Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 333

ตอนที่ 333 หลี่ซานไฉแห่งสมาคมซูโจว

เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีขุนนางอยู่มากที่สุด ทั้งตำแหน่งใหญ่และเล็ก ขุนนางในราชวงศ์หมิงมีมาจากทั้งเขตปกครองเหนือและใต้ และอีก 13 มณฑล

นอกจากนี้การสอบที่สำคัญที่สุดสำหรับบัณฑิตทั้งหลายในใต้หล้าก็ยังจัดขึ้นที่เมืองหลวง บัณฑิตมีความรู้ทั้งหลายต่างมารวมตัวกันที่เมืองหลวง แม้ว่าจะเป็นเพียงสองสามปีครั้ง แต่ทุกคนสามารถเตรียมตัวสอบได้อย่างสบายใจในเมืองหลวง และยังสามารถเดินทางมาพร้อมกับสหายที่บ้านเกิด บางทีอาจครั้งเดียวก็สอบติด หรือหากสอบตกยังมีโอกาสสอบอีก…

แผ่นดินจีนสืบต่อมาหลายพันปี มีประเพณีหนึ่งสืบทอดกันมาต่อเนื่อง นั่นก็คือให้ความสำคัญกับคนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน คนๆ หนึ่งเดินทางรอนแรมมาผู้เดียว ไม่มีญาติมิตรดูแล ดังนั้นหากได้ยินสำเนียงคนบ้านเดียวกัน ก็จะรู้สึกผูกกันกันอย่างมาก

ทุกคนต่างรอนแรมมาต่างบ้านต่างเมือง คนบ้านเดียวกันก็ย่อมช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ดูแลกันและกัน

นานวันเข้าวงการขุนนางและชาวบ้านก็เริ่มแยกจับกลุ่มตามบ้านเกิด ชาวบ้านยังดี หากขุนนางกลับเกิดปรากฏการณ์แบ่งฝ่ายขึ้น

อาจกล่าวได้ว่า การที่ฐานอำนาจของมหาอำมาตย์ รองอำมาตย์หรือสำนักส่วนพระองค์มาจากที่ใด ก็ย่อมพาคนบ้านเกิดเดียวกับตนเข้ามารับตำแหน่งด้วย นานวันเข้าพวกบ้านเดียวกันก็ร่วมมือกัน รวมตัวเป็นพรรคเป็นพวกกัน รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน

ในเขตปกครองเหนือและใต้สองเขตและ 13 มณฑลนี้ แม้ว่าจะมีบัณฑิตระดับจวี่เหรินอยู่ทุกแห่ง หากแต่ละแห่งมีฐานะการเงินต่างกัน คนที่สามารถมีเงินทองเรียนหนังสือได้ก็ไม่เท่ากัน

ทางตอนเหนือ ลูกหลานพวกเจ้าของที่ระดับกลางและล่างอาจจะต้องใช้แรงงานทำนา แต่พวกทางใต้ ชาวนาที่ร่ำรวยอาจจะให้ลูกได้เรียนหนังสือ เช่นนี้ย่อมทำให้อัตราส่วนขุนนางเกิดการเปลี่ยนแปลง

ขุนนางจากเมืองหลวงมาจากเขตปกครองใต้มากที่สุด มีมาจากเมืองซูโจว เมืองฉางโจวและเมืองซงเจียงมากที่สุด รองลงมาก็จากมณฑลเจ้อเจียงที่มาจากเมืองหังโจว เมืองเจียซิงและเมืองหูโจวสามเมืองนี้มากที่สุด อันดับถัดมาจึงจะเป็นพวกจากแถบหูกว่างและกวางสีที่มีอัตราส่วนพอกัน

แต่ละเดือนในทุกปีจะมีบัณฑิตจำนวนมากจากสถานที่เหล่านี้เข้าเมืองหลวง บางคนพักอาศัยในเมืองหลวงยาวไป พวกเขาย่อมพูดสำเนียงเดียวกัน ช่วยเหลือกัน กลายเป็นฐานอำนาจใหญ่

บัณฑิตพวกนี้มีอัตราความสำเร็จในการสอบติดสูงมาก นอกจากนี้ยังมีขุนนางหรือกองหนุนที่คอยดูแลคนบ้านเดียวกัน หรือไม่ก็พวกสมคบคิดเล่นพรรคเล่นพวกกัน หรือไม่ก็เห็นว่าพวกเขามีฐานอำนาจมากจึงหาทางคบค้าสมาคมด้วย

ขุนนางไม่ว่าในราชสำนักหรือด้านนอกก็ย่อมคบคิดกัน กลายเป็นกลุ่มอำนาจทรงกำลัง

สถานที่ที่กลุ่มเพื่อนมารวมตัวกันจัดกิจกรรมก็คือสมาคม ตอนเริ่มแรกพวกที่มาเมืองหลวงสอบขุนนางหรือทำการค้าคิดถึงสายสัมพันธ์คนบ้านเดียวกัน พวกเขาก็เชื้อเชิญกัน ระดมทุนซื้อที่พัก เพื่อให้พวกที่เข้ามาสอบหรือทำการค้าที่เมืองหลวงได้พักอาศัย ต่อมาก็กลุ่มก้อนก็ค่อยๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้น

ทุกวันนี้สมาคมได้กลายเป็นสถานที่รวมผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทุกคนต่างมาคุยเรื่องการเมือง ร่ายบทกวีและเขียนบทความกันที่นี่ เรื่องที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วในเมืองหลวงล้วนเริ่มจากที่นี่

คำพูดของพวกเขาและฎีกาขุนนาง ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า “คำวิพากษ์จากบัณฑิต” เป็นพลังประชาชนที่สำคัญยิ่ง แม้ว่าเป็นเพียงเสียงจากขุนนางระดับล่างและพวกบัณฑิตธรรมดา แต่สำหรับขุนนางใหญ่หรือแม้กระทั่งมหาอำมาตย์ หรือโอรสสวรรค์ก็ไม่อาจมองข้าม

***********

เข้าสู่เดือนสิบสอง เรื่องฉลองปีใหม่ก็ให้คนระดับล่างไปจัดการ เรื่องงานราชการก็เริ่มเบาลง ทุกคนไม่มีอะไรทำ ก็ได้แต่ไปเยี่ยมญาติสนิทมิตรสหาย ร่วมวงสนทนาเรื่องสัพเพเหระ

สมาคมซูโจวในความเป็นจริงนับได้ว่าเป็นสมาคมของเขตปกครองใต้ เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่รุ่งเรืองที่สุดของเมืองหลวงทางฝั่งประตูเสวียนอู่เหมิน มองภายนอกก็เหมือนคฤหาสน์คหบดีใหญ่

ที่นี่คือสถานที่ที่คึกคักที่สุดในบรรดาสมาคมทั้งหมด ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเขตปกครองใต้ทั้งซูโจว ฉางโจวและซงเจียงก็ล้วนมีขุนนางมาจากพื้นที่นี้มากที่สุด สมาคมก็ย่อมครึกครื้นไปด้วย

วันที่ 11 เดือนสิบสอง สมาคมซูโจวครึกครื้นอย่างมาก มีขุนนางเข้าๆ ออกๆ ส่งเสียงทักทายกันไม่หยุด ในห้องโถงด้านในทุกจุดมีแต่คนหน้าตาคุ้นเคยนั่งดื่มชาไปพลางคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปพลาง หากไม่รู้วันเวลายังคิดว่าเป็นวันปีใหม่แล้ว

เวลาอาหารกลางวันเพิ่งผ่านพ้นไป ด้านนอกมีคนตะโกนรายงานดังมา คนในห้องทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นยืน พากันทักทายผู้ที่มาถึงด้วยความกระตือรือร้น

“พี่เต้าฝู่ วันนี้ทำไมจึงว่างมาที่นี่กัน?”

“นัดกับสหายไว้แล้วว่าจะมารวมตัวกันที่นี่”

“เต้าฝู่ หลายวันนี้ไม่เจอกันเลย วันหน้าพี่ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงสุราอาหารเจ้าที่หอฝูโซ่วตรอกหนิวหม่านะ”

“พี่รองเกรงใจไปไย หากก็นัดเวลามาได้ ข้าจะต้องไปร่วมดื่มเป็นแน่”

“ใต้เท้าหลี่!! พี่น้องข้ามาถึงเมืองหลวง หากไม่ได้ใต้เท้าคอยดูแล คงได้ป่วยตายกันในโรงเตี๊ยมไปแล้ว บุญคุณของพี่ท่าน พวกเราพี่น้องจะไม่มีวันลืม ขอโขกศีรษะคำนับท่าน”

“ลุกขึ้น รีบลุกขึ้น ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต ช่วยกันยามยากก็สมควรแล้ว พวกเจ้าพี่น้องวางใจเข้าสอบเถอะ มีความลำบากใดก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ”

พอคนผู้นี้เข้ามา ดูเหมือนว่าทุกคนมีเรื่องอยากจะพูดกับเขา ทุกคนล้วนแสดงความปรารถนาดีกับเขา ผู้ใดสามารถพูดคุยอะไรกับผู้ที่เข้ามาได้ ก็จะมีสีหน้าเหมือนได้รับเกียรติยิ่งใหญ่ สีหน้าเปล่งประกาย

แต่คนผู้นี้ก็ดูธรรมดา ไม่มีอะไรมากไปกว่าชายอ้วนวัยกลางคน อายุอย่างมากไม่เกิน 35 สวมชุดยาวลำลองแบบบัณฑิตสีฟ้า ใบหน้ายาวไปหน่อย หากดวงตาไม่ใหญ่นักของเขากลับเหมือนมีประกายวาว

ตั้งแต่เข้าประตูห้องโถงมา คนผู้นี้ค่อยๆ เดินช้าๆ ทุกคนล้วนเข้ามาทักทาย เขายังทักทายทุกคนด้วยสีหน้านุ่มนวล ไม่มีความหยิ่งยโสหรือหงุดหงิดแม้แต่น้อย เขาประสานมือคำนับได้อย่างมีมารยาทยิ่ง ไม่ละเลยผู้ใดแม้แต่ผู้เดียว

เมื่อคนผู้นี้เข้ามาในห้องโถงด้านใน ความครึกครื้นด้านนอกจึงได้สงบลง ทุกคนต่างหันกลับไปนั่งคุยเรื่องของตนกันต่อ มีคนเข้ามาใหม่กระซิบถามว่า

“พี่ชาย คนผู้นี้คือผู้ใดกัน เต้าฝู่? ใต้เท้าหลี่? ไม่เคยได้ยินชื่อ จะว่าไปฟังสำเนียงแล้ว เหมือนว่ามาจากเมืองซุ่นเทียน?”

“ผู้นี้ก็คือใต้เท้าหลี่ซานไฉ ขุนนางนอกราชการแห่งกรมอากรประจำซานตง เป็นผู้ที่ชอบให้ความช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากในเมืองหลวงที่สุด เป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งไม่เห็นแก่เงินทอง…”

กล่าวถึงตรงนี้ คนด้านข้างก็แทรกขึ้นว่า

“ใต้เท้าหลี่เป็นบัณฑิตระดับจิ้นซื่อในรัชสมัยว่านลี่ที่ 2 เป็นขุนนางระดับหนึ่งในวงการขุนนางเมืองหลวง หลายปีนี้มีชื่อเสียงมาก ในเมืองหลวงล้วนว่ากันว่าใต้เท้าหลี่เป็นเสาหลักของราชสำนัก ใต้เท้าหลี่สนิทสนมกับพวกบัณฑิตจากเขตปกครองใต้ เช่นนั้นพวกเราก็พลอยมีหน้ามีตาไปด้วย!”

***********

นอกห้องโถงของสมาคมซูโจว มีที่หนึ่งเป็นที่นั่งเหมือนกับหอสุรา โถงกลางมีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ รอบด้านเป็นห้องส่วนตัวเล็กๆ พวกที่พอมีสถานะก็จะคุยและพักผ่อนกันอยู่ในนั้น

ห้องที่ใต้เท้าหลี่ซานไฉ ขุนนางนอกราชการแห่งกรมอากรประจำซานตงนั่งอยู่นั้นเปิดประตูกว้าง มีคนอยากรู้อยากเห็นเข้าไปนั่งใกล้ๆ คิดจะฟังว่าบุคคลระดับนี้คุยเรื่องใด

“พี่อวิ่นเจินไปรับตำแหน่งที่ทงโจวครานี้ต้องออกเดินทางในฤดูหนาว เส้นทางเดินทางยากลำบาก น้องไม่กล่าวอันใดให้มากความ ขอดื่มอวยพรให้พี่เดินทางปลอดภัย!”

หลี่ซานไฉยกจอกขึ้น อีกฝ่ายที่อายุใกล้เคียงกับเขาก็ยกจอกขึ้น สองฝ่ายดื่มจนหมดจอก ผู้ที่ถูกเรียกว่าอวิ่นเจินถอนหายใจกล่าวว่า

“ตรากตรำร่ำเรียนตำรามาก็คิดว่าจะได้รับใช้ในราชสำนัก ช่วยแบ่งเบาพระราชกิจ คิดไมถึงว่าจะไม่เป็นดังหวัง มาได้ตำแหน่งนี้เอา ต้องไปคบค้ากับพวกรับเงินสกปรกพวกนั้น”

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้พี่อวิ่นเจินเป็นขุนนางในราชสำนักหรือขุนนางท้องที่ ก็มีฮ่องเต้เป็นนายเช่นกัน จิตใจมุ่งมั่นหลักคำสอนปราชญ์เมธี อยู่ที่ใดก็เหมือนกัน”

หลี่ซานไฉกล่าวเหตุผลด้วยสีหน้าจริงจัง อวิ่นเจินลุกขึ้นยกจอกสุราคำนับกล่าวว่า

“พี่เต้าฝู่กล่าวเช่นนี้ราวกับเป็นคำเตือนสติข้า เป็นข้าที่เลอะเลือน”

คนอื่นฟังกันอยู่ด้านนอก ล้วนแอบยกนิ้วชมเชย เว่ยอวิ่นเจินเดิมเป็นหัวหน้ากองกรมอาญา ปีก่อนได้รับหน้าที่ไปดูแลการขนส่งเกลือที่แม่น้ำไหวเหอทางใต้

เห็นได้ว่าเป็นเพราะขุนนางผู้นี้ไม่อาจอยู่ปฏิบัติงานในราชสำนักต่อ จึงได้รู้สึกเป็นกังวล แต่ใต้เท้าหลี่ซานไฉกลับตักเตือนเช่นนั้น ช่างเป็นผู้มีปัญญาเลิศ มองการณ์ไกล เป็นนักปราชญ์แท้จริง!

ตำแหน่งที่เว่ยอวิ่นเจินนั่งนี้หันหลังให้ประตูด้านนอก คนด้านนอกย่อมมองไม่เห็นสีหน้าใต้เท้าผู้นี้ว่าเต็มไปด้วยความยินดี ไม่อาจระงับความดีใจทีอัดแน่นอยู่ภายในไว้ได้

หลังจากดื่มไปสักพัก ทุกคนคุยสัพเพเหระกันไป มีคนกล่าวถึงเทียนจิน ทุกคนเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องเทียนจินกันทันที

“เทียนจินเหตุใดพอเจ้าแซ่หวังนั่นไปถึงจึงได้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนั้นได้ หลายปีก่อนประชาอยู่เย็นเป็นสุขดีไม่ใช่หรือ พอหวังทงไปถึงก็ทำตัวยิ่งใหญ่เทียมฟ้า กดขี่จนประชาลุกฮือ จึงได้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น”

“ข้ามีญาติหลายคนอยู่ที่เทียนจิน พวกเขาหนีภัยมาเมืองหลวงกัน บอกว่าหวังทงวันนั้นหลบศีรษะอยู่แต่ในจวนไม่กล้าออกไป ต้องรอให้ใต้เท้าคนอื่นๆ ออกไปเจรจาอยู่เป็นนาน จึงทำให้พวกชาวบ้านสลายตัวไป แต่พอจบเรื่อง หวังทงนั่นก็ออกมาจับกุมยกใหญ่ อ้างว่าก่อการร้ายสังหารกวาดล้างไปหมด ก็ไม่รู้ว่าตายอนาถไปเท่าไร หลายวันก่อน ใต้เท้าหลายท่านที่เทียนจิน บ้างก็เสียสติ บ้างก็เสียชีวิต ไม่ใช่เพราะเจ้าหวังทงให้ร้ายใส่ความหรอกหรือ เลวจริงๆ เลวยิ่งกว่าสัตว์!!!”

ยิ่งพูดอารมณ์ก็ยิ่งรุนแรง คนด้านนอกก็ไม่สนใจมารยาทอีกต่อไป พากันมามุงด้านนอกฟังกันอย่างตั้งใจ คนไม่น้อยแสดงสีหน้าโกรธแค้น

ในตอนนั้นเองก็มีคนอายุมากหน่อยกล่าวขึ้นว่า

“ทุกท่านโปรดระวังวาจา หวังทงยามนี้เป็นขุนนางคนสนิทฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นท่านจางเอาผิดหลายครั้ง เขาเป็นแค่นายกองพันตัวเล็กๆ จะรอดไปได้อย่างไร ทุกท่านโปรดอย่าได้กล่าวอันใดต่อเลย จะได้ไม่มีภัยมาถึงตัว หลายปีมานี้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยังไม่เป็นบทเรียนอีกหรือ?”

มีคนกล่าวเช่นนี้ คนด้านในและด้านนอกก็คิดถึงคดีต่างๆ ในเมืองหลวงแล้วก็คิดถึงท่าทีปกป้องของฮ่องเต้ ทุกคนก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง

“เหลวไหล ข้าร่ำเรียนคัมภีร์ปราชญ์เมธีมา เป็นขุนนางแห่งราชวงศ์หมิง หากต้องมาคอยยำเกรงคนเลวระดับนี้ ไหนเลยจะไม่รู้สึกผิดต่อคุณธรรมในใจข้า ไม่รู้สึกผิดต่อเบี้ยหวัดราชสำนัก ไม่รู้สึกผิดต่อฮ่องเต้ ไม่รู้สึกผิดต่อแผ่นดินได้อย่างไร แผ่นดินนี้เลี้ยงดูข้าต่อไปจะมีประโยชน์อันใด ต้องให้ประชาใต้หล้าได้รู้ว่า พวกเรามีความมุ่งมั่น แม้ว่าหวังทงจะมีอำนาจล้นฟ้า เราก็ต้องต่อสู้สุดชีวิต ยอมสละชีพ ต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม!!”

หลี่ซานไฉกล่าววาจาองอาจกล้าหาญ คนด้านในและด้านนอกต่างเงียบกริบ ก่อนจะตะโกนชมเชยเสียงดังสนั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!