Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 330

ตอนที่ 330 โลกแสนเรียบง่าย โอรสสวรรค์เบื่อหน่าย

ทะลายท่าเรือส่วนตัวที่แม่น้ำถังเจียเรียบร้อย เส้นทางน้ำเหนือใต้ก็ไม่มีท่าเรือขนส่งที่เหมาะสมอีกต่อไป คิดจะทำการค้าขายก็คงต้องมาที่เทียนจินเท่านั้น

เรือ 15 ลำถูกหวังทงปรับหนัก สินค้านำกลับไปเทียนจินเรียบร้อยก็นำออกขาย ราคาถูกว่าตลาดสามส่วน พ่อค้าทั่วเมือต่างมาแย่งกันซื้อไปหมด

ไม่ต้องกล่าวถึงการทำการค้าเช่นนี้ว่าดีอย่างไร เพราะแม้แต่ชาวเมืองหรือพ่อค้าคนผ่านไปมาทางคลองส่งน้ำต่างก็มา สินค้าชั้นดีราคาถูกได้ถึงขั้นนี้ ไม่ซื้อเรียกว่าโง่

สินค้าที่เรือ 15 ลำขนมานั้นไม่น้อยเลย มาในตอนปลายปีที่ทุกคนเหลือเงินในกระเป๋าไม่น้อยไว้เตรียมฉลองปีใหม่

ไม่กล่าวถึงว่าของในนั้นยังมีปรอท หนังกวางที่เป็นสินค้ากำไรสูงลิบ เพราะแม้ว่าจะมีกำไรเพียงส่วนเดียวที่เรียกได้ว่าน้อยมาก พ่อค้าก็ย่อมพยายามเพื่อไม่ให้ต้องขาดทุนหมด ยังต้องพยายามหาเงินทุนมาไถ่สินค้าและเรือคืน

สินค้าพวกนี้ขายหมด รวมกับภาษีที่เก็บได้ เดือนสิบเอ็ดนี้หวังทงจะส่งเงินเข้าเมืองหลวงได้ถึงหนึ่งแสนตำลึง

************

เดิมครึ่งปีหลังเงินก้อนจินฮวาจะเพิ่มเป็นหนึ่งล้านตำลึง ตอนฮ่องเต้ตรัสว่าจะทรงหาเอง ทุกคนยังคิดว่าน่าขัน ตอนนี้คิดไปคิดมา เดือนสามปีหน้าดีไม่ดีก็จะหาครบแล้ว

หนึ่งล้านตำลึง คลังหลวงมีแค่ไม่กี่ล้าน บรรดาชนชั้นสูงและขุนนางในเมืองเมืองหลวงต่างก็รู้สึกหวั่นไหว เริ่มคิดกันว่าที่เทียนจินมีภูเขาเงินภูเขาทองหรืออย่างไร ถึงกับสามารถขุดเงินทองออกมาได้มากมายเพียงนี้

ตามธรรมเนียมวงการขุนนาง จ่ายให้เบื้องบนสิบส่วน ในมือไม่มีห้าส่วนก็สามส่วน พวกละโมบหน่อยก็ยังมีอีกสิบส่วน คิดไปคิดมา หวังทงครึ่งปีมานี้มิใช่ว่าอย่างน้อยก็ต้องสามแสนตำลึงหรือนี่

หวังทงผู้นั้นพึ่งไปที่นั่น งานการแต่ละอย่างก็เพิ่งเริ่มต้น สถานะก็เป็นจับตามอง สายสืบก็มากมาย แม้ว่าเสียงด่าจากวงการขุนนางมีไม่หยุด แต่หวังทงที่เทียนจินกลับไม่ได้รับผลกระทบใด ว่ากันว่าเงินที่พวกทำการค้าต้องจ่ายน้อยกว่าเมื่อก่อนไม่น้อยอีกด้วย

ทุกอย่างนี้ล้วนบอกได้ประการหนึ่ง เทียนจินที่นั้นมีขุมทรัพย์ ขอเพียงไปถึง ย่อมมีเงินทองไหลมาเทมา ตอนนี้ได้ยินว่าแม่น้ำทะเลทางนั้นกำลังก่อสร้างขนานใหญ่ พ่อค้าไม่น้อยนำเงินไปมอบให้เพื่อขอเช่าร้านค้า การค้ามากมายเช่นนี้ที่นั่น มองอย่างไรก็มีแต่รวย

ตอนนี้ในเมืองหลวงมีคนเบื่อหน่ายชีวิตคิดจะลองไปดูที่นั่นสักครั้ง หวังทงอวบอ้วนจริง เนื้อชิ้นงามนี้งอกบนกายพยัคฆ์ ผู้ใดกล้าไปแตะต้อง แต่หากคิดลองโยนเงินลงไปหาความรวยบ้างก็ย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวาง

คิดให้ยาวไกลอีกหน่อย ก็รู้ว่าเทียนจินเปิดทะเล สินค้าทางใต้จำนวนมากก็จะเข้ามาทางทะเล หากไม่ถือโอกาสนี้เปิดเส้นทางเงินทองเสียบ้าง มารอลงมือตอนสายไป เกรงว่าไม่ใช่แค่กำไรจะไม่ได้ ยังต้องเสียเปรียบใหญ่ไปอีกด้วย

พวกคหบดีเมืองหลวงต่างก็คิดเช่นนี้ เมืองหลวงหัวไวคิดได้ ที่อื่นก็มิได้โง่ ทางซานตง จี้หนาน จี้หนิง และเป่าติ้งที่เขตปกครองเหนือ แม้แต่คนที่ซานซีกับเหอหนานเองก็ได้ข่าวนี้มา ทุกคนล้วนอยากมาดูที่เทียนจินสักครา ตอนนี้เส้นทางร่ำรวยหาเงินได้มีมากเพียงนี้ เมืองเทียนจินย่อมเป็นเส้นทางอาบไปด้วยแสงทองของทุกคน ไม่มาใช่ว่าดูถูกใต้เท้าหวังงั้นหรือ

************

คนตระกูลถานสิบกว่าคนติดตามหวังทงมาได้เกือบสองปีแล้ว ล้วนทำหน้าที่หัวหน้าครูฝึกกองกำลังหู่เวย ด้วยประสบการณ์และยุทธวิธีรบที่มากมายของพวกเขา ควรได้เป็นขุนพลกันตั้งนานแล้ว

แต่หวังทงกลับไม่มอบตำแหน่งอะไรให้ ให้เป็นเพียงตำแหน่งหัวหน้าครูฝึก จนถึงเดือนสิบเอ็ดที่สังหารหลี่ต้าเหมิง จึงได้ให้คนตระกูลถานนำกองกำลัง

ให้ตำแหน่งที่เรียกว่ารองหัวหน้าค่าย รับหน้าที่ฝึกพลทหารม้าและช่วยบรรดาหัวหน้าค่ายในการต่อสู้ การจัดการเช่นนี้แปลกไปหน่อย ควรต้องรู้ว่าหัวหน้าค่ายของทั้ง 20 ค่าย เกือบทั้งหมดเป็นคนที่หวังทงและนายทหารตระกูลถานฝึกขึ้นมา ยามปกติก็ทำความเคารพแบบครูกับศิษย์

แปลกก็ส่วนแปลก คนตระกูลถานกลุ่มนี้อายุน้อยสุดก็ 33 ปียังยอมรับการจัดการเช่นนี้ เมื่อก่อนหวังทงแม้แต่ทหารสักคนก็ไม่ยอมให้พวกเขาสั่งการ ตอนนี้เท่ากับยอมรับพวกเขาไว้เป็นคนสนิทแล้ว

ขุนพลอวี๋ต้าโหยวกำลังวังชาค่อยๆ ถดถอย แต่ยังมุ่งมั่นทำงานหนักทุกวัน นอกจากจับตาดูการฝึกทหารแล้ว ทุกวันจะเรียกพวกหัวหน้าค่ายมาเล่าเรื่องการทำศึกสงครามให้ฟัง

คนแก่อายุมากแล้ว พูดจาก็ย่อมวกไปวนมา แม้แต่อวี๋ต้าโหยวก็ย่อมหนีไม่พ้น คนที่รู้สึกเบื่อคนแรกๆ ก็คือหลี่หู่โถว

“ทุกวันถือทวนขี่ม้าฝึกหนักแบบพวกทหารนั่นน่าสนใจว่า วันๆ ฟังแต่ท่านปู่อวี๋เล่านั้นนี่ทำไมกัน!”

เขากล่าวกับหวังทงเช่นนี้ คำตอบของหวังทงง่ายมาก ก็คือตบท้ายทอยอย่างแรง หลี่หู่โถวใจร้อน อายุยังน้อย จะให้นั่งเงียบๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา เมื่อก่อนตอนฟังหวงหยางสอนที่ลานฝึกหู่เวย เขาเองก็มีทีท่าเช่นนี้

“ใต้เท้าอวี๋เล่าอะไร เจ้าฟังแทนข้าให้ดี จดเอาไว้ วันใดถามแล้วเจ้าตอบไม่ได้ ข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงไปปฏิบัติงานกับบิดาเจ้าซะ!”

หวังทงขู่สำทับไปหนึ่งประโยค หลี่หู่โถวได้นำกำลังหู่เวยออกต่อสู้ที่เทียนจิน แม้ว่าทุกวันจะเหนื่อยและแห้งแล้ง แต่เขากลับรู้สึกมีความสุขมาก

กล่าวกันตามตรง กลับเมืองหลวงไปดูแลถนนทักษิณ สังกัดกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรประจำสำนักรักษาความสงบ สบายกว่าที่นี่มาก แต่ทว่าหลี่หู่โถวตั้งแต่โตมาก็ชอบชีวิตแบบทหาร ไม่ชอบทำตามความต้องการที่แสนเข้มงวดของหลี่เหวินหย่วน ดังนั้นการขู่นี้ได้ผลมาก ท่าทีเรียบร้อยขึ้นทันที

ต่อมาหวังทงจึงได้รู้ว่า พวกนักเรียนที่มาจากลานฝึกหู่เวยอย่างพวกลี่เทา ซุนซิงและคนอื่นๆ ล้วนไม่อยากฟังการสอน ดังนั้นจึงยุหลี่หู่โถว

จึงต้องเรียกเด็กพวกนี้มาด่าไปยกหนึ่ง

วันเวลาของกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรก็ผ่านไปอย่างเงียบสงบยิ่งนัก เรือทะเลไม่กล้าหาช่องทางหลบ ยอมเทียบท่าขนถ่ายสินค้าแต่โดยดี พร้อมจ่ายภาษีครบ

การก่อสร้างริมแม่น้ำทะเลก็ก้าวหน้าไปทีละขั้น นับวันจะยิ่งเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น พ่อค้าจากต่างเมืองก็ทยอยมากันมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนล้วนได้เห็นว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าทางใต้และตะวันตกที่สมบูรณ์ที่สุดในตอนเหนือ และเช่นกัน เมื่อเห็นพ่อค้าพากันมาที่นี่ ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าที่นี่เป็นโอกาสทางการค้าที่ยิ่งใหญ่

การฝึกทหารม้าก็ไม่ต่างกัน ด้วยความกังวลคิดรอบด้านมากไป กองพันองครักษ์เสื้อแพรจึงไม่รับทหารเพิ่มอีก แต่อาวุธยุทโธปกรณ์นั้นพัฒนาไม่หยุด ปฏิบัติการที่แม่น้ำถังเจียครั้งนั้นทำให้หวังทงรู้ถึงความสำคัญของม้าในการเคลื่อนที่เร็ว เขาจึงเริ่มซื้อม้าจากพ่อค้าแต่ละที่

แต่ตลาดม้าจากซานตงและเหอหนานเป็นตลาดปิด คิดจะซื้อม้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เรื่องนี้จึงได้แต่ผ่อนไปก่อน

***********

ใต้หล้าดำเนินต่อไปตามปกติ กับเทียนจินเองก็ล้วนเดินไปตามปกติเช่นกัน ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกเบื่อขึ้นมา

เมืองเทียนจินที่แต่ไรมามักมีเรื่องสนุกใหม่ๆ หลังจากสนุกกับเรื่องล้อมจับพวกพ่อค้าหนีไปขึ้นท่าอื่นแล้ว ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ รายงานที่ส่งขึ้นมาตรงตามเวลากำหนด ไม่ใช่เรื่องฝึกทหารก็เรื่องเก็บภาษีได้เท่าไร วันนี้มีเรือทะเลแล่นเทียบท่ากี่ลำ การก่อสร้างวันนี้เป็นอย่างไร

เรื่องพวกนี้กับเรื่องที่เกิดในที่ประชุมทุกวันล้วนเหมือนกัน แม้ว่านลี่จะรู้ว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมาก แต่ก็ไม่อาจทำให้ทรงรู้สึกสนใจได้

ใต้หล้ามีเสด็จแม่ เฝิงต้าปั้นและท่านจางคอยจัดการ เมืองเทียนจินก็ดำเนินไปเรียบร้อยดี ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เรียนรู้การจัดการใต้หล้า มีความสามารถจัดการสมดุลขุนนาง เหตุใดจึงไม่อาจแสดงความสามารถได้ สิ่งที่ทำได้มีแต่การนั่งอยู่ตรงนั้นเท่านั้น

ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระชนมายุ 15 ชันษาเท่านั้น ในเมื่อน่าเบื่อก็ต้องหาเรื่องสนุกทำ

ฮองเฮาที่มีพระอุปนิสัยน่าเบื่อ ความเรียบร้อยเงียบขรึมย่อมไม่อาจทำให้ทรงรู้สึกสนพระทัยได้ หากไม่ใช่ไทเฮาทั้งสองพระองค์จับตาดูอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่คงถึงขั้นไม่ยอมบรรทมด้วยเป็นแน่

ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่เองก็รู้สึกได้ว่างานอภิเษกนี้ก็ไม่เลว เพราะหลังงานอภิเษก จากที่เมื่อก่อนต้องไปเข้าเฝ้าไทเฮาทุกเช้าและค่ำ ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว สามารถจัดการเวลาให้พระองค์เองได้มากขึ้น ในที่สุดเขาก็สามารถทรงคิดเรื่องที่ต้องการทำได้แล้ว

เมืองหลวงแม้ว่าใหญ่แต่ก็แค่นั้น จะออกไปเดินเล่น แต่ถนนทักษิณตั้งแต่ไม่มีหวังทงและลานฝึกหู่เวยก็ไม่ต่างอันใดกับในวัง

หลังจากฮ่องเต้ว่านลี่มีอิสระ เวลาส่วนใหญ่ก็ขลุกอยู่ที่ห้องทรงอักษรอ่านเอกสารแต่ละที่แม้ว่าน่าเบื่อ แต่การออกไปเดินเล่นแต่ละที่ก็ไม่น่าสนุกสักเท่าไร

วันที่ 24 เดือนสิบเอ็ด เมืองหลวงมีหิมะตกรอบสามในฤดูหนาวนี้ เป็นรอบที่ตกหนักที่สุด หลังจากผ่านไปสองวันหนึ่งคืน กลางดึกหิมะก็หยุดตก ลานหน้าห้องทรงอักษรหิมะสูงเกือบถึงเข่า แน่นอนว่าหากไม่ใช่ว่านลี่รับสั่ง ที่นี่ก็คงได้กวาดสะอาดไปนานแล้ว

แสงไฟห้องทรงอักษรสว่างไสว ฮ่องเต้ว่านลี่อ่านรายงานจากหวังทงในห้องทรงอักษรเพียงพระองค์เดียว จางเฉิงก็ไม่อยู่ เพราะใกล้สิ้นปี สำนักส่วนพระองค์และหกกรมกองต่างก็ต้องคำนวณรายการใช้จ่ายทั้งปีที่ผ่านมา พวกขันทีและบัณฑิต รวมถึงเสนาบดีทั้งหลายที่ปกติก็อยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย พอมาถึงตอนสรุปยอดตั้งงบใหม่ต่างก็มักจะเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ทะเลาะกันจนไม่ยอมให้กัน แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าละเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรปีนี้ทุกคนต้องรับผิดชอบว่าใช้ไปเท่าไร ปีต่อมาต้องการใช้เงินเท่าไร

พวกเฝิงเป่า จางเฉิงและจางหงทุกคืนก็ล้วนดึกดื่น พวกจางจวีเจิ้ง จางซื่อเหวยและเซินสือหังก็เช่นกัน มีแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่สุขสงบ ไม่มีเรื่องใดให้ต้องยุ่งวุ่นวายให้หนักพระทัย แม้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นก็มีไทเฮาฉือเซิ่งคอยตัดสิน

“ฝ่าบาท สำนักอาชาหลวงซุนไห่กงกงขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”

เจ้าจินเลี่ยงถวายรายงานเบาๆ ด้านนอก ว่านลี่ที่กำลังถูกตัวเลขรายรับเทียนจินทำเอาสายพระเนตรตาลายไปหมดก็อึ้งไป มหาขันทีสำนักอาชาหลวงซุนไห่เป็นญาติกับไทเฮาเหรินเซิ่ง เขามาทำไมกัน?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!