ตอนที่ 34 ปฏิบัติงานนายกองธงใหญ่
เขาโค้งคำนับ แต่อีกสามคนกลับไม่สนใจ ผู้บัญชาการกององครักษ์เสื้อแพรโบกมือไล่คนอื่นๆ ในร้านเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเจ้าถอยไปก่อน”
พ่อครัวลูกจ้างในร้านเห็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไหนเลยจะกล้าอยู่ต่อ รีบจ้ำออกไปทันที ตอนออกไปต่างพากันเหลือบมองหวังทงที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกกังวล เถ้าแก่เราได้พบกับผู้อุปถัมภ์แล้ว โชควาสนานี้น่าอิจฉาเป็นอย่างมาก!
พอชายเครายาวในชุดบัณฑิตนั่งลงตรงหน้า ผู้บัญชาการกององครักษ์เสื้อแพรและลุงเถียนก็เข้ายืนอยู่เบื้องหลัง ชายเครายาวผู้นั้นได้ยินหวังทงเรียกขานตนเองว่า ‘หัวหน้าหน่วย’ ก็ขมวดคิ้วผินหน้าไปถามว่า
“โสวโหย่ว ไม่ใช่นายกองธงใหญ่หรือ เรื่องเลื่อนขั้นยังจัดการไม่เรียบร้อยหรือ?”
คำพูดนี้ยิ่งเป็นที่ยืนยันว่าการวิเคราะห์ของหวังทง ผู้บัญชาการกององครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบันคือหลิวโสวโหย่ว บุตรชายขุนนางผู้ใหญ่ในรัชสมัยเจียจิ้ง บุตรหลานจากครอบครัวตระกูลชั้นสูง
“เรียนใต้เท้า หนังสือจากกององครักษ์จะออกในวันนี้ นายกองพันโจวหลินปิ่งได้ถ่ายทอดคำสั่งไปทางนายกองร้อยเถียน…คาดว่าใกล้จะมาถึงแล้ว”
ผู้บัญชาการกององครักษ์เสื้อแพรก็เป็นตำแหน่งสูงส่งแล้ว ชายเครายาวสามารถออกคำสั่งเรียกใช้ราวกับข้าทาสบริวารเช่นนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ผู้ใดกันแน่
หลิวโสวโหย่วเห็นหวังทงที่ยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ก็มองไปที่ชายเครายาวเบื้องหน้าพลางรีบกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า
“ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ลุกขึ้นพูดตอบข้า”
หวังทงรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด ร่างกายลุกขึ้นราวกับเครื่องจักร ชายเครายาวผู้นั้นหรี่ตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“รูปร่างสูงใหญ่จริง ดูไม่ออกว่าอายุแค่ 13 ปี หวังทง ข้าถามเจ้า หากให้เจ้ารับใช้เจ้านายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง หากเจ้านายทำผิด เจ้าจะทำเช่นไร!?”
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ หวังทงกลับตอบกลับด้วยสติที่สมบูรณ์ ตอนสัมภาษณ์งานในยุคนั้น คำตอบเช่นนี้ก็ท่องจนคุ้นเคยอย่างดี แต่เวลานี้กลับไม่อาจตอบกลับด้วยคำพูดน่าตกใจเหล่านั้น คำพูดน่าตกใจที่เป็นการลงเดิมพันหนัก เดิมพันถูกก็ดีไป หากผิด สถานการณ์เบื้องหน้านี้ก็คงนำมาซึ่งภัยถึงแก่ชีวิต
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเป็นทหารในกอง ทุกเรื่องล้วนปฏิบัติตามคำสั่ง กฎธรรมเนียมราชวงศ์หมิง กฎเกณฑ์กำหนดให้ข้าน้อยปฏิบัติเช่นไร ข้าน้อยก็จะปฏิบัติเช่นนั้น!”
คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ชายเครายาวไม่ค่อยถูกใจนัก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก้มหน้าลงถามอีกหนึ่งคำถามว่า
“หากเจ้านายผู้นั้นกำลังมีอันตรายถึงชีวิต เจ้าในฐานะองครักษ์ติดตามจะทำอย่างไร”
“จะพยายามทุกวิถีทางสุดความสามารถ แม้ต้องสละชีพก็จะไม่รอช้า”
ได้ยินหวังทงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ชายชราลุกขึ้นยืนทันที่ หันกายหมายจากไป ลุงเถียนและผู้บัญชาการกององครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วก็รีบติดตามออกไป
หวังทงยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็คุกเข่าน้อมส่ง ตอนศีรษะโขกพื้นก็ได้ยินเสียงชายเครายาวกล่าวเสียงดังชัดกังวานว่า
“ไม่นับว่าชั้นเลิศ แต่ก็พอใช้การได้!!”
รอจนเสียงม่านปิดลง หวังทงจึงได้ลุกขึ้นยืนทื่อ ในใจคิดว่ายังไงก็มีลุงเถียนที่รู้จักกัน เรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นหลายวันนี้ยังพอที่จะสอบถามได้
เป็นเรื่องที่วางแผนกันมาก่อนจริง ชายเครายาวกับผู้บัญชาการกององครักษ์เสื้อแพรและคนอื่นๆ จากไปไม่นาน ลูกค้าในร้านก็มากขึ้นมาอีกครั้ง หวังทงนั่งอยู่ที่มุมร้าน ในมือหมุนดินสอถ่านไปมาอย่างเหม่อลอย ไม่ทันสังเกตว่าขันทีและองครักษ์ในวังที่เข้ามาแต่ละคนมองมาทางเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง ยังมีอีกมากที่ยังมีความแปลกใจใคร่รู้
ผ่านไปไม่นาน จางซื่อเฉียงก็ซื้อของกลับมาสั่งให้บรรดาพ่อครัวยกเข้าไปไว้ในห้องเก็บของ พอเดินเข้ามาร้านก็หัวเราะกล่าวว่า
“วันนี้กลับโชคดีอย่างมาก ตลาดที่ชุมชนเถียนสุ่ยทางนั้นยังเปิดอยู่ ข้าเลยซื้อหมูตัวอ้วนที่ฆ่าเสร็จแล้วมาทีเดียวสองตัว แพะสามตัว ผักสดต่างๆ อีกมากมายก็จัดมาไม่น้อย หญิงปากมากหลายคนในตลาดยังบ่นว่า…อ้าว พ่อครัวไปไหนกันหมดแล้ว”
ยังไม่ทันได้ตอบคำถามจางซื่อเฉียง ม่านก็เปิดออกอีกครั้ง จางซื่อเฉียงกำลังจะหันไปทักทาย มองไปก็ตกใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงตระหนกเล็กน้อยว่า
“ใต้เท้านายกองร้อย วันนี้ท่านมีเวลาหรือ?”
ผู้ที่แหวกม่านออกกลับเป็นนายกองร้อยเถียนหรงหาวผู้บังคับบัญชาของตน มิน่าจางซื่อเฉียงถึงได้ตระหนกตกใจ อย่างไรตอนกลางวันก็เป็นเวลาประจำการ แต่ตนเองกลับยุ่งอยู่แต่กับการซื้อของเข้าร้าน รู้สึกกินปูนร้อนท้อง
นายกองร้อยเถียนถือถุงอยู่ในมือ ข้างหลังมีผู้ติดตามแบกตระกร้าสานสี่เหลี่ยมมีฝาปิดเข้ามาอีกสองคน รอยยิ้มนอบน้อม ไม่มีเค้าของใบหน้าที่เต็มไปด้วยบารมีตอนรายงานตัวยามปกติแม้แต่น้อย
พอได้ยินจางซื่อเฉียงเอ่ยถาม นายกองร้อยเถียนก็โบกมือเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าหลบไปก่อน ข้ามีเรื่องส่วนตัวคุยกับหวังทงหน่อย”
จางซื่อเฉียงรีบโค้งคารวะ ก่อนจะเหลือบมองหวังทงด้วยความเป็นห่วง ออกไปพร้อมพาพ่อครัวสองคนไปด้วย เถียนหรงหาวกำชับผู้ติดตามอีกสองคนของตนสองสามคำ สองคนนั้นก็โค้งคารวะออกนอกประตูไป
พอในร้านมีเพียงสองคน เถียนหรงหาวก็ยิ้มก้าวเข้ามา แต่พอเห็นหวังทงยังคงนั่งอยู่ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยของอีกฝ่ายถูกหวังทงจับสังเกตได้อย่างเร็ว เขาจึงรู้สึกตัวว่าตนเองควรลุกขึ้นยืน คนรอบคอบอย่างเขาที่ทำผิดพลาดเช่นนี้นั้น เป็นเพราะตนเองยังคงอึ้งอยู่
ราวกับเพียงแค่คืนเดียว บุคคลยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หมิงต่างพากันมาเยือนหอเลิศรสเล็กๆ นี้อย่างไม่ทันตั้งตัว การกระทำของทุกคนล้วนสามารถสั่นคลอนแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ผืนนี้ได้ แต่ทุกคนที่สูงส่งเทียมฟ้าเหล่านี้กลับมีท่าทีอ่อนโยนต่อหวังทง เรียกได้ว่าถึงขั้นเกรงใจ
เมื่อเทียบกับมหาขันทีเฝิงเป่า ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าขันทีสองสำนักและผู้บัญชาการสำนักบูรพา ยังมีชายเครายาวที่ตำแหน่งไม่ด้อยไปกว่าเฝิงเป่าอีกคน นายกองร้อยเถียนตัวเล็กผู้นี้ก็ยากที่จะทำให้หวังทงที่นิ่งทื่อไปแล้วรู้สึกตัวขึ้นมาได้
แต่อย่างไรก็เป็นผู้บัญชาการโดยตรง ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่กระจ่าง หากทำลำพองใจไปเกรงว่าจะเป็นการดูแคลนเกินไป และก็ไม่ใช่วิถีของคนฉลาด
“ใต้เท้าอย่าได้ตำหนิ เมื่อสักครู่ยังรู้สึกสับสนจึงลุกขึ้นต้อนรับช้า ขอใต้เท้าโปรดอภัย”
พอได้ยินหวังทงขอขมา ใบหน้านายกองร้อยเถียนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดอย่างอ่อนโยนนิ่มนวลที่สุดว่า
“เราก็เป็นพี่เป็นน้องกัน ไยจักต้องเกรงใจเช่นนี้ นั่งลง นั่งลงคุยกัน”
กดบ่าหวังทงให้นั่งลงไปพลางวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะ หวังทงยังไม่ทันได้มองว่าคือกระดาษอะไร นาย กองร้อยเถียนก็ยิ้มกล่าวว่า
“ขอแสดงความยินดีกับน้องหวังด้วย วันนี้นายกองพันโจวมีหนังสือลงมา น้องหวังปฏิบัติหน้าที่ซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกองธงใหญ่ ป้ายคำสั่งข้านำมาด้วยแล้ว วันนี้เจ้าก็รับตำแหน่งได้เลย!”
หวังทงอึ้งไป วันนี้เขารู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนกับความฝันบางเรื่องเกิดขึ้นเป็นจริงได้อย่างไม่ทันตั้งตัว หากครั้งนี้ปฏิกิริยาฉับไว รีบประสานมือกล่าวขอบคุณ
“ความเมตตาของนายกองร้อย ข้าน้อยจักจดจำไว้ จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต!!”
“อ่า สมกับเป็นผู้มีความสามารถ ผู้บัญชาการกององครักษ์เสื้อแพรได้มีคำสั่งที่แทบจะไม่ค่อยปรากฏการณ์นี้ให้กับน้องหวัง มิเช่นนั้นจะเลื่อนตำแหน่งให้น้องหวังได้อย่างไรเล่า ไม่ต้องเกรงใจ นายกองร้อยเป็นหัวหน้า นายกองธงใหญ่เป็นรองหัวหน้า พวกเราพี่น้องสถานะใกล้เคียงกัน วันหน้าก็ต้องร่วมกันปฏิบัติหน้าที่”
เถียนหรงหาวอายุราว 40 ปีกับหวังทงที่อายุไม่ถึง 14 ปี คุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อราวกับญาติสนิท อายุห่างกันเช่นนี้ถือเป็นพ่อลูกหรืออาหลานได้แล้ว แต่กลับเรียกพี่เรียกน้อง จะว่าน่าแปลกก็แปลกอย่างที่สุด
กล่าววาจาตามมารยาทกันพักหนึ่ง เถียนหรงหาวก็ยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้น้องหวังก็เป็นนายกองธงใหญ่ของกองเราแล้ว ธรรมเนียมกองก็น่าจะคุ้นเคยแล้ว นายกองธงใหญ่สองนาย คนหนึ่งรับหน้าที่ประจำการบนถนนแต่ละสาย อีกคนหนึ่งรับหน้าที่กวาดล้างจับกุม…”