Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 358

ตอนที่ 358 ในวังนอกวัง ขุนนางใดภักดี ขุนนางใดชั่วร้าย

“ทำลายแผ่นดินงั้นหรือ หวังทงก็แค่ปฏิบัติการที่เทียนจิน เหตุใดจึงมีความผิดมหันต์ถึงเพียงนี้ได้ ขุนนางจางอย่าได้กล่าวเลยไป……”

ว่านลี่ขมวดพระขนงมุ่น ตรัสสุรเสียงหงุดหงิด ในความเห็นพระองค์นั้น หวังทงก็แค่หาเงินเข้าวังเล็กน้อย ขุนนางพวกนี้ที่ออกมากล่าวนั่นนี่ก็เพราะไม่อยากเห็นพระองค์ใช้จ่ายเงินทองมากก็เท่านั้น

จางซื่อเหวยกล่าวรุนแรงเช่นนี้ ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกอึดอัดพระทัย อยากจะเลิกประชุมให้เร็ว ในตอนนั้นเอง จางจวีเจ้งก็ก้าวออกมาทูลด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล”

คนอื่นเพิกเฉยได้ ก็แค่ละเลยให้ผ่านไป แต่หากเป็นจางจวีเจิ้ง ว่านลี่ไม่อาจไม่รับฟัง พอเห็นจางจวีเจิ้งถวายคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ประทับนั่งตรงทันที ตรัสว่า

“ท่านจางกล่าวได้!”

“ฝ่าบาท เช้านี้ตอนหลี่ซานไฉอ่านฎีกา กระหม่อมก็ฟังอยู่ ฝ่าบาท ที่จางซื่อเหวยทูลมาว่าประชาชนชั้นบัณฑิตเป็นรากฐานแห่งแผ่นดิน วาจานี้จริงแท้ แต่ละหมู่บ้านหากมีบัณฑิตระดับจวี่เหรินห้าคนขึ้นไปก็ย่อมรุ่งเรือง รากฐานแผ่นดินราชวงศ์หมิงก็คือคนเหล่านี้ บรรพชนฮ่องเต้ทรงกำหนดไว้ หากมีตำแหน่งก็จะได้รับการเว้นภาษี ก็เพื่อปกป้องรักษาแผ่นดิน และยังเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน ปกป้องแผ่นดินราชวงศ์หมิงให้ยิ่งยืนนาน ที่หวังทงทำนั้น ระยะสั้นอาจเห็นว่าได้ประโยชน์ แต่จะเห็นแก่ประโยชน์เล็กน้อย ทำลายประโยชน์ใหญ่ ทำลายรากฐานได้อย่างไร เรื่องการมีกองกำลังส่วนตัวก็เช่นกัน แม้ว่าฝ่าบาทเห็นชอบ แต่กรมทหารไม่รู้เรื่องนี้ ผู้บังคับบัญชาทหารไม่รู้เรื่องนี้ เกรงว่าจะเป็นการเหลวไหลเกินไปแล้ว”

สีพระพักตร์ว่านลี่ดำคล้ำลง แม้ว่าจะทรงกริ้วหนัก แต่ก็ด้วยพระสติที่ไม่สมบูรณ์นักในวันนี้ ในเวลากระชั้นชิดก็ย่อมไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร

เมื่อเห็นว่าจางจวีเจิ้งก้าวออกมากราบทูล เห็นปฏิกิริยาว่านลี่ ขุนนางทุกคนในที่ทั้ง รวมทั้งหลี่โย่วจือก็ก้าวออกมาด้วยเช่นกัน กราบทูลเสียงดังกระจ่างชัดเจนว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่กรมปกครอง ได้ยินวาจากล่าวกันว่า” หนึ่งจวี่เหรินหนึ่งอำเภอ หนึ่งจิ้นซื่อหนึ่งเมือง “แม้ว่าคุยกันไม่จริงจังแต่ก็นับว่ามีเหตุผล เช้าวันนี้ ขุนนางระดับห้าลงไปรวมตัวกันแสดงความกล้าหาญ ในนี้มีทั้งจิ้นซื่อและจวี่เหรินไม่รู้มากมายเท่าไร ทุกคนต่างไม่พอใจการกระทำของหวังทง พวกเขามีสายสัมพันธ์อยู่ทั่วอำเภอและเมืองต่างๆ พื้นที่เทียนจินนั้นก็เป็นศูนย์การขนส่งเหนือใต้ นายกองพันหวังกำเริบเสิบสาน ข่าวแพรไปทั่วเหนือใต้ ทำลายชื่อเสียงราชสำนักไม่ว่า หากทำให้จิตใจประชาสั่นคลอน นี่จึงเป็นความผิดโทษมหันต์”

หม่าจื้อเฉียงที่เพิ่งกลับเข้าแถวยังกำลังตื่นตกใจกับเหตุเมื่อครู่ ทุกคนเห็นเขาไม่ก้าวออกมาทูล เสนาบดีกรมอาญาโจวซืออันจึงก้าวออกมากราบทูลแทนว่า

“พื้นที่ใกล้เมืองหลวงเช่นนี้ มีกองกำลังทหารและทัพม้านับพัน หากหวังทงคิดการไม่ซื่อ ผลลัพธ์ย่อมไม่อาจคาดเดาได้!”

“……ฝ่าบาท ประชายากลำบาก พระองค์ทรงครอบครองทั่วสี่สมุทร ความมั่งคั่งของประชาก็คือความมั่งคั่งของพระองค์ ไยต้องคิดเล็กคิดน้อย ทำเช่นนี้ เป็นการละเมิดคุณธรรม……”

บรรดาขุนนางในที่ประชุมต่างพากันออกมากล่าวด้วยความหวาดหวั่น ทุกคนต่างมุ่งไปที่การกระทำของหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงเหนื่อยล้า แต่สีพระพักตร์เริ่มทวีความกริ้วขึ้นเรื่อยๆ นายกองสำนักตรวจสอบฝ่ายซ้ายกำลังจะก้าวออกมากราบทูล ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตวาดสุรเสียงดังอย่างไม่อาจทนต่อไปได้ว่า

“พอได้แล้ว อะไรเรียกว่าไร้ชื่อไร้ระเบียบแบบแผน กองกำลังหู่เวยเป็นชื่อที่เราพระราชทานไป ในเมื่อกรมทหารไม่ได้ขึ้นทะเบียน เช่นนั้นก็เพิ่มรายชื่อเข้าไปให้เป็นระเบียบแบบแผนสิ! อะไรคือพระองค์ทรงครอบครองทั่วสี่สมุทร ความมั่งคั่งของประชาก็คือความมั่งคั่งของพระองค์ ตั้งแต่เราขึ้นครองราชย์ เสด็จแม่ก็ทรงใช้จ่ายประหยัด ภูษาผ้าธรรมดา พระเกศาปักปิ่นไม้ คหบดีในเมืองหลวงผู้ใดไม่สวมผ้าต่วนแพรไหมกันบ้าง……”

พระสุรเสียงค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นเมื่อก่อน ความกริ้วจะยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรง แต่หลายวันนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เสียกำลังพระวรกายไปกับอุทยานปัจจิมจนหมดสิ้น กำลังพระสติจึงไม่ทันจะคิดการสิ่งใดต่อ พอระเบิดอารมณ์เสร็จ ก็รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่ง โบกพระหัตถ์อย่างไม่อย่างสนพระทัยอีกว่า

“เลิกประชุมได้ เรื่องนี้ไว้ค่อยนำหารือภายหลัง”

ตรัสจบก็หันพระวรกายจากไปทันที บรรดาขุนนางก้มกายถวายคำนับส่ง รอจนว่านลี่ออกไป สายตาทุกคนก็จับจ้องไปที่จางจวีเจิ้ง มหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“ทำไมเรื่องไร้ระเบียบแบบแผนเช่นนี้ จึงไม่ส่งคนไปตรวจสอบกัน?”

ถามเพียงประโยคเดียว จากนั้นก็เงียบเดินออกไปยังห้องข้างๆ ทิ้งให้ทุกคนมองหน้ากันไปมา ล้วนคิดกันเงียบๆ ไปต่างๆ นานา

**********

พอออกจากที่ประชุม ว่านลี่ที่เดิมทรงเคยชินกับการเสด็จพระดำเนินเอง แต่ระยะนี้พระวรกายอ่อนล้า พอออกมาก็มีเกี้ยวมารอรับ

ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งอยู่ในเกี้ยว ขันทีร่างกายแข็งแรงหลายคนแบกเกี้ยวได้ความเร็วกำลังดี ให้เฝิงเป่ากับจางเฉิงและคนอื่นๆ เดินตาม ยามมีเฝิงเป่าอยู่ ผู้ที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ก็ย่อมเป็นเฝิงเป่า

“ต้าปั้น เรื่องเก็บภาษีที่ดินไม่ได้ เหตุใดท่านจางวันนี้จึงไม่โมโห หากเป็นเมื่อก่อน ย่อมต้องให้เรามีราชโองการตรวจสอบ”

สุรเสียงไร้เรี่ยวแรง เฝิงเป่าขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะอธิบายว่า

“ฝ่าบาท ทรงลืมหรือว่าผู้ใดพำนักอยู่ที่แม่น้ำซงเจียงนั่น?”

ว่านลี่ในเกี้ยวเสริมเบาะนุ่มเงียบไป เฝิงเป่าส่ายหน้า ทูลเสริมความต่อว่า

“สวีเจี้ยอยู่ที่เมืองซงเจียง ฝ่าบาท สมัยอดีตฮ่องเต้ เรื่องไห่รุ่ยที่ซงเจียง……”

กล่าวถึงตรงนี้ ว่านลี่ก็ร้อง ‘อ้อ’ ขึ้น เข้าพระทัยทันที

สมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง ไห่รุ่ยออกตรวจราชการทางใต้ก็เพื่อจัดการเรื่องที่ดิน ปลายรัชสมัยเจียจิ้งต้นรัชสมัยหลงชิ่งนั้น มหาอำมาตย์สวีเจี้ยมีที่ดินที่ซงเจียงหลายแสนหมู่ ตระกูลสวีครอบครองที่ดินมหาศาลเช่นนี้ หลายที่ยังเป็นที่สวีเจี้ยใช้อำนาจแย่งชิงมาครอบครอง

ไห่รุยตรวจสอบเรื่องนี้ ทำเอาสวีเจี้ยตกที่นั่งลำบากมาก แต่ตอนนั้นเองในเมืองหลวงก็มีขุนนางคนหนึ่งยื่นฎีการ้องเรียนไห่รุ่ยว่าสังหารภรรยา ทั้งยังทำเรื่องผิดกฎหมายหลายเรื่อง ไห่รุ่ยจึงต้องถูกพักราชการเข้าสู่กระบวนการสอบสวน มีคนเล่ากันว่า ‘อำมาตย์ไร้ลมหายใจล้มผู้ว่าการแผ่นดินมีชีวิต’

ในเกี้ยวเงียบไปอีก ว่านลี่ตรัสอย่างไร้อารมณ์ว่า

“มิน่าหม่าจื้อเฉียงจึงได้อ้ำอึ้ง ท่านจางก็รีบปัดให้ผ่าน ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ท่านสวีทั้งครอบครัวครอบครองที่ดินหลายแสน ภาษีแดงเดียวก็ไม่จ่าย ไยจึงยังมีคนกล้ากล่าวกับเราว่าไม่ควรแย่งชิงประโยชน์ประชา ที่แท้ ‘ประชา’ พวกนี้แย่งชิงจากเราไปหมดแล้ว คนพวกนี้เหตุใดจึงไม่อยากเห็นเราได้ประโยชน์กัน!”

เฝิงเป่าก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร ได้แต่รับฟัง เดินไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงกรนดังมาจากในเกี้ยว ลมหายใจเริ่มลากยาว ฮ่องเต้ว่านลี่บรรทมหลับไปเรียบร้อย

เฝิงเป่าโบกมือให้ขันทีแบกเกี้ยวเดินต่อไป ส่วนตนเองกลับหยุดเดินหันไปถามจางเฉิงว่า

“เมื่อคืนฝ่าบาทกลับจากอุทยานปัจจิมเวลาใด?”

“หลังเที่ยงคืน เกือบตีสาม เสี่ยวเลี่ยงติดตามใกล้ชิด”

จางเฉิงรีบตอบ เฝิงเป่าสีหน้ำเย็นชา กล่าวขึ้นท่าทางเอาเรื่องว่า

“ไร้วันไร้คืนเช่นนี้ เกินไปแล้วจริงๆ ซุนไห่ไม่รู้จักหนักเบา เอาพระทัยกันเช่นนี้ คิดว่าไทเฮาไม่ทรงสนพระทัยจริงๆ งั้นหรือ?”

“เฝิงกงกง ซุนไห่ไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ หากไทเฮาทรงเอาเรื่องลงมา เราอย่างไรก็ต้องมีอะไรกราบทูลบ้าง”

“ตอนนี้ใครจะตักเตือนซุนไห่ได้บ้าง แม้แต่จางจิงยังไม่เห็นอยู่ในสายตา จางกงกง ส่งคนไปสำนักอาชาหลวง ให้ซุนไห่มาพบข้า”

************

ณ เรือนพำนักแห่งหนึ่งริมกำแพงเมืองหลวง จางเฉิงกล่าวอยู่ในนั้น โจวอี้กำลังจดบันทึกอย่างเร็ว พอทางนั้นหยุดพูด ทางนี้ก็หยุดมือ

“ส่งมาให้ข้าอ่านก่อน”

จางเฉิงที่แต่ไรไม่แสดงอารมณ์บนสีหน้า ยามนี้เริ่มฉายแววร้อนใจ รับบันทึกจากโจวอี้มากวาดตาอ่าน จากนั้นก็ขยำทิ้ง กล่าวว่า

“กล่าวละเอียดเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์ เขียนจดหมายบอกไปว่า พวกขุนนางร่ำเรียนมาเห็นเงินทองสำคัญ ทำเงินทองพวกมันหายไปแค่แดงเดียว พวกมันก็จะจดจำไปชั่วชีวิต หากยามนี้ไหนเลยจะแค่แดงเดียว ไม่รู้ว่าโกรธแค้นเจ้าเพียงใด เพลาๆ ลงเสียบ้างละกัน!!”

โจวอี้พยักหน้าและเขียนต่อ เขียนไปได้สักพัก ก็อดไม่ได้เงยหน้ากล่าวว่า

“เงินทองมากมายเช่นนี้ส่งเข้าวัง เพื่อเอาไปซ่อมแซมอุทยานปัจจิม เอาพวกนางงิ้วพวกนั้นเข้าวัง……”

“ระวังวาจา เมื่อก่อนเจ้าสงบนิ่งกว่านี้ เหตุใดยามนี้จึงไม่รู้จักระวัง หรือเจ้าคิดจะอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต……”

“ลูกผิดไปแล้ว พ่อบุญธรรมอย่าเพิ่งโกรธ”

โจวอี้หลุบตาลงรับผิด จางเฉิงนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าไร้อารมณ์กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้นว่า

“ที่ควรทูล ข้าก็ทูลฝ่าบาทไปหมดแล้ว ที่ควรทูลไทเฮา ข้าก็ทูลไปแล้ว ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว ให้เฝิงกงกงไปทูลเองละกัน!”

***********

“ซุนไห่ ระยะนี้เจ้าทำการเหลวไหลบัดซบเกินไปแล้ว ฝ่าบาทเพิ่งทรงเริ่มเจริญชันษา ไยเจ้าให้พระองค์แตะต้องนารีมากมายทำลายพระวรกายเช่นนั้น หรือเจ้าคิดว่ารับความผิดนั้นไหว”

เฝิงเป่านั่งอยู่ กล่าวกับซุนไห่ด้วยสีหน้าจริงจังเข้มงวด ซุนไห่กลับยิ้มร่า มองไม่ออกว่าคิดเช่นไร

ท่าทางเช่นนี้ทำให้เฝิงเป่ายิ่งโมโห เฝิงเป่าอยู่ในสถานะที่มีอำนาจที่สุดในใต้หล้าแล้ว ในวังนอกวังล้วนยำเกรง หากซุนไห่กลับยิ้มร่าเช่นนี้ พบเห็นได้น้อยมาก

ทว่าซุนไห่ก็มีที่พึ่งใหญ่ในวัง ตำแหน่งก็ไม่น้อย ทำเช่นนี้เหมือนกับกำลังท้าทายอำนาจเฝิงเป่า เฝิงเป่าจึงตบโต๊ะยืนขึ้นตวาดด้วยความโมโหว่า

“เจ้าคิดว่ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ไม่มีคนจัดการเจ้าได้งั้นหรือ? หรือจะต้องให้ลงโทษตามกฎสำนักระเบียบ!!”

“เฝิงกงกง ตอนที่ยังอยู่จวนอ๋องอวี้ ข้าจำได้ว่าท่านมิได้อารมณ์ร้อนเช่นนี้นี่ ตอนนั้นข้ายังเรียกท่านว่า พี่เฝิง เหตุใดยามนี้จึงเปลี่ยนไปเยี่ยงนี้ได้?”

“……เจ้า!! เจ้านำพาฝ่าบาท……”

“ทำให้ฝ่าบาททรงดีพระทัย เดิมก็เป็นสิ่งที่บ่าวรับใช้เช่นเราควรกระทำ ข้าไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิดตรงไหน เฝิงกงกง ข้ากล่าววาจามากความเตือนท่านสักคำ วังหลวงนี้ลมเปลี่ยนทิศไวยิ่ง วันนี้เช่นนี้ วันหน้าเช่นไร ผู้ใดกล้ากล่าวรับรอง?”

วาจาทิ่มแทงนี้ทำให้เฝิงเป่ายิ่งออกอาการโมโหอย่างมาก ชี้หน้าซุนไห่มือไม้สั่นกล่าวไม่ออก เห็นท่าทางเฝิงเป่าเช่นนี้ ซุนไห่ก็รู้สึกกลัวอยู่บ้าง ผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงข้างนอกดังมาว่า

“ซุนกงกง ฝ่าบาททรงรับสั่งเรียกหา!”

สีหน้าซุนไห่ที่เดิมเริ่มเคร่งเครียด ยามนี้กลับเผยรอยยิ้ม ประสานมือก้มกายคำนับถอยออกไปทันที

เมื่อซุนไห่เดินออกไป เฝิงเป่าที่โมโหจนตัวสั่นก็เริ่มสงบลง หันไปกล่าวกับขันทีน้อยผู้หนึ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่เดินเข้ามาว่า

“เรื่องเมื่อครู่ ต้องบอกจิ่นซิ่ว บอกว่าเจ้าแอบได้ยินมา”

ขันทีก้มกายรับคำ

คนในวังล้วนรู้กันดีกว่า จิ่นซิ่วก็คือนางกำนัลคนสนิทที่สุดของไทเฮาฉือเซิ่ง……

*************

ณ เทียนจิน ท้องทะเลที่เทียนจินเริ่มละลายแล้ว น้ำแข็งบนผืนแม่น้ำก็เริ่มแตกตัว

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!