Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 360

ตอนที่ 360 ไยต้องลำบากมา

“ส่งสารไปเมืองหลวง บอกว่าตอนนี้คนจดบัญชีไม่เพียงพอแล้ว ต้องเร่งส่งมาให้ต่อเนื่อง มิเช่นนั้นจะไม่รู้ว่าเงินภาษีเก็บมาได้มากน้อยเท่าไร”

หวังทงยืนอยู่ที่นั่นอ่านบัญชีไปพลางพูดไปพลางอย่างร้อนใจ คนข้างๆ ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ส่วนใหญ่มักกล่าวกันว่าไม่มีเงินจึงต้องร้อนใจ ตอนนี้เงินเยอะแยะมากมายก็กลับต้องร้อนใจเช่นกัน

“ใต้เท้าหวัง พวกจดบัญชีเป็นนั้นล้วนเป็นร้านค้าเลี้ยงดูสั่งสอนกันมา คิดจะหาก็ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ คนเช่นนี้อย่างไรก็ต้องให้พวกเราเร่งช่วยกันฝึกขึ้นมา”

หยางซือเฉินพูดจาด้วยท่าทีระมัดระวัง หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า

“นายกองไช่ ออกประกาศไปสักหน่อยว่า พี่น้องในเมืองและอำเภอละแวกเทียนจินนี้ หากมีพื้นฐานบ้าง เราจะรับไว้ทำงาน ค่อยๆ สอน มิใช่ว่าจะใช้การในปีนี้ แม้ว่ารับคนมาใหม่ ก็ไม่แน่ว่าวันหน้าจะพอใช้ ต้องเตรียมการระยะยาวกันแล้ว!”

ไช่หนานรับคำสั่งก่อนจะรีบจด ประตูเปิดออก ซุนต้าไห่ก้าวเข้ามา อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ แต่ดูการแต่งตัวของเขาแล้ว เหมือนว่าเป็นฤดูร้อน สีหน้าตื่นตระหนกตกใจอย่างมาก

หลายวันนี้ ทุกคนมองเขาว่าท่าทางตื่นเต้นแปลกไปจากเดิม หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า

“ต้าไห่ เจ้าเช็ดเหงื่อก่อน จะได้ไม่เป็นหวัด”

ซุนต้าไห่ขอบคุณก่อนจะกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า

“มารดามันสิ แต่เล็กจนโนตมา เงินก้อนโตก็ได้จับต้องหลายครั้งหลังติดตามใต้เท้า แต่ไม่เคยมีเข้ามาเร็วเพียงนี้ ก่อนหน้าย้ายไปแล้วรอบ เมื่อวานขนอีกสองรอบ วันนี้ตอนเช้ายังมีอีกก้อนโต”

ทุกคนฮาครืนขึ้นพร้อมกัน ซุนต้าไห่ยิ้มแหะๆ คำนับก่อนจะถามหวังทงว่า

“ใต้เท้า บ้านสองหลังเมื่อวานที่ถูกทิ้งร้างไว้มาก่อนหน้านี้ก็เต็มไปอีกแล้ว นางหม่าฝากมาถามว่า มีคนงานในจวนสองสามคนที่เพิ่งรับมา ไม่ได้ใช้งาน ไม่สู้ส่งไปทำงานที่ร้าน ห้องที่อยู่ก็จะได้ว่าง

หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า

“ก็ดี สาวใช้คนงานอะไรพวกนั้น ก็เอาไว้เป็นสายให้เราละกัน ส่งออกไปได้เท่าไรก็ส่งไป เก็บไว้ในจวนก็ว้าวุ่นใจกันเปล่าๆ”

หวังทงคิดครู่หนึ่งก็กล่าวเสริมความว่า

“สามห้องก็พอ ต้าไห่เจ้าต้องดูแลโกดังให้ดี เงินทองมากมายเพียงนั้น หากเกิดเรื่องย่อมยุ่งยากไม่น้อย”

“ขอใต้เท้าวางใจ ข้าน้อยอยู่ที่โกดังทุกวัน ผู้ใดก็ตามที่ต้องการเข้าออก จะต้องผ่านสายตาข้าน้อยก่อน หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าน้อยขอชดใช้ด้วยชีวิต!”

เพราะเป็นเงินจำนวนมากเกินไป ดังนั้นซุนต้าไห่จึงกล่าวหนัก หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า

“ไม่ต้องถึงขั้นนั้น กล่าวเกินไปแล้ว”

คนในห้องพากันหัวเราะครืน หวังทงปิดสมุดบัญชี ยกขึ้นแกว่งไปมา ยิ้มกล่าวว่า

“ดูเงินบรรณาการสิ ก่อนเดือนสี่ ดีไม่ดีแค่กลางเดือนสาม เงินก้อนจินฮวาก็จะเก็บครบจำนวนแล้ว ในเวลาหนึ่งปี ใช้เวลาแค่แปดเดือนเท่านั้น ฝ่าบาทย่อมทรงรู้สึกภูมิใจได้หน้า ดีพระทัยอย่างมากเป็นแน่”

ในขณะที่พูดอยู่นั้นก็มีมีทหารตะโกนดังมาจากข้างนอกว่า

“มีจดหมายจากเมืองหลวง”

จางซื่อเฉียงที่ยืนอยู่ก็รีบเปิดประตูออก จดหมายลับจากเมืองหลวงมีธรรมเนียมว่าต้องส่งถึงมือหวังทงหรือจางซื่อเฉียงสองคนเท่านั้น ไม่อาจส่งให้ผู้ใดรับไปได้ เช่นนี้ก็เพื่อรักษาความลับเอาไว้

ได้ยินข่าวนี้ ทุกคนในห้องก็มีสีหน้าตื่นเต้น พวกเขาในฐานะคนของหวังทง ย่อมรู้ดีกว่าที่พึ่งใหญ่ของหวังทงมาจากที่ใด

ระยะนี้จดหมายจากเมืองหลวงมาอย่างประปราย แสดงให้เห็นว่าโอรสสวรรค์ไม่ได้โปรดปรานเหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่หวังทงทำนั้นได้ล่วงเกินคนไปไม่น้อย ความร่ำรวยมั่งคั่งของทุกคนหากไม่ได้รับการปกป้องจากฝ่าบาทแล้วก็ย่อมหมายถึงหายนะ ตอนนี้พอเห็นว่ามีจดหมายมาจากเมืองหลวง ทุกคนจึงรู้สึกดีใจ

ไม่นานนัก จางซื่อเฉียงก็ถือห่อผ้าเข้ามาส่งให้หวังทง เห็นสีหน้าทุกคนแล้ว หวังทงจึงต้องวางห่อผ้าลงบนโต๊ะและแกะออก

ในห่อผ้ามีกล่องไม้ หวังทงมองแวบเดียวก็รู้ เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เป็นจดหมายจากเมืองหลวง”

พอได้ฟังว่าไม่ใช่จดหมายจากฮ่องเต้ ความยินดีของทุกคนก็มลายหายไป หวังทงหันหลังเปิดกล่องไม้ออก หยิบกระดาษจดหมายที่เขียนเต็มทั้งแผ่นขึ้นมาเปิดออกอ่าน ความผ่อนคลายค่อยๆ จางหายไป ตอนหันกลับมา สีหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า

“ต้าไห่ รีบไปเตรียมรถและขบวนอารักขา พรุ่งนี้เที่ยงเก็บเงินแล้วออกเดินทางได้ รีบส่งเข้าเมืองหลวง ไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย!”

ซุนต้าไห่เห็นหวังทงจู่ ๆ ก็เร่ง ก็รู้ว่าเรื่องราวไม่ถูกต้องแล้ว จึงรีบรับคำสั่งก้าวออกจากห้องไปทันที

เห็นสายตาทุกคู่ที่มองมาเป็นจุดเดียว หวังทงก็ทำเหมือนเมื่อครู่ตอนยกสมุดบัญชี แกว่งจดหมายไปมา เอ่ยว่า

“หลายวันก่อนฝ่าบาททรงอนุญาตตามฎีการ้องเรียน กรมทหาร กรมอากร สำนักองครักษ์เสื้อแพรยังมีสำนักอาชาหลวงและสำนักส่วนพระองค์ในวังจะออกตรวจการที่นี่ เพื่อตรวจสอบการตั้งด่านเก็บภาษี การฝึกทหารส่วนตัว ตรวจว่ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่”

เสียงสูงขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวถึงสุดท้าย หวังทงก็ตบจดหมายลงบนโต๊ะอย่างแรง หยางซือเฉินที่เดิมก็ฟังอย่างตื่นตระหนกอยู่ เสียงดังเช่นนี้ทำเอาเขาสะดุ้ง พู่กันในมือร่วงลงพื้น

เหตุการณ์แทรกที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ดึงดูดสายตาทุกคนให้จับจ้อง บรรยากาศตึงเครียดหยุดไปครู่หนึ่ง หยางซือเฉินก้มลงหยิบพู่กัน หวังทงระบำยลมหายใจหลายทีก่อนจะหยิบจดหมายขึ้นมากล่าวว่า

“หลังจากหลี่ซานไฉยื่นฎีกา บัณฑิตในเมืองต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันรุนแรง หาว่าข้าเป็นหายนะของแผ่นดิน หากไม่จัดการ ย่อมต้องบ่มเพาะไปสู่ภัยร้ายแรงเป็นแน่!!”

พูดรุนแรงจนถึงกับไอไปหลายที หลี่ซานไฉยื่นฎีกานั้นหวังทงรู้แล้ว เดิมคิดว่าเหมือนกับเมื่อก่อน การโจมตีต่อหน้าว่านลี่เช่นนี้ย่อมไม่อาจผ่านออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าเผลอไผลไปชั่วครู่ จึงต้องเดินมาถึงจุดนี้

ความเหินห่างของฮ่องเต้เดิมนั้นทำให้หวังทงเริ่มร้อนใจบ้างแล้ว ตนเองตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างยากลำบาก ก็เพื่อหาเงินหาทองให้ในวังใช้จ่าย แต่โอรสสวรรค์ที่มีน้ำใจแน่นแฟ้นกับตนถึงกับอนุญาตให้บรรดากรมกองต่างๆ มาตรวจสอบที่นี่ ข่าวนี้ยังมาในช่วงที่กำลังหาเงินทองได้ก้อนมหาศาลอีกด้วย

ความหงุดหงิด ความโกรธและจิตใจตกต่ำเกิดขึ้นผสมปนเป ทำให้หวังทงไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไม่อาจระงับได้

“หากไม่ใช่เพื่อฝ่าบาท ไม่ใช่เพื่อแผ่นดินหมิง ไยข้าต้องทำมากมายเช่นนี้ด้วย หากข้าต้องการเพื่อความร่ำรวยส่วนตัวแล้ว ไยต้องเสี่ยงภัยใหญ่เช่นนี้ด้วย เส้นทางขามาก็ถูกทหารลอบโจมตี เส้นทางจากค่ายยังถูกพลธนูรุมสังหาร บรรดาบัณฑิตในเมืองหลวงวันๆ เขียนบทความด่าข้า คิดว่าข้าไม่รู้หรือ ไยข้าต้องมาที่นี่ให้ลำบากด้วย!!”

สองมือหวังทงจับโต๊ะแน่นพร้อมกัดฟันกรอดกล่าวอย่างโมโห ซุนต้าไห่ออกไปแล้ว เหลือแต่จางซื่อเฉียง ถานเจียง หยางซือเฉินและไช่หนานสี่คน

จางซื่อเฉียงและถานเจียงล้วนเป็นคนใน ยามนี้ก็ยังแปลกใจ หยางซือเฉินกับไช่หนานคิดไม่ถึงว่าหวังทงที่เคยสงบนิ่ง ยามนี้ไยจึงได้หลุดระเบิดออกมาได้เช่นนี้ ต่างลุกขึ้นมองมา ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี

“……ใต้เท้าจงรักภักดี เรื่องนี้ เรื่องนี้จะต้อง……”

เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบ หยางซือเฉินจึงได้เอ้ออ้าเอ่ยขึ้นก่อน หากจะบอกว่าตื่นตระหนก เขาในตอนนี้เกรงว่าเป็นคนที่ตื่นตระหนกที่สุดคนหนึ่ง การออกมาปลอบเช่นนี้กับบอกว่าให้หวังทงสบายใจ ไม่สู้บอกว่ากำลังปลอบใจตัวเองให้สบายใจมากกว่า

ถานเจียงมองมาหลายรอบ ยกมือขึ้นโบกให้สัญญาณว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หวังทงแม้ว่าโมโหแต่น้ำเสียงก็ยังนิ่ง เห็นชัดว่ายังรู้จักหนักเบาอยู่ แสดงให้เห็นว่ายังไม่ถึงขึ้นคุมอารมณ์ไม่ได้

คิดถึงตรงนี้ ถานเจียงเองก็ตกใจเหมือนกัน เด็กหนุ่มอายุไม่ถึง 16 ฟันฝ่าต่อสู้จนมาถึงวันนี้ไม่ว่า หากปกติก็เก็บอารมณ์ได้นิ่งเหมือนคนอายุ 30 -40 แต่การระเบิดอารมณ์เมื่อครู่ให้ทุกคนรู้สึกว่าก็แค่เด็กน้อยที่ยังไม่โตนักเท่านั้น

ทว่าท่ามกลางความโกรธที่อัดแน่นและความร้อนใจหมดหวังเช่นนี้ ยังสามารถบังคับน้ำเสียงให้นิ่งได้ คิดได้ว่าไม่ควรให้ข้างนอกได้รู้ การคิดได้รอบคอบเช่นนี้ช่างควรค่าแก่การชื่นชม เด็กหนุ่มโตแค่นี้หากคิดได้ถึงขั้นนี้ หรือว่าเป็นอัจฉริยะมาเกิดจริงๆ

*************

ตั้งแต่หวังทงเกิดมาจนอายุ 12 นั้นคิดแต่เพียงว่าจะทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดีสักหน่อยได้อย่างไรเท่านั้น มีที่พักอุ่น มีอาหารกินอิ่ม สามารถมีชีวิตราบรื่นสบายไปตลอดชีวิต หากก็ยังมีความคิดทะเยอทะยานที่ชาติก่อนยังทำไม่สำเร็จอยู่ นั่นก็คือความร่ำรวย

และด้วยความบังเอิญกับความพยายามดิ้นรนต่อสู้ จึงได้พบกับฮ่องเต้ว่านลี่ ได้พบกับจางเฉิง เฝิงเป่าและจางจวีเจิ้งซึ่งล้วนเป็นระดับแนวหน้าในราชวงศ์หมิง ด้วนประสบการณ์และความพยายามในชาติก่อนที่อยู่ในวงการทำงานมาอย่างโชกโชน ความสัมพันธ์กับฮ่องเต้ก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ทรงให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

หากต้องการให้อยู่ยาวนาน ก็ต้องทำงาน หวังทงจึงได้คิดป้ายสงบสุขขึ้นมา คิดก่อตั้งสำนักรักษาความสงบขึ้นมา เพื่อสร้างกองกำลังที่ฮ่องเต้น้อยจะสามารถสั่งการได้

ถึงตอนนี้ ความมั่งคั่งร่ำรวยไม่ได้อยู่ในห้วงความคิดอีกต่อไป หวังทงได้อยู่กับฮ่องเต้ทุกวัน ได้ฟังเรื่องราวสำคัญระดับแผ่นดินทุกวัน

หวังทงได้หลอมรวมเข้ากับยุคสมัยไปอย่างไม่ทันรู้ตัว เขายิ่งปรับตัวเข้ากับยุคสมัยหมิง เขารู้สึกว่าตนเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคนี้ไปแล้ว เป็นขุนนางแห่งราชวงศ์หมิง เป็นประชาชนของยุคประวัติศาสตร์จีน

เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูง ใกล้ชิดศูนย์กลาง หวังทงก็เริ่มรู้สึกรับผิดชอบต่อราชวงศ์หมิงอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าความรู้ทางประวัติศาสตร์ของเขาจะตื้นเขิน แต่เขายังรู้ว่าราชวงศ์หมิงอีกไม่กี่สิบปีจะถูกทำลายโดยชนเผ่าหนี่ว์เจิน (พวกแมนจู) จากนั้นพี่น้องชาวฮั่นก็จะตกเข้าสู่ความมืดและความเขลา จากนั้นก็เป็นยุคใกล้[1]ที่แสนอัปยศ

ในเมื่อรู้สึกรับผิดชอบและยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ เหตุใดจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ทำให้แผ่นดินหมิงได้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสืบต่อไปได้

เขากำลังลองพยายามทำอะไรบางอย่าง แผ่นดินหมิงขาดเงินทองเพราะดำเนินการเพียงแค่ภาษีที่ดิน หวังทงจึงได้คิดถึงภาษีการค้า พวกขุนนางมีตำแหน่งไม่ต้องจ่ายภาษี ส่วนใหญ่จึงเหมือนพยาธิแห่งราชวงศ์หมิง เช่นนั้นหวังทงก็จำเป็นต้องทำให้พวกเขาเหมือนราษฎรคนอื่น ทหารหมิงอ่อนแอ ก็ต้องสร้างกองกำลังให้เข้มแข็ง หวังทงจึงได้ใช้กลยุทธ์ใหม่ในการฝึกทหาร ลองใช้กลยุทธ์ทหารเข้มแข็ง……

สิ่งที่หวังทงทำทั้งหมดนี้ ทำให้สามารถส่งเงินเกือบล้านตำลึงเข้าวัง ประชาชนที่เทียนจินกินดีอยู่ดี รายได้มากมี ฮ่องเต้ที่ไร้ที่พึ่งก็สามารถมีกองกำลังกองหนึ่งของพระองค์เองที่เทียนจิน

สิ่งที่ต่างเหล่านี้ล้วนดีต่อราษฎรราชวงศ์หมิง เหตุใดใต้หล้านี้ โดยเฉพาะพวกร่ำเรียนตำรามาจึงได้ยอมรับตนไม่ได้

“ใต้เท้า ผู้ตรวจการจากราชสำนักมาตรวจการเช่นนี้ เกรงว่าน่าจะใกล้ถึงเทียนจินแล้ว ทำเช่นไรดี?”

“ทำเช่นไรรึ? ประลองกำลังกันสักตั้งแล้วกัน!”

หวังทงไม่หันหน้ามา หากเอ่ยตอบอย่างเย็นชาแทน

———————-

[1] เริ่มจากช่วงสงครามฝิ่นในราวปี 1839-1842 แต่นั้นมาจีนก็ถูกชาติตะวันตกเอาเปรียบย่ำยีจนถึงสิ้นแผ่นดิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!