ตอนที่ 352 ปูนบำเหน็จลงทัณฑ์ สร้างวินัยทหาร
หากกล่าวว่าสำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินจู่โจมยามไหนง่ายที่สุด เมื่อก่อนก็พูดยาก แต่หลังจากหวังทงมาคุมที่นี่ วันที่ 22 เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 7 นอกจากค่ายที่ตั้งอยู่บริเวณบ่อเกลือเก่าแล้ว ที่อื่นๆ ล้วนไม่มีการป้องกัน แม้แต่ที่ทำการในเมืองก็ไม่มีคน
ยี่สิบค่าย รวมทั้งพลม้า รวมแล้วเกือบ 4,000 คน ล้วนไปรวมตัวอยู่ที่ค่ายฝึก ลมพัดบาดใบหน้าราวกับคมมีดกรีด สองข้างเวทีไม้มีแผงไม้อยู่ข้างละแถว บนแผงไม้แขวนศีรษะที่หน้าตาไม่อาจแยกแยะได้แล้วเอาไว้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนตระกูลเป้า พวกที่มือเปื้อนเลือดชาวองครักษ์เสื้อแพรก็ย่อมต้องถูกตัดหัวเสียบประจาน
“ทุกคนสละชีพเพื่อราชวงศ์หมิง เป็นผู้กล้าราชวงศ์หมิง ครอบครัวของผู้สละชีพจะได้รับการยกเว้นภาษี และได้รับการเลี้ยงดูจากองครักษ์เสื้อแพร ลูกหลานหากอยากเข้าเป็นทหารก็จะได้สิทธิเศษ”
ทหารประคองโถกระดูกก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ส่งให้กับครอบครัวผู้สละชีพที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่อยู่ที่นั่น หวังทงยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนเวที มองลงมาด้านล่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
ส่งมอบโถกระดูกให้กับครอบครัว ทหารที่จะประกาศหันมามองหวังทง พอเห็นหวังทงพยักหน้า ก็ประกาศดังว่า
“เงินบำนาญของผู้สละชีพคนละ 50 ตำลึง!!”
คนในครอบครัวร่ำไห้เข้าแถวไปรับเงิน ทุกคนล้วนตกตะลึง ด้วยครอบครัวทหารล้วนมีที่ทำนาเพาะปลูกกันอยู่แล้ว พอหวังทงบอกว่าได้รับการยกเว้นภาษี ก็นับว่าจากนี้จะมีชีวิตที่ไม่เลวแล้ว ยังมีเงินบำนาญอีก 50 ตำลึง เดิมชาวบ้านชนบทใช้จ่ายก็ไม่มากเท่าไร มีเงินก้อนนี้ก็จะสามารถมีชีวิตที่สุขสบายได้แล้ว
เพราะเป็นลูกหลานทหาร ก็ย่อมรู้ว่าราชวงศ์หมิงนั้นจะมอบเงินค่าทำศพให้ทหารที่สละชีพเท่าไร แต่พอโดนหักมาตามลำดับ ครอบครัวข้างหลังก็แทบไม่เหลือ ไม่มีแม้กระทั่งเงินจะซื้อกระดาษเงินกระดาษทองมาเผา
แต่ตอนนี้เงิน 50 ตำลึงในมือเห็นกันชัดๆ ยากจนมาตลอดชีวิต น่าจะไม่เคยได้เห็นเงินมากมายเพียงนี้
แม้ว่าพ่อแม่ลูกสายใยเลือดเนื้อโยงใยถึงกัน แต่ก็ยังมีคนคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า หากบุตรชายตนได้สละชีพเพื่อนายกองหวัง ย่อมไม่สูญเปล่า ได้ตายอย่างมีราคา
ในช่วงเวลาไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ไม่รู้ทำเช่นไร มีคนร้องไห้ดังปรี่เข้าไปคุกเข่าหันหน้าไปทางเวทีไม้โขกศีรษะอย่างแรง หวังทงโบกมือ พลทหารก็รีบเข้ามา บ้างก็ประคอง บ้างก็ปลอบใจ พาทุกคนออกไป
หวังทงก้าวขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่งและโบกมือ ทหารค่ายหนึ่งก็นำตัวห้าคนที่มัดไว้ออกมาหน้าเวที หวังทงมองด้วยสายตาเย็นชา ตะโกนถามทหารด้านล้างเวทีเสียงดังว่า
“พวกเจ้าละเมิดวินัย ตามกฎหนีทัพต้องถูกลงโทษเช่นไร?”
เวทีด้านล่างเงียบกริบ มีคำตอบดังเล็ดรอดมาว่า
“ประหาร”
หวังทงขมวดคิ้วตะโกนเสียงดังว่า
“ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าด้วยสุราอาหารชั้นดี เหตุใดจึงพูดจาไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ เสียงดังหน่อย หนีทัพควรมีโทษเช่นไร!!?”
“ประหาร!”
ครั้งนี้ด้านล่างเวทีตอบพร้อมเพรียงกัน เสียงดังราวอสุนีบาต หวังทงพยักหน้า สีหน้าเย็นชายกมือขึ้นโบก ทหารค่ายหนึ่งกำลังมองหวังทงอยู่ พอเห็นสัญญาณมือหวังทงก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกดทหารหนีทัพลงกับพื้น ตวัดดาบตัดศีรษะ
ศีรษะทหารหนีทัพทั้งห้าร่วงลงพื้น โลหิตกระเซ็นไปทั่ว นอกจากหวังทง ทหารตระกูลถาน หม่าซานเปียวและหลี่หู่โถวที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแล้ว ที่เหลือในที่นั้นล้วนออกอาการหวาดหวั่นเล็กน้อย
“พวกเจ้าได้กินเสบียงทางการ รับเบี้ยทหาร สวมชุดเกราะ ถืออาวุธ ก็เพื่อให้พวกเจ้าเข้าสู้กับศัตรู ปกป้องแผ่นดิน รักษาความสงบ หากกลัวตาย ยามเผชิญหน้าหนีทัพ ก็จะมีจุดจบเช่นนี้ นี่คือวินัยทหาร จดจำได้แล้วยัง!!?”
“จดจำได้แล้ว!!”
ผู้คนด้านล่างรับคำพร้อมเพรียง หวังทงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตะโกนดังว่า
“ทหารหนีทัพโทษเท่านักโทษประหาร ครอบครัวไม่อาจได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นทหารผู้สละชีพ”
หลังจากกล่าวจบ ด้านล่างเวทีก็เงียบกริบ ทุกคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์ในครอบครัว แม้ว่ามีพี่น้องผู้ชายรับภาระดูแลบิดามารดาต่อ แต่อย่างไรก็นับว่าน่าเป็นห่วงอยู่ เมื่อตนจากไป บิดามารดาและครอบครัวไม่ได้รับการช่วยเหลือชดเชยอันใด อย่างไรก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ทว่าวินัยทหารมั่นคงหนักแน่น ทุกคนล้วนยำเกรง
พิธีการต่อมาก็ผ่อนคลายเล็กน้อย หวังทงอ่านรายชื่อทหารที่สังหารศัตรูสร้างความดีความชอบทีละคน และมอบรางวัลให้ด้วยตนเอง รวมทั้งเอ่ยปากชมเชยอีกด้วย
พลม้าที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหวังทงโดยตรงและค่ายหนึ่งที่เป็นค่ายที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ ส่วนค่ายห้า ค่ายเจ็ดและค่ายสิบสองนั้นได้รับเลือกให้เข้าร่วมก่อนออกเดินทาง
ตอนนี้พอได้เห็นทหารกล้าแต่ละนายได้รับรางวัลบนเวที บ้างก็ได้เงินรางวัล บ้างก็ได้เลื่อนตำแหน่ง ทุกคนมองแล้วอิจฉาตาร้อนกันอย่างยิ่ง
**************
“ทหารหนีทัพควรตาย เจ้าทำได้ถูกต้องแล้ว”
ในห้องอบอุ่น อวี๋ต้าโหยวพูดกับหวังทงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ถึงแม้ว่าหวังทงจะดูเย็นชาตอนอยู่บนเวที แต่พอกลับมาถึงบ้านก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง
“ใต้เท้าสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ทหารหนีทัพทั้งห้าคนนั้น ข้าเคยดูพวกเขาฝึก เคยคุยด้วย คิดไม่ถึงเลย”
หวังทงยกกาน้ำชารินน้ำชาใส่ถ้วยใบใหญ่ของอวี๋ต้าโหยวจนเต็ม ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า
“ไม่สบายใจเลยจริง ๆ ลูกน้องข้าเห็นแล้วเป็นห่วงเลยไปเชิญใต้เท้ามาปลอบใจข้า น่าขายหน้าเสียจริง”
“ใครที่ผ่านเรื่องเช่นนี้มาก็ย่อมเป็นเช่นนี้ ตอนข้าเพิ่งฆ่าคน ยังกินเนื้อไม่ลงไปหลายวัน ไว้เจอมากเข้าก็ดีเอง แล้วจะดีขึ้นเอง”
ได้ยินคำพูดของหวังทงที่สบายใจขึ้น อวี๋ต้าโหยวจึงอดแซวไม่ได้ว่า
“นี่เป็นครั้งแรกที่ทหารเจ้าใช้มีดดาบจริง ได้เห็นเลือดสดๆ ครั้งแรกก็มีทหารหนีทัพ หากไม่สังหารทิ้ง ไม่ลงโทษ วันหน้าจะทำเช่นไร ไม่ต้องคิดมาก นำทัพหนึ่งต้องเมตตา สองต้องเหี้ยมโหด เรื่องนี้ไม่มีอันใดผิด ปกติให้ความเมตตา ดูแลทหารให้ดี ถึงเวลาลงโทษทางวินัยก็ต้องเหี้ยมโหดให้พอ ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าวินัยทหารได้อย่างไร”
อยู่เป็นเพื่อนคุยกับอวี๋ต้าโหยวสักพัก ไฟที่ติดเตาอยู่ในห้องส่งผ่านความร้อนกระจายมาตามกำแพงห้อง ทำให้รู้สึกง่วง คิดจะเข้าไปงีบในห้องด้านในสักหน่อย ผู้ใดก็รู้ว่าหวังทงไม่มีผู้หญิง และไม่ให้สาวใช้หญิงมารับใช้
หวังทงปิดประตูเบา ๆ หันมาเห็นถานเจียงยืนอยู่ที่หน้าประตู คนตระกูลถานกับตนนั้นจะเรียกขานกันแบบนายบ่าว แต่ตอนนี้เหมือนผู้ใหญ่ในบ้านใส่ใจตนเอง ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง
“เตรียมเงินสักหน่อย แอบมอบให้กับครอบครัวทหารหนีทัพพวกนั้น อย่างไรก็ฝึกกับเรามานาน”
ได้ยินคำสั่งหวังทง ถานเจียงก็ยิ้มคำนับรับคำสั่ง
***********
ถึงแม้ว่าการลงโทษทหารหนีทัพจะน่ากลัว แต่เงินบำนาญสละชีพในสนามรบกับรางวัลที่สร้างความดีความชอบนั้น ทุกคนก็เห็นกับตา ปกติยามอยู่ในค่ายได้รับการปฏิบัติเช่นไรก็รู้ดีแก่ใจ
คนทั่วไปต่างรู้ว่าค่าตอบแทนที่ได้มากมายเพียงใด บาดเจ็บ 30 กว่าคน ตายในสนามและหนีทัพรวมกันก็ราว 10 คน อยู่ๆ ก็มีที่ว่างถึง 50 กว่าที่ หลายคนต่างจับจ้องตำแหน่งที่ว่างลง
แม้ว่าเดือนหนึ่งจะยังอยู่ในห้วงเทศกาล แต่ยังมีบางคนแวะเวียนมายังค่ายทหาร ละแวกที่ทำการในเมืองก็มีคนแวะเวียนไปดู ที่ประตูเมืองยังมีคนมาดูเป็นระยะ
เหตุผลก็ไม่ใช่อันใด มาดูว่ามีประกาศรับสมัครองครักษ์เสื้อแพรเพิ่มหรือไม่ จะได้ให้บุตรชายรีบมาสมัคร
อย่างไรก็ตามการคัดเลือกทหารใหม่นั้นไม่ได้ประกาศออกไป ครั้งนี้คัดจากคนใน คัดมาจากพวกนาวาสุคนธ์ 50 คนที่ขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงไม่น้อย
หลังจากได้รับการคัดเลือก ครอบครัวที่เคยใช้แรงงานอยู่ที่ท่าเรือก็เปลี่ยนเป็นครอบครัวทหาร สามารถกลับไปพักอาศัยที่เดิมได้ และยังมีข้าวสารแจกด้วย
เดิมพวกนาวาสุคนธ์ในสำนักก็มีหัวหน้า มีลำดับขั้นควบคุม มีร่างกายแข็งแรงและยังรู้จักเคารพองค์กร รู้จักฟังคำสั่ง มาเป็นทหารนับว่าเหมาะสมแล้ว
การคัดเลือกภายในนี้ทำให้จิตใจของชาวนาวาสุคนธ์เปลี่ยนไป เดิมทุกคนล้วนหมดหวัง ไม่รู้ว่างานหนักนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อใด คิดไม่ถึงว่ากลับสามารถมีโอกาสเปลี่ยนสถานะเป็นองครักษ์เสื้อแพรได้ นับได้ว่าพริบตาเดียวจากนักโทษได้กลายเป็นขุนนาง ก้าวเดียวถึงฟ้า
ที่แท้หากตั้งใจทำงาน ยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ได้ เมื่อมีความหวังเช่นนี้ ทุกคนก็มีกำลังใจมาก จิตใจฮึกเหิม พบว่างานหนักนี้ก็มีผลตอบแทนที่ไม่เลว อย่างน้อยก็มีกินไม่เลว มีเสื้อผ้าใส่อุ่นกาย ไม่เอาเปรียบกันแม้แต่น้อย ตั้งใจทำงานให้ดีไปก็แล้วกัน
***********
มือปราบสิบนายจากศาลชิงจวิน ทหารร้อยนายจากพวกที่เคยเป็นองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินชุดเดิม ยังมีคนอีก 150 ที่เป้าตันเหวินนำมา รวมเป็นกองกำลังหนึ่งกอง
เป้าตันเหวินรู้ว่าตนเองสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเหตุผลใด จากการสู้รบเล็ก ๆ ที่โรงบ้านตระกูลเป้า เจ้าหน้าที่ทางการตายไปหลายสิบนาย ยังมีเรื่องหนีทหาร พอจบเรื่องแม้ว่าพวกที่สังหารองครักษ์เสื้อแพรจะถูกตัดศีรษะเสียบประจานไปแล้ว ทว่าทหารในแต่ละค่ายก็มิได้รู้สึกดีกับตนสักเท่าไร
อยู่ ๆ อนาคตก็ตกใส่มืออย่างงงๆ แม้ยังมีคนในครอบครัวเป็นตัวประกันก็ตาม และแม้เป้าตันเหวินจะมีอายุเกือบ 50 แต่กำลังวังชายังดีกว่าชายวัยหนุ่มอยู่มาก
ในเทียนจินเขาพักอยู่ไม่ถึงสิบวัน พักผ่อนไม่นานก็ต้องรีบออกไปจับกุมผู้กระทำผิด ทำเอาผู้ช่วยอย่างหังต้าเฉียวที่ส่งมาช่วยเขาชั่วคราวถึงกับหัวเสียอย่างมาก ในใจคิดว่ายังไม่พ้นเดือนหนึ่ง อากาศหนาวอย่างนี้ มายุ่งเรื่องนี้ทำไมกัน
เป้าตันเหวินผู้นี้ก็มีความสามารถอยู่บ้างจริง ๆ ที่เรียกว่าโจรเรียกจับโจร เขาเป็นพวกลอบค้าเกลือ ย่อมรู้เรื่องการลอบค้าเกลือดี เดินดูตามถนนรอบเมืองเทียนจินรอบหนึ่ง ก็รู้ว่าต้องไปจับกุมคนที่ไหนแล้ว
ในวันที่สาม เป้าตันเหวินก็จับพวกลอบค้าเกลือได้หกคนพร้อมของกลาง…
************
พวกลอบค้าเกลือนั้นเกี่ยวพันกับนายกองเฉียนชุนผิงแห่งกองขนส่งเกลือ ขุนนางกองขนส่งเกลือได้รับประโยชน์มหาศาล ขั้นตอนจากนั้นก็คือส่งฎีการายงานผ่านไปทางนายอำเภอ จากอำเภอส่งต่อไปยังเมืองเหอเจียนและสุดท้ายต่อไปยังเมืองหลวง ผ่านกรมฎีกา ในนั้นมีคำรับสารภาพ มีรายละเอียดความเป็นมาของคดีและสิ่งที่เป้าตันเหวินได้พบได้เห็นมา ยังมีสารลับของหวังทงอีกฉบับที่กล่าวถึงเรือใหญ่ร้อยลำของนาวาสุคนธ์ที่มีหลักฐานว่าลักลอบขนเกลือ
ฎีกาถูกส่งไปยังกรมฎีกา กรมฎีกาก็รับคำร้องไว้ จากนั้นก็แยกประเภท ฎีกาจากเขตปกครองแตกต่างจากที่มาจากมณฑล เพราะจะต้องส่งไปยังหัวหน้ากรมฎีกาฝ่ายขวา
หัวหน้ากรมฎีกาฝ่ายขวาจะต้องอ่านฎีกาก่อนว่ารูปแบบถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ ตัวหนังสือมีวาจาล่วงเกินหรือไม่ หากเหมาะสมแล้ว ก็จะรวบรวมส่งต่อไปยังสำนักส่วนพระองค์
เรื่องเกี่ยวพันกับในวัง กรมฎีกาก็ย่อมเป็นกลไกสำคัญ ดังนั้นเพื่อจะได้รู้ข่าวทันท่วงที ทุกฝ่ายต่างวางสายตนไว้ที่นี่
ฏีกาจากท้องที่ นอกจากที่ปิดผนึกมิดชิดแล้ว ที่เหลือในวังนอกวังก็ล้วนรู้ก่อนฮ่องเต้
นายกองกองขนส่งเกลือฉ้อราษฎร์บังหลวงถูกตรวจพบ กองขนส่งเกลือเกิดเรื่องพวกนี้เป็นปกติ ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอันใด หัวหน้ากรมฎีกาฝ่ายขวาอ่านแล้วก็หยิบพู่กันตวัดข้อความลงไปในฎีกาที่พกมา พอเลิกงาน ก็เอาฎีกาที่พกติดตัวมายื่นให้คนรับข่าวด้านนอกไป
***********
เฉียนชุนผิงเชี่ยวชาญในการพูด เคยเป็นแขกประจำในจวนเสนาบดีกรมปกครองจางฮั่น ต่อมาได้รับการเสนอชื่อให้มารับแหน่งนายกองกองขนส่งเกลือที่ฉางหลู…