ตอนที่ 342 ฤดูหนาวริมแม่น้ำทะเล ได้พบกันหากไม่รู้จัก
แม่น้ำทะเลใกล้ทะเล ฤดูร้อนลมทะเลพัดมาสบายยิ่ง แต่ใกล้ปีใหม่ที่อากาศหนาวที่สุดเช่นนี้ ลมทะเลก็ราวกับมีดกรีด
หวังทงนำลูกน้องมาเดินริมแม่น้ำทะเล ชาวฝึกยุทธ์หลายคงสวมแค่เสื้อคลุมหนังสัตว์เท่านั้น หากเจ้าพนักงานบัญชีและคนอื่นๆต่างเดินตามหลังมาด้วยเสื้อผ้าหนังบุฝ้ายหนาห่อหุ้มแน่นหนา
ตอนนี้อากาศหนาวเหน็บ ดินสองริมสองฝั่งแม่น้ำทะเลแข็งราวกับผืนเหล็ก คนงานทำงานกันอย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงหยุดงานก่อสร้างไปก่อน
“ร้านค้าร้อยละห้าสิบขายออกไปแล้ว ร้านที่ใต้เท้าให้เหลือเก็บไว้พวกนี้ก็มีแต่คนมาสอบถามราคาไม่หยุด วันที่ 12 เดือนสิบสอง ใต้เท้ากาวยังส่งคนมาสอบถาม ข้าน้อยทำตามที่ใต้เท้าได้สั่งไว้ก่อนหน้า ปล่อยให้เขาเช่าไปสองห้อง”
จางซื่อเฉียงเดินมาด้านหลัง อธิบายขึ้น
หวังทงพยักหน้า มองดูปืนใหญ่ริมแม่น้ำแล้วก็ขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงดังขึ้นว่า
“ผู้ใดรับงานก่อสร้างริมแม่น้ำ?”
ชายผู้หนึ่งวิ่งมาจากด้านหลังด้วยอาการตื่นตระหนก หวังทงชี้ไปที่บริเวณป้อมปืนใหญ่กล่าวว่า
“ป้อมปืนกับค่ายด้านหลังต้องเหลือพื้นที่ว่างไว้ เจ้ามากองของไว้ตรงนี้ทำไม หรือคิดจะอุดเส้นทางเดินทัพของข้าให้ได้กัน”
ได้ยินน้ำเสียงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟของหวังทง ในวันอากาศหนาวเช่นนี้ หน้าผากก็มีเหงื่อผุดออกมาได้เช่นกัน รีบอธิบายว่า
“นายท่านโปรดอภัย ทางเราก่อสร้างอาคารกันเร็ว ด้านในที่ทางแคบ วัสดุจากแม่น้ำมาถึง ก็เลยต้องมากองรวมกันที่นี่ขอรับ”
“พานหมิง เจ้าส่งคนมาบ่ายนี้ จัดการรอบป้อมปืนให้สะอาด”
พานหมิงที่สวมชุดพลทหารองครักษ์เสื้อแพรรีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามารับคำสั่ง ลูกเขาสองคนตอนนี้ก็ไปสมัครเข้ากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรแล้ว จึงทำงานได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวลสิ่งใด
เถ้าแก่รับงานก่อสร้างเดิมกำลังรอการตำหนิด้วยความหวาดหวั่น คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกล่าวแค่ ‘ครั้งหน้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก’ ก่อนจะนำคนออกเดินต่อไป
“ป้อมปืนใหญ่กับการก่อสร้างทางนั้น ก่อนปีใหม่เจ้ามาดูอีกที อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ สร้างบ้านเรือนอย่าได้มีช่องให้ลมเข้าได้ ยังต้องดูพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยและเก็บดินปืนให้ห่างกันเป็นพิเศษ จะได้ไม่เกิดไฟไหม้”
หวังทงมองไปกล่าวไป คนที่เกี่ยวข้องต่างพยักหน้า เถ้าแก่รับงานก่อสร้างรับคำไป ความหวาดหวั่นลดลงไม่น้อย ก้าวขึ้นหน้ามาสองก้าวกล่าวว่า
“นายท่าน พวกข้าน้อยได้ยินว่าร้านค้าริมฝั่งเช่าออกไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ปีหน้าฤดูใบไม้ผลิ เรือจากแต่ละแห่งก็จะมา ถึงตอนนั้นย่อมมีคหบดีจำนวนมากมาด้วย เกรงว่าร้านค้าจะไม่พอปล่อยเช่า ข้าน้อยว่าที่ริมทะเลยังเหลือที่ว่างไม่น้อย ไม่สู้วางแผนตรงนั้นด้วยหรือไม่?”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็หยุดเดิน ยิ้มหันมามอง กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ว่า
“เจ้าทำงานได้ไม่เลว ว่างไม่มีอะไรทำก็ไปเดินดูทางนั้น คิดกระจ่างแล้วค่อยมาพบข้า”
ต่อหน้าหวังทงที่มีท่าทางมั่นใจและน่าเกรงขามเช่นนี้ ผู้ใดก็ไม่สนใจอายุหวังทง เถ้าแก่ก่อสร้างมองไปทางทะเลอย่างงงๆ ในหัวคิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่เลว จึงได้ก้มตัวลงรับคำสั่ง กล่าวรับคำไปว่า
“นายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจะต้องไปดูที่นั่นแน่นอน”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หันหลังเดินต่อไปข้างหน้ากล่าวว่า
“การก่อสร้างพวกนี้แน่นอนว่าสร้างใหญ่ย่อมได้กำไรมาก หากเจ้าคิดสร้างใหญ่ ข้าก็จะช่วยเหลือเงินทองเจ้า”
ยามนี้ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ย่อมรู้ว่ามีของดีตกมาจากฟ้า คนก่อสร้างรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะ กล่าวเสียงดังว่า
“ข้าน้อยขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา”
คนรอบข้างต่างมองด้วยความอิจฉา มีคนหัวเราะหยอกล้อขึ้นว่า
“เหล่ากุย ปีนี้ต้องล้มแพะล้มหมูไหว้บรรพบุรุษแล้ว ได้ใต้เท้าหวังให้ความสำคัญเช่นนี้ ช่างเป็นบุญบรรพบุรุษสั่งสมมาเสียจริง!”
เถ้าแก่ก่อสร้างแซ่กุย ความสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่เลว ยังเป็นพ่อค้าทำการค้าก่อสร้างอันดับหนึ่งในเมืองเทียนจิน หน้าตาแปลกสักหน่อย ปากใหญ่คอยาว ศีรษะกลม พวกที่ปากคอเราะร้ายก็เรียกเขาว่า ‘เต่า’
หวังทงยิ้มหันไปมอง สมัยชาติก่อนนั้นการก่อสร้างบุกเบิกอสังหาริมทรัพย์นับเป็นธุรกิจทำเงินที่สุด ไม่รู้ว่าสมัยนี้เป็นเช่นไร แต่วันหน้าต้องก่อสร้างขนานใหญ่ มีกลุ่มก่อสร้างในมือสักกลุ่มก็มีประโยชน์ไม่น้อย
ไม่คิดเลยว่าเถ้าแก่ก่อสร้างแซ่กุยไม่ยอมลุกขึ้น กลับโขกศีรษะกล่าวต่อว่า
“ใต้เท้าโปรดอภัย ข้าน้อยมีเรื่องขอร้อง ขอใต้เท้ารับปาก”
ทุกคนพากันเงียบกริบไป เช่นนี้เหมือนไม่รู้จักดี ให้ประโยชน์ใหญ่เจ้าเช่นนี้ เหตุใดยังได้คืบเอาศอก หวังทงขมวดคิ้ว ยังไม่ทันหันกลับไปมองก็ได้ยินเสียงคนด้านหลังกล่าวว่า
“บุตรชายข้าน้อยปีนี้ 12 ขวบ ข้าน้อยไม่ขอสิ่งอื่นใด ขอใต้เท้ารับเจ้าหมาน้อยเอาไว้ ให้ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาองครักษ์เสื้อแพร…”
บรรยากาศผ่อนคลายลงไม่น้อย การคิดเผื่อบุตรหลายตน ขอร้องให้ได้เล่าเรียนนับเป็นเรื่องดี หวังทงยิ้มหันมาพยุงเถ้าแก่กุยให้ลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“วันหน้าทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องนี้พูดกันได้ พรุ่งนี้นำลูกชายเจ้ามาที่นี่ มาลงชื่อไว้ก่อน!!”
เถ้าแก่กุยคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะราบรื่นเช่นนี้ จึงรับคำติดต่อกันอย่างดีใจ น้ำตาอดรินไหลออกมาไม่ได้ เมื่อครู่คิดว่าจะอาศัยจังหวะหวังทงอารมณ์ดีลองล่วงเกินขอร้องสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะง่ายดายเช่นนี้
เขาเองได้ยินเรื่องที่กล่าวกันลับหลังถึงนายกองพันอายุน้อยผู้นี้มาไม่น้อย นายกองพันผู้นี้ทำอะไรที่เทียนจิน เขาเองก็เห็นด้วยตา เมื่อครู่ใต้เท้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือตน เถ้าแก่กุยจึงได้มีจังหวะขอร้อง การลงมือครั้งนี้มีสองจุดมุ่งหมาย หนึ่งจะได้ส่งบุตรชายไปเป็นตัวประกัน สองวางเดิมพันสักครา บุตรชายได้ติดตามใต้เท้าหวัง อย่างไรคงมีอนาคต
“ชายชาตรี ร้องไห้เหมือนสตรีได้อย่างไรกัน!”
มีคนหยอกล้อขึ้น ทุกคนพากันหัวเราะฮาลั่น แต่พวกที่มีลูกหลานอายุใกล้กันก็เริ่มคิดในใจกันตาร้อนทันที ใต้เท้าหวังเปิดสถานศึกษาเรียนวิชาและฝึกยุทธ์ อย่างไรก็น่าจะดีกว่าสถานศึกษาอื่น
ตอนนี้ทุกคนเพิ่งมองออกว่าเถ้าแก่กุยเป็นคนคว้าโอกาสได้เก่ง ทุกคนคิดจะเอ่ยปาก แต่ยามนี้ไม่น่าใช่โอกาสอันดี ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่เดินตามต่อไป
“ระวังไฟ ทางนี้วันหน้าคงต้องมีร้านค้าแน่นขนัดไปหมด ใกล้ทะเลลมแรง บ้านหนึ่งไฟไหม้ดีไม่ดีก็จะลามไปบริเวณข้างเคียง…พานหมิง จัดคนของเจ้าสักหนึ่งร้อยมารับหน้าที่เรื่องฟืนไฟและการดับเพลิง ตรงไหนไม่เข้าก็ไปถามผู้ชำนาญการดับเพลิงที่ศาลชิงจวิน…จดไว้ ทางนี้ห้ามทุกร้านค้าติดเตาทำอาหาร ให้ทำให้เสร็จแล้วนำมา หรือไม่ก็กลับไป…”
บรรดาผู้ติดตามมาด้านหลังต่างทึ่งไปกับความคิดแยบยลของหวังทง พวกอาลักษณ์ต่างถือเครื่องเขียนขึ้นจดอย่างยากลำบาก หวังทงเองก็คิดอย่างหนักอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน
ในโลกก่อนนั้นมีอะไรที่คิดถึงได้ ที่คิดโยงถึงได้ ที่นำมาใช้ที่นี่ได้ หวังทงยิ่งเดินก็ยิ่งพลุ่งพล่าน มองร้านค้าที่สร้างเสร็จแต่ละร้าน ถนนหนทางที่ก่อสร้างเสร็จ มองไปไกลๆ ก็เห็นงานก่อสร้างที่ค้างอยู่ นี่ไม่ใช่เมืองที่รุ่งเรืองคึกคัก เห็นชัดว่าเป็นเพราะสองมือตนสร้างขึ้น
มองไปยังที่รกร้างที่ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยสองมือตน ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเมือง และยังเป็นเมืองที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ จะเป็นเมืองที่จะนำความมั่งคั่งและโชคดีมาให้ทุกคน นี่เป็นกิจการที่ยิ่งใหญ่
ใกล้ปีใหม่ อากาศหนาวเหน็บ แม่น้ำทะเลยังมีการก่อสร้างใหญ่ นอกจากพวกหวังทงแล้ว ยังมีนแค่สี่ห้าคนเดินไปมา
บ้างก็เป็นทหารลาดตระเวน บ้างก็เป็นพ่อค้าละแวกนั้นมาดูงาน หวังทงเดินอยู่กับลูกน้องหลายสิบคน คนรอบๆ รู้ว่าเป็นคนทางการมาตรวจตรา มองเห็นไกลๆ ก็พากันหลบไป
หวังทงเดินไปพูดไป มีคนสิบกว่าคนเดินสวนตรงมา พวกทหารตะโกนสั่งไป พวกคนเหล่านั้นก็แหวกทางให้
ตอนสวนกันหวังทงหรี่ตามอง มองเห็นว่าสิบกว่าคนนี้มีสองคนสวมเสื้อหนังแกะกลับด้าน คนที่เหลือทั้งตัวห่อไว้มิดชิด ไม่ว่าเสื้อหนาวบุฝ้าย เสื้อหนัง รองเท้าบูท หมวก ที่ปิดหู อะไรที่กันหนาวได้ก็ใส่หมด เหลือแต่ลูกกะตาสองข้าง ท่าทางตลกขบขันยิ่ง
ห่อไว้แน่นหนาขนาดนี้ คนพวกนี้ยังกระทืบเท้าไร้ความหนาวไม่หยุด เห็นชัดว่าหนาวมาก คนพวกนี้พบเห็นได้บ่อย พ่อค้าทางใต้หากมาทางเหนือครั้งแรกก็จะหนาวจัดจนเป็นเช่นนี้
แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดี เห็นได้ว่าแม่น้ำทะเลมีค่า ทุกคนล้วนรู้ดี แม้แต่พ่อค้าแดนใต้ยังมาดูพื้นที่ในยามอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้
************
“คิดไม่ถึงว่าวันอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้จะพบเจ้าหน้าที่ทางการ ตอนนี้พวกเจ้าหน้าที่ทางการทางใต้พวกนั้นยังมุดหัวอยู่แต่ในร้านอาหารสัปหงกอยู่เลย”
รอจนพวกหวังทงผ่านไป คนที่หลบลงข้างทางผู้หนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้น แต่ใช้สำเนียงฮกเกี้ยน คนสวมเสื้อหนังแกะสองคนหันไปมองตาม ล้วนฟังไม่เข้าใจ
“องครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นอาวุธไม่ธรรมดา ดีไม่ดียืมมาจากซามูไหรประเทศวัวทางนั้นกระมัง”
มีคนหนึ่งรับคำขึ้น ตอนที่พูดก็มองไปข้างกาย คนข้างๆ รูปร่างสูง มือสอดอยู่ในแขนเสื้อ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่กระทืบเท้ากับพื้นไล่ความหนาว ขณะคนที่มาด้วยกันกล่าวอยู่นั้น เขากลับมองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ป้อมปืนใหญ่ริมแม่น้ำ มองไปก็ส่ายหน้าไป
เห็นเขาไม่พูดอะไร พ่อค้าที่มาจากทางใต้ล้วนหยุดพูด คนผู้นี้มองอยู่นานก็ส่งสายตามองกลับไปบนบก มองเห็นร้านค้าที่เรียงรายกับโกดังสินค้าที่สร้างใหญ่โต
“ท่านทั้งสอง ร้านค้าทางนี้ มีพ่อค้าเช่าไปเท่าไรใดแล้ว?”
ยามเขาพูดไม่มีสำเนียงฮกเกี้ยน หากเป็นสำเนียงภาษากลางชัดเจน ชายสองคนได้ยินคำถาม ก็หันกลับไปตอบอย่างสุภาพนอบน้อมยิ่งว่า
“เรียนนายท่าน ว่ากันว่าเช่าออกไปครึ่งหนึ่งแล้ว เถ้าแก่บอกว่า ข่าวกระจายไปแล้ว พ้นปีใหม่ไป รอเข้าเดือนสอง พ่อค้าเหนือใต้ออกตกไม่รู้จะมากันเท่าไร แม่น้ำทะเลจะเป็นพื้นที่ทองคำ”
คนที่ถามส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอ ทุกคนมองไปที่เขา คนผู้นั้นพยักหน้ากล่าวว่า
“ปีหน้าเปิดเส้นทางน้ำ ที่นี่ย่อมมีคนมากันมามาก พื้นที่ทองคำเช่นนี้เห็นชัดว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง ด้านในล้วนมีแต่ทองคำเพชรนิลจินดา แต่รอบฝั่งมีป้อมปืนแค่สิบกว่ากระบอก คนแค่พันรักษาป้อม แม้แต่กำแพงก็ไม่มี”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“ถึงตอนนั้นนำพี่น้องเรามา ช่วยขนย้ายของมีค่าในบ่อเงินบ่อทองขึ้นเรือเราไปเลย!”
วาจากล่าวไม่ทันจบ ทุกคนก็กดเสียงให้เบา พากันหัวเราะดังลั่น