Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 356

ตอนที่ 356 กล่าวคุณธรรมฤา

เฉียนชุนผิงเสียชีวิตในบ้านของเขา และยังเป็นการแขวนคอตนเอง สังหารบุตรชายตนเอง เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเมืองชางโจวตรวจสอบพบว่า เงินทองของมีค่าต่างๆ ไม่มีผู้ใดแตะต้อง

ให้ตัดประเด็นสังหารชิงทรัพย์ออกไปก่อน เฉียนชุนผิงใช้ชีวิตเรียบง่ายมาก ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับเพื่อนร่วมงาน พอใจในส่วนที่ตนได้รับ ไม่เคยล่วงเกินผู้ใด ดังนั้นจึงตัดประเด็นสังหารแก้แค้นออกไปอีกประเด็น

เมื่อตัดประเด็นต่างๆ ออกไป ก็เหลือแต่ว่าพบกับเรื่องใดที่ทำให้คิดไม่ตก มิเช่นนั้นต่อให้เหี้ยมโหดเพียงใด ย่อมไม่สังหารบุตรชายที่นอนอยู่อีกห้อง

แต่บางคนในกองขนส่งเกลือกลับคิดได้แนวทางหนึ่ง การปราบโจรที่อำเภอชิง เกี่ยวพันโยงใยดิ้นไม่หลุด ตำแหน่งเงินทองสลายหมดสิ้นไปต่อหน้า ย่อมคิดไม่ตก

ในช่วงเวลาหนึ่ง กองขนส่งเกลือฉางหลูก็วิพากษ์วิจารณ์กันให้เซ็งแซ่ ทุกคนต่างเก็บกวาดหิมะหน้าบ้านตน ไม่อยากยุ่งเรื่องผู้อื่น ต่างกลัวว่าลำดับถัดไปตนจะโดนเกี่ยวพันไปด้วย

**********

วันที่ห้าเดือนสอง เมืองหลวงมีคนรู้ข่าวการฆ่าตัวตายของเฉียนชุนผิง คนตายแล้วก็จบเรื่อง ทุกอย่างที่ต้องตามสืบสวนสอบสวนล้วนต้องยุติ

เพื่อนร่วมงานของเฉียนชุนผิงในกองขนส่งเกลือผลักเรื่องทุกอย่างไปที่เขาคนเดียว คำให้การของเป้าตันเหวินก็ย่อมถือว่าไม่มีมูลความจริง

แต่เดิมก็มิใช่คดีใหญ่อันใด ในเมื่อเจ้าของเรื่องตายไปแล้ว ก็ให้มันจบไปก็แล้วกัน ทุกคนแสร้งเลอะเลือนไปก็แล้วกัน

แต่ผู้ใดก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองขนส่งเกลือฉางหลู ไม่ว่าการค้าของครอบครัวหรือเกี่ยวข้องกับการลอบค้าเกลือ ต่างก็พากันอาฆาตแค้นหวังทง

แต่ก็ช่างปรักปรัมหวังทงจริงๆ สิ่งที่หวังทงคิดจะตรวจสอบนั้นก็แค่กลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังเหตุการณ์ที่เทียนจินที่ยังเดาไม่ออก กับแค่ต้องการฝึกฝนกองกำลังในพื้นที่ละแวกเทียนจินเท่านั้น จึงได้เลือกเป้าตันเหวินที่อำเภอชิง

สำหรับการเกี่ยวโยงไปโดนเฉียนชุนผิงและการแตะต้องโดนกองขนส่งเกลือฉางหลู พร้อมทั้งผลประโยชน์ฝ่ายต่างๆ นั้น กลับเป็นเรื่องที่หวังทงคาดไม่ถึง

สำหรับหวังทงที่มาจากครอบครัวเล็ก ๆ ย่อมไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับการกินเกลือ บวกกับความรู้ในชาติก่อน รู้สึกว่าเกลือก็แค่สารปรุงรสเท่านั้น อย่างมากก็เป็นแค่สินค้าที่ต้องการจำกัดการค้า ในเมื่อเมืองเทียนจินเก็บภาษีสินค้า ก็ย่อมต้องเก็บภาษีเกลือด้วย

ทำลายบ่อเงินบ่อทองผู้อื่น ทำรายได้ลด นับเป็นความแค้นอย่างที่สุด คดีเกลืออำเภอชิง ไม่รู้ว่าเกี่ยวพันไปถึงคนมากเท่าใดในเมืองหลวง

ตอนนี้เรื่องนี้จบลงแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงอาฆาตแค้น มีคนคิดไปถึงว่า วันก่อนหวังทงเก็บภาษีคลองส่งน้ำ เถือเนื้อเถือหนังทุกคนไปส่วนหนึ่งแล้ว วันนี้ยังมาตรวจสอบเกลืออะไรอีก นับได้ว่าดูดเลือดทุกคนแห้งไปอีก พรุ่งนี้เขาจะทำอะไรอีก หรือว่าจะไม่มีวันจักจบจักสิ้นกัน?

***********

วันที่ 8 เดือนสอง ทางเมืองหลวงและทางหวังทงได้ข่าวเป็นทางการพร้อมกัน เฉียนชุนผิงเกรงกลัวความผิดอาญาจึงสังหารบุตรชายตนและฆ่าตัวตายตาม

ตายก็ตายไปแล้ว หวังทงไม่สนใจ ตอนนี้ที่เขาโกรธมากก็คือ เรือสามลำที่จอดอยู่ที่อ่าวประมงริมทะเล มีลำหนึ่งดูแลไม่ดี ตอนฤดูหนาวที่น้ำเป็นน้ำแข็งนั้นถูกน้ำแข้งอัดทับจนเสียหาย ไม่อาจซ่อมแซมได้แล้ว

เรือใกล้พังลำนี้ หวังทงส่งคนไปเฝ้าไว้ ทุกวันจะให้คนโรงเหล็กไปสำรวจ เรืออีกสองลำจอดอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมง ทั้งสองลำจ่ายเงินชดเชยครบ เป็นสมบัติทางการ ไม่อาจกักไว้ ตอนน้ำเป็นน้ำแข็ง ชาวประมงขึ้นไปทุบน้ำแข็งทิ้ง เรือจึงปลอดภัย

เรื่องนี้ทำหวังทงโมโหอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเขาเองก็ไม่ได้ระวังในเรื่องนี้

แต่ในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ย่อมไม่อาจคิดการอันใดได้ เดือนสองที่เทียนจินแม้ว่าจะยังหนาว แต่น้ำในแม่น้ำและทะเลต่างก็เริ่มละลาย คาดกันว่าพอเข้าฤดูใบไม้ผลิก็จะมีเรือทะเลจำนวนมากเข้ามา ตอนนี้พวกองครักษ์เสิ้อแพรทำงานกันจนไม่ว่างปลีกตัวไปไหนได้แล้ว

ปลายเดือนหนึ่ง หวังทงส่งจดหมายไปยังสำนักรักษาความสงบหลายครั้ง ขอให้สำนักรักษาความสงบส่งคนที่รู้เรื่องการจัดการบัญชีมาที่เทียนจินให้มากหน่อย ที่นี่ขาดคนจริงๆ

***********

ในสมาคมซูโจว มีบัณฑิตรวมตัวกันมากมาย แม้ว่าจะรวมตัวกันส่วนตัว แต่ก็ยังเปิดประตูกว้าง คุยกันเสียงดังนี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าทำการเปิดเผยให้คนได้รู้กันทั่ว เกรงก็แค่คนข้างๆ ไม่ได้ยิน

หากวันที่ 6 เดือนสอง มีคนมากมายที่ปกติไม่มาสมาคมซูโจวก็มาปรากฏตัว ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง ทุกคนปิดประตูคุยกันเงียบ และข้างนอกยังจัดคนสนิทและคนงานเฝ้าต้นทางไว้ เกรงก็แต่ว่าจะมีคนมาได้ยินเข้า

ทุกคนเห็นแล้วก็รู้ว่า ที่มาในวันนี้มีทั้งขุนนางหกกรมกอง ยังมีสำนักตรวจสอบฝ่ายต่างๆ นายกอง หัวหนางานในกรมต่างๆ ยังมีบัณฑิตจากสำนักปราชญ์หลวงฮั่นหลินย่วนและสำนักปราชญ์หลวงกั๋วจื่อเจี้ยนมาด้วย และอีกมากมายหลายหน่วยงาน นอกจานี้ยังมีบัณฑิตจากที่ต่างๆ มารวมกันอีกด้วย

คนเหล่านี้ล้วนมีชื่อเรียกรวมว่า ‘กลุ่มบัณฑิตชิงหลิว’ พวกเขามักจะรวมตัวกัน นำเรื่องที่เป็นที่สนใจในเมืองหลวงมาร่วมสนทนากัน พวกว่างงานสอดรู้มักชอบมาก ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องใดขึ้น

************

บ่ายวันที่ 11 เดือนสอง เฝิงเป่ากำลังอยู่ในห้องหนังสือของตน กางกระดาษวาดภาพใบหนึ่ง ในมือถือพู่กันตวัดน้ำหมึก รวมพลังจรดเขียนทีละอักษร

หน้าโต๊ะหนังสือมีลายอักษรจากศิลาจารึกจางเหมิ่งหลงแขวนไว้ ตวัดพู่กันอย่างคล่องแคล่วทิ้งหางยาวราวหางมังกร ขันทีที่อยู่ข้างๆ ดูไปพยักหน้าไป

เฝิงเป่าเขียนเสร็จ ก็ถอนหายใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือ ขันทีข้างๆ ยิ้มพลางรีบกล่าวขึ้นว่า

“อักษรท่านพ่อบุญธรรมงามราวกับที่สลักบนศิลาจารึกจางเหมิ่งหลงสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ ลูกเห็นแล้วรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งยิ่งนัก”

“เถียนอี้ เจ้าชมคนไม่เป็นเอาเสียเลย หากรู้เรื่องอักษรจริง บอกว่าอักษรของข้าเขียนได้ราวกับสลักบนศิลาจารึกจางเหมิ่งหลง ใช่เป็นการกล่าวว่าอักษรข้าแข็งทื่องั้นหรือ”

เถียนอี้ที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพลางก้มตัวลง เฝิงเป่าเช็ดมือนั่งลง เถียนอี้ก็ก้าวเข้ามากล่าวว่า

“หลายวันนี้เมืองหลวง ‘กลุ่มบัณฑิตชิงหลิว’ ไปมาหาสู่กันมาก ลูกส่งคนไปจับตาแล้ว สืบข่าวมาได้สองสามข่าวมารายงานท่านพ่อ”

เฝิงเป่าพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือ ขันทีรับใช้ในห้องสองสามคนก็ก้มกายถอยออกไป รอจนคนออกไปหมด เถียนอี้ก็เริ่มรายงานว่า

“เป็นคนของสำนักตรวจสอบกับกรมอากรสองสามคนร่วมมือกัน เรียก ‘กลุ่มบัณฑิตชิงหลิว’ มาด้วย บอกว่าจะร้องเรียนหวังทง”

“ที่หวังทงทำนั้น เพิ่งจะมายื่นฎีกากันวันนี้ ช้ากว่าที่ข้าคิดไว้มาก เป็นผู้ใดจากที่ใดบ้าง?”

“เรียนท่านพ่อ ขุนนางบุ๋นระดับล่างจากเมืองซุ่นเทียน เป่าติ้งและเหอเจียนมากที่สุด ซานตงกับเขตปกครองใต้ก็ไม่น้อย…”

เถียนอี้กล่าวถึงตรงนี้ เฝิงเป่าก็วิเคราะห์ได้ทันที ยิ้มกล่าวว่า

“เป็นเพราะตั้งด่านภาษีคลองส่งน้ำล่วงเกินผู้อื่น ก็ไม่แปลกอันใด เก็บภาษีโดยไม่สนใจขุนนางที่ได้รับการยกเว้น ลงมือโดยไม่ไว้หน้าผู้ใด ก็สมควรอยู่”

เมื่อได้ยินเฝิงเป่ากล่าวเช่นนี้ เถียนอี้ก็พยักหน้ากล่าวว่า

“ท่านพ่อมองได้กระจ่างจริง ลูกได้ข่าวมายังคิดอยู่เป็นนาน คิดถึงว่าแต่ละที่ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกัน ต่อมาจึงได้เข้าใจ ล้วนเป็นอำเภอตามเส้นทางคลองส่งน้ำไม่ใช่หรือนี่? ท่านพ่อเคยกำชับไว้หลายครั้งว่า ตอนนี้ในเมืองนอกเมืองต้องให้สงบ อย่าได้มีเรื่องระคายเคืองพระทัยไทเฮา หรือว่าส่งคนไปบอกสักหน่อย”

เฝิงเป่าส่ายหน้ากล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า

“หวังทงเป็นพวกจางเฉิง หากต้องเดือดร้อนก็ให้เขารับไป ข้าไม่ยุ่ง จะว่าไปเจ้าเด็กหวังทงนั้นก็เอาเรื่องเกินไป ไปแหย่รังผึ้งที่ฉางหลูนั่นได้ ก็ควรได้รับการสั่งสอน อย่างไรก็คงมีฝ่าบาทคอยปกป้องอยู่ ย่อมปลอดภัย”

ใบหน้าเถียนอี้ฉายแววรังเกียจ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“การยกเว้นการเก็บภาษีเป็นกฎที่บรรพชนราชวงศ์หมิงกำหนดมา ท้องทะเลไม่อาจเปิดได้ตามอำเภอใจ หวังทงอาศัยความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท กำเริบเสิบสาน ทำลายชื่อเสียงในวังเรา พวกบัณฑิตข้างนอกนั่น…”

กล่าวถึงตรงนี้ ก็มองเห็นสีหน้าเฝิงเป่าผิดปกติไป หรี่ตามองมาอย่างเย็นเยียบ เถียนอี้จึงรู้ว่าผิดไปแล้ว รีบหุบปาก เฝิงเป่ามองเข้าสองสามที่ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า

“เถียนอี้ เจ้ากับจางหงเป็นสองคนที่ทำงานได้ดีที่สุด แต่พวกเจ้าสองคนล้วนมีข้อบกพร่อง ก็คือร่ำเรียนจนโง่เง่า พวกเราร่างกายพิการ คิดการงานใดก็ต้องคิดแผนเผื่อตัวเราเองด้วย อย่าได้เหมือนพวกร่ำเรียนตำรานอกวังพวกนั้น ส่งเอกสารลับมากมายไปที่ห้องทำงานเจ้าให้เจ้าได้อ่าน หรือยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อีก?”

เฝิงเป่าว่ากล่าวจนเถียนอี้หน้าแดงก่ำ เฝิงเป่ากล่าวอย่างเย็นชาว่า

“‘กลุ่มบัณฑิตชิงหลิว’ รวมตัวกัน เบื้องหลังย่อมมีผู้บงการ ผู้บงการเรื่องทั้งหมดเกรงว่าคงอยู่ในสำนักเสนาบดีใหญ่ที่เราได้พบกันทุกวันนี่เอง!”

ในที่ประชุมหอเหวินเหยียนเก๋อทุกวันก็มีราชบัณฑิตจากคณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีหกกรมและขุนนางผู้ใหญ่อื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มคนสำคัญระดับประเทศ เถียนอี้ได้ยินแล้วก็รู้สึกหนาวขึ้นในใจ กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า

“ท่านพ่อ เรื่องนี้ต้องตรวจสอบหรือไม่”

“ไม่ต้อง ไม่เกี่ยวข้องกับเรา”

เรื่องนี้ได้ข้อสรุปแล้ว เถียนอี้ก็ไม่กล่าวต่อให้มากความ ลำดับถัดมาเขาก็มองซ้ายมองขวา รายงานต่อว่า

“สายสืบที่เฝ้าดูอยู่ที่การประชุม ‘กลุ่มบัณฑิตชิงหลิว’ นั้นแอบฟังได้มาเรื่องหนึ่ง หากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องใหญ่ยิ่ง ไม่กล้าเขียนมา ได้แต่กระซิบผ่านลูกมาแทน ลูกไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี…”

เฝิงเป่าเงยหน้ามองเถียนอี้ก่อนจะพยักหน้า เถียนอี้จึงได้รายงานว่า

“คนที่พูดไม่มาก แค่พูดกันเล่นๆ เท่านั้น บอกว่าฝ่าบาทไม่มีความเป็นฮ่องเต้ที่ดี ให้ท้ายขุนนางชั่วสอพลอ หากกลับเป็น…กลับเป็นอ๋องลู่ที่หมั่นใฝ่หาความรู้ รู้จักคุณธรรมยิ่งใหญ่ เป็นฮ่องเต้ที่ปรีชาได้”

พอได้ยิน เฝิงเป่าก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะกล่าวว่า

“เลอะเลือนหรือไง? วาจาเช่นนี้พูดเล่นได้หรือ เจ้าไม่ต้องสืบต่อแล้ว ให้สำนักบูรพารับหน้าที่ต่อ”

***********

แม้ว่าคืนนี้จะดึกแล้ว แต่หลี่ซานไฉแห่งกรมอากรยังคงอยู่ในห้องหนังสือจุดไฟสว่างไสว หลี่ซานไฉกับบัณฑิตสองสามคนนั่งคุยกันสีหน้าเต็มไปด้วยคุณธรรม

“เต้าฟู่ (ชื่อรองหลี่ซานไฉ) ฎีกานี้ช่างทรงพลังแห่งคุณธรรมยิ่ง เพียงแต่หวังทงนั่นเป็นสหายที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมาก ยื่นฎีการ้องเรียนเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินฝ่าบาท หากทรงต้องการรักษาพระเกียรติไว้ เกรงว่าจะเกิดภัยพิบัติใหญ่!”

“เพื่อประชาใต้หล้า ข้าหลี่ซานไฉสละชีพนี้จะเสียดายไปไย ทุกท่านอย่าได้ทักท้วงอีกเลย อีกสองวันข้าจะยื่นทวงความยุติธรรมให้แก่ประชาแล้ว”

หลายคนในห้องซาบซึ้งจนต้องหลั่งน้ำตา ต่างสะเทือนใจในกันและกัน ล้วนกล่าวว่าตอนหลี่ซานไฉยื่นฎีกา ทุกคนจะออกไปร่วมด้วย ตีกลองร้องเรียนไปด้วยกัน

***********

“หลี่ฝู เอาเงินนี้ไปหาเติ้งจงซู ต้องถามให้กระจ่างให้ได้ ตอนท่านจางกล่าวถึงหวังทง เบื้องบนมีท่าทีเช่นไร”

พอแขกกลับไป หลี่ซานไฉก็เรียนคนสนิทมากำชับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!