญ่ห้ากระบอกไม่ถึงพันชั่ง ยิงทีถอยหลังที ใช้เชือกมัดไว้ก็แล้ว ตัวเรือยังถูกกระแทกแตกหลายแห่ง วันนี้โชคดี หากยิงอีกสองสามทีเกรงว่าเรือคงแตก ไม่รู้ว่าพวกฟะรังคีต่อเรือยังไง เฮ้อ ไม่ออกไปดูโลกนอก เอาแต่ทำงาน ไม่ออกไปดูอะไรบ้างก็ไม่รู้เลยจริงๆ!”
“ต่างชาติสามคนนั้นไม่รู้หรือ?”
“ไม่กล้าปิดบังใต้เท้า ต่างชาติสามคนนั้นรู้เรื่องหลอมมากกว่าพวกเราก็เพราะสังเกตและขยันจึงได้รู้วิธีการอยู่หลายอย่าง ตอนนี้จับตาดูอย่างดี สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้มานั้นก็ไม่เห็นมีอันใด เรื่องบนเรือ พวกนั้นก็อธิบายได้แต่คร่าวๆ บอกว่าบนดาดฟ้ามีปืนใหญ่ ท้องเรือก็มีปืนใหญ่ แต่พอถามละเอียดก็ตอบไม่ได้”
สองคนสนทนากัน หวังทงถอนหายใจมองไปยังเรือสองลำที่ลอยบนทะเลกล่าวว่า
“หากเรามีเรือเช่นนั้น ยังต้องแสร้งแล่นไปมาด้วยหรือ ขึ้นหน้าไปปิดทางยิงเลยก็ได้”
เหรินย่วนลังเลครู่หนึ่ง ประสานมือคำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าตั้งด่านเก็บภาษี หากไม่มีเรือของตนเองเกรงว่าไม่น่าจะสะดวก พวกฟะรังคีตะวันตกมีเรือรบติดปืนใหญ่ ไม่สู้ต่อเรือเลียนแบบ…”
เห็นหวังทงเงียบไป เหรินย่วนก็ไม่ได้กล่าวต่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าหวังทงก็จริงจังขึ้นกล่าวอย่างจริงจัง
“เราต้องต่อเรือเองแล้ว!!”