ตอนที่ 362 หน่วยรักษาความปลอดภัย หาเรื่องถึงที่
“กลุ่มขนนางตรวจสอบหวังทงจะถึงเทียนจินในอีกสองวัน”
หวังทงอยู่บนหลังมาพลันได้รับจดหมายจากพลทหาร เขาอ่านจดหมายในมือ จากนั้นก็ยิ้มยัดไว้ในกระเป๋าใต้อานม้า
ฤดูใบไม้ผลิอันงดงาม หวังทงนำคนไปที่แม่น้ำทะเล เมื่อก่อนเป็นเส้นทางที่คนย่ำกันจนเป็นทาง ไปมายากลำบาก หากยามนี้ปูทางเรียบร้อย รถม้าแล่นผ่านได้สะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก
ผู้ติดตามของหวังทงคราวนี้ไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทหารสามคนบนหลังม้าได้แก่ลี่เทา ซุนซิงและหลี่หู่โถว ด้านหลังยังมีเด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวยเดิมที่ติดตามมาจากเมืองหลวงด้วยกัน
เด็กหนุ่มที่ผ่านการฝึกจากลานฝึกหู่เวยอย่างเฉินซือเป่าที่อยู่เมืองหลวง ตอนนี้ได้รับตำแหน่งขุนนางบู๊ดูแลป้อมปประตูเมือง ว่ากันว่าคนที่กลับไปเมืองเซวียนฝู่ยังได้ตำแหน่งนายกองพันที่มีอำนาจแท้จริงกันหลายคน นำกำลังปกป้องเมือง ที่เหลือในเมืองจี้โจวกับเมืองหลวงก็ล้วนได้รับหน้าที่สำคัญ หนึ่งนั้นเป็นเพราะทุกคนได้ยินมาว่า ลานฝึกหู่เวยในเมืองหลวงนั้นได้ฝึกร่วมกับฮ่องเต้ สองนั้นเป็นเพราะเด็กหนุ่มได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจริงๆ มีทักษะยุทธ์และการตั้งค่ายขบวนแถว ล้วนคุ้นเคยความเป็นกองทัพอย่างดี เรียกใช้งานได้สะดวก ดังนั้นหากไม่ได้รับตำแหน่งใหญ่ก็ได้รับหน้าที่สำคัญกันทุกคน
เด็กหนุ่มที่ติดตามมาที่เทียนจิน โดยเฉพาะลี่เทา ซุนซิงและหลี่หู่โถวที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในลานฝึกหู่เวย ครูฝึกชมเชนกันหลายครั้ง
ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของหวังทง สถานะของสามคนนี้กล่าวได้ว่าธรรมดา แต่ไม่ใช่ว่าหวังทงไม่อยากเลื่อนตำแหน่งให้ แต่เป็นเพราะหวังทงก็ยังเป็นแค่นายกองพัน ตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชาก็ย่อมมีจำกัด
ถึงตอนนี้ลี่เทาและซุนซิงยังเป็นแค่นายกองร้อย หลี่หู่โถวก็แค่นายกองธงใหญ่เท่านั้น แต่นอกจากหลี่หู่โถวแล้ว คนอื่นๆ ล้วนต้องฝึกฝนกันอยู่ในค่าย ไม่ได้สนิทสนมกับหวังทงเหมือนเมื่อก่อน
ทว่าหวังทงก็ยังมีนิสัยเหมือนเดิม นั่นคือมีเรื่องใด นายบางคนก็ไม่จำเป็นต้องบอกลูกน้อง แต่หวังทงกลับบอกเรื่องเหล่านี้แก่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ นับเป็นการให้ความรู้อย่างหนึ่ง
หลังจากได้ยินเสียงหวังทงอ่านจดหมายในมือจบ ลี่เทาด้านหลังลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า
“พี่หวัง เหตุใดจากเมืองหลวงจึงมาไวเพียงนี้?”
หากมิใช่ยามปฏิบัติหน้าที่ เด็กเหล่านี้จะเรียกขานหวังทงว่า ‘พี่ใหญ่’ อนุญาตเป็นกรณีพิเศษ และยังเป็นการสร้างความสนิทสนมใกล้ชิดของหวังทง หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“มาไม่เรียกว่าเร็ว นี่ก็วันที่ 16 เดือนสามแล้ว เดิมคิดว่าวันที่ 5 เดือนสามก็ควรมาได้แล้ว”
แต่ละหน่วยงานประสานกำลังตรวจสอบ แม้แต่เด็กหนุ่มพวกนี้ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เห็นสีหน้าหวังทงไม่กังวลแม้แต่น้อย พวกเขาก็ไม่อาจถามต่อให้มากความ
หากหวังทงกลับเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกแส้ม้าวาดเป็นวงไปทางแม่น้ำทะเลสองรอบ ยิ้มกล่าวว่า
“ยามนี้รุ่งเรืองกันถึงเพียงนี้ พวกเจ้าในตอนแรกสุดเคยคิดว่าเช่นนี้มาก่อนไหม?”
บรรดาเด็กหนุ่มส่ายหน้า ซุนซิงถอนหายใจกล่าวว่า
“ตอนเข้าจัดการพื้นที่เพื่อสร้างป้อมปืนใหญ่ริมแม่น้ำทะเลเมื่อคราก่อน ข้าก็ติดตามมาด้วย ตอนนั้นยังรกร้างเต็มไปด้วยดินโคลน ต้องใกล้ๆ โกดังใหญ่จึงมีเส้นทางผุพังไว้ผ่านไปมา แต่ดูยามนี้สิ ตรอกม้าหินในเมืองหลวงเทียบกับที่นี่แม้ว่าจะอู้ฟู่กว่า แต่หากพูดถึงความคึกคักแล้ว เทียบที่นี่ไม่ได้เลย”
“สร้างเมืองจากพื้นที่ว่างเปล่า หากเป็นเมื่อก่อนจะไปกล้าคิดได้อย่างไร ได้ยินบิดาข้าเล่าว่า เมืองเซวียนฝู่ทางเหนือสร้างป้อมประตูเมือง สร้างไปตั้งหนึ่งปีเต็มๆ ตอนหลังต้องให้แม่ทัพหม่าตัดหัวคนไปสองสามคนจึงได้สร้างเสร็จ แต่ดูที่นี่สิ……”
วาจำที่กล่าวตามมาของลี่เท่าทำเอาหวังทงตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะมองมาทางเขาแล้วถามขึ้นว่า
“แม่ทัพหม่า?”
“ผู้บัญชาการทหารเมืองเซวียนฝู่ แม่ทัพหม่าฟาง……”
หวังทงยิ้มอึ้งไป ไม่คิดเลยว่าหม่าฟาง แม่ทัพชื่อดังก่อนยุคของชีจี้กวงและอวี๋ต้าโหย่วที่หมู่ประชาให้กล่าวกันติดปากว่า ‘กล้าหาญไม่สู้หม่าฟาง’ ชื่อหม่าฟางนั้นอยู่ในความทรงจำที่มาจากชาติก่อนของหวังทง
หวังทงตกอยู่ในภวังค์ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะจัดการความรู้สึกพลุ่งพล่านที่เกิดขึ้นภายใจลงได้ กล่าวว่า
“วันนี้พาพวกเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อจะปลดพวกเจ้าออกจากค่าย”
ขณะทุกคนกำลังเดินเที่ยวชมริมแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ รับสายลมอันอบอุ่น คุยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับกล่าวเช่นนี้ออกมา หลายคนต่างพากันนิ่งอึ้งไป หลี่หู่โถวหลุดตะโกนเสียงดังออกมาว่า
“พี่หวัง พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด รักษาวินัยกองทัพเข้มงวด พวกเราไม่ได้ละเมิดวินัยสักนิด!”
เห็นซุนซิงกับลี่เทากำลังจะพูด หวังทงก็โบกมือให้หยุด ยิ้มกล่าวว่า
“ฟังข้าพูดให้ละเอียดก่อน พวกเจ้าดูสองฝั่งแม่น้ำทะเลนั่น เห็นอะไร?”
เด็กหนุ่มบนหลังม้ามองตามไป นอกจากคนผ่านไปมาขวักไขว่และเส้นทางสัญจรที่เป็นระเบียบแล้ว ไกลออกไปอีก ยังเห็นเรือลอยอยู่บนทะเล นอกจากนี้ก็ไม่เห็นอะไร
“ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น อีกสามเดือนจากนี้ เรือทะเลจะทะลักเข้ามา ก็ไม่รู้ว่าจะรุ่งเรืองกันไปถึงขั้นใด ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่ามีคนอีกมากมายเท่าไร เงินทองอีกมากมายเท่าไร สินค้าอีกมากมายเท่าไรจะมารวมกันที่นี่ ที่แห่งนี้จะราวกับภูเขาทองคำทะเลเงิน”
หวังทงอธิบายเต็มไปด้วยพลัง แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องอันใดกับการปลดพวกเขาออกจากค่ายฝึก สีหน้ายังคงสับสน
“เงินทองดึงดูดผู้คน เงินทองมากมายกองอยู่ตรงหน้า มีการป้องกันอันใดหรือไม่?”
“พี่หวัง ไม่ใช่ว่ามีปืนใหญ่หรือ?”
“ปืนใหญ่หันหน้ามายิงได้หรือ หากภายในวุ่นวาย หรือมีคนโจมตีมาทางบก หากมีเรื่องเล็กน้อยเช่นจู่โจมจากภายใน หรือว่าคนพวกนั้นจะแล่นไปที่ป้อมปืนให้เรายิงกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนก็เริ่มเข้าใจเล็กน้อย สีหน้ามิได้สับสนดังเดิม หวังทงกล่าวต่ออีกว่า
“ตอนนี้เบื้องบนบอกว่ากองกำลังหู่เวยไม่มีระเบียบธรรมเนียมรองรับ ครั้งนี้ส่งคนมาตรวจสอบ คิดจะเพิ่มกำลังพลก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด กองกำลังในพื้นที่เอามาใช้การไม่ได้ กองกำลังพวกเราเรือนพันและป้อมปืนก็ไม่พอใช้แล้ว ดังนั้นจึงต้องคิดหาหนทางประนีประนอมใหม่”
หวังทงนำม้าก้าวเดินต่อไป สำทับต่ออีกว่า
“ร้านสามธารายิ่งใหญ่ขึ้น ตามหลักก็ควรมีหน่วยอารักขาคุ้มครองร้าน ข้าจะให้ถานหั่วไปเป็นหัวหน้า พวกเจ้าแต่ละคนก็ล้วนเป็นกำลังสำคัญ จะได้สร้างกองกำลังขึ้นมาใหม่”
พอได้ยินว่าคุ้มครองร้าน บรรดาเด็กหนุ่มก็เริ่มสลดเล็กน้อย หวังทงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ต่อว่า
“เตรียมรับสักสองพันคน พวกเจ้าทุกคนจะได้เป็นหัวหน้าค่าย”
คราทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ ตอนนี้ในค่ายมีหวังทงตำแหน่งใหญ่สุดแล้ว พวกเขาเป็นได้ก็แค่นายกองร้อยหรือไม่ก็นายกองธงใหญ่ บางคนเป็นแค่นายกองธงเล็ก อยู่ๆ ก็เอ่ยถึงตำแหน่งอื่นขึ้นมา จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร มีคนคิดกันว่า ด้วยความไว้วางพระราชหฤทัยของฮ่องเต้ที่มีต่อหวังทง ความใกล้ชิดที่มีให้กับหลี่หู่โถว ถึงตอนนี้หน่วยคุ้มครองร้านอาจได้กลายเป็นกองกำลังอย่างเป็นทางการก็เป็นได้
“ในกองกำลังหู่เวย ใต้เท้าอวี๋และนายทหารตระกูลถานเก่งกล้าสามารถ ใช้วิธีการฝึกดั้งเดิมฝึกสอนพวกเจ้ามา พวกเจ้าก็ได้เรียนรู้ไปไม่น้อย นำสิ่งที่พวกเจ้าได้เรียน มารวมกับที่ได้จากลานฝึกหู่เวย เอามาใช้ให้ได้ เข้าใจไหม?”
ประโยคสุดท้ายขึ้นเสียงสูงถามขึ้น บรรดาเด็กหนุ่มก็มีสีหน้าจริงจัง ตอบขึงขังพร้อมเพรียงว่า
“เข้าใจแล้ว!!”
หวังทงดึงสายบังเหียนกลับหลังหัน ยิ้มกล่าวว่า
“ลองวางแผนในใจกันก่อน ถึงเวลาข้าจะสอบทีละคน หากสอบไม่ผ่าน ค่ายใหม่เราก็ย่อมไม่อาจดำเนินการได้”
เด็กหนุ่มพากันรับคำพร้อมเพรียง จิตใจถูกปลุกระดมขึ้น หวังทงยิ้ม ปรับพื้นที่ให้เป็นเมือง นำคนและเงินทองมารวมกัน ก็ต้องเตรียมการป้องกันรอบด้าน ตอนนี้กองกำลังที่มีอยู่ไม่อาจนำมาใช้ได้เต็มที่แล้ว ก็ได้แต่หาหนทางใหม่
สั่งการจบ หวังทงก็รู้สึกผ่อนคลายลง บรรดาเด็กๆ ต่างครุ่นคิดกันต่อ พากันเงียบลง จากนั้นทุกคนก็เดินชมแม่น้ำทะเลกันต่อไป
หลายวันผ่านไป พ่อค้าจากทางเหนือและทางใต้ก็มาถึงเทียนจินและก็รู้ว่าที่นี่องครักษ์เสื้อแพรเป็นใหญ่ แต่ไม่รังแกประชาชน มีธรรมเนียมปฏิบัติเป็นเรื่องเป็นราว พอเห็นพวกหวังทงก็มิได้หวาดกลัวอันใด ทุกคนทำงานทำการของตนเองไป
ขณะเดินบนถนน มีบางคนเดินผ่านมาส่งภาษาสำเนียงแปลกกัน เหมือนว่าเป็นภาษาฮกเกี้ยน หวังทงได้ยินแล้วก็หันไปมอง มองเห็นชายสองสามคนมองซ้ายมองขวาปรึกษาหารือจริงจัง แม้ว่าได้ยินไม่ชัดว่าพูดว่าอะไร แต่ในใจรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แม้แต่พ่อค้าฮกเกี้ยนก็มาทำการค้าที่เทียนจิน
************
กลางเดือนสาม น้ำแข็งในแม่น้ำที่เมืองทงโจวก็ละลายหมด เส้นทางเดินเรือในคลองส่งน้ำเปิดแล้ว
ทว่าทำงเหนือในฤดูใบไม้ผลิน้ำแห้ง เรือจากทงโจวมาเทียนจินก็ได้แต่บรรทุกคนมาเท่านั้น เรือสินค้าก็มาได้แต่เรือลำเล็ก แต่ทางใต้มาเทียนจินนั้นสะดวกมาก
ทว่าในตอนนี้ เส้นทางคลองส่งน้ำตอนเหนือส่วนใหญ่น้ำแข็งเพิ่งละลายได้ไม่นาน ตอนนี้ที่เทียนจินก็มีแต่เรือที่มาจากซานตงเท่านั้น
เมืองจี่หนาน เมืองตงชางและเมืองเติ้งโจวในมณฑลซานตงอยู่ใกล้กับเทียนจิน ข่าวสารก็ฉับไว จึงได้เตรียมสินค้าพื้นเมืองกันไว้พร้อมก่อนหน้าแล้ว พอน้ำพอที่จะเดินเรือได้ ก็หวังว่าจะได้มาร่ำมารวยเป็นคนแรกๆ
ในเมื่อมีเรือนำสินค้าเข้ามา ก็ย่อมต้องเก็บภาษี พ่อค้าจากสามเมืองในซานตงรู้ธรรมเนียมการเก็บภาษีนานแล้ว และยังวิธีการจัดการโหดเหี้ยมของหวังทง จึงไม่กล้ามีใจคิดคดโกง ไปจ่ายภาษีให้เสร็จด้วยตนเอง ณ ที่จ่ายก็แล้วกัน จะได้รู้สึกสบายใจ ขยับซ้ายก็กำไร ขวาก็กำไร ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยอันใด
วันที่ 16 เดือนสาม เรือที่มาถึงก่อนก็เริ่มเทียบท่าอย่างระมัดระวัง ตามธรรมเนียมแบบเก่า เจ้าหน้าที่เก็บภาษีก็จะยิ้มร่าขึ้นเรือมาทักทายตรวจสอบสินค้า จากนั้นก็ออกใบเก็บเงิน วันนี้พอเทียบท่า เห็นๆ ว่าบนฝั่งมีคน กลับไม่มีผู้ใดทักทายมา มองให้ดีอีกที ก็พบกว่ามีคนสองกลุ่มกำลังมองมา ดูท่าทางแล้ว น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่
***********
“พวกเจ้าเป็นใคร? ที่นี่คือด่านภาษีของสำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน หรือว่าพวกเจ้าไม่รู้กัน?”
จางซื่อเฉียงถูกเรียกตัวออกมาจากในห้อง พอเห็นเรื่องเช่นนี้ก็ไม่สบายใจ เขาไม่ใช่พวกใจร้อน ได้แต่เงียบก่อนจะถามออกไป
“เหลวไหล! องครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่ตรวจจับคนร้าย เมื่อใดกันจึงได้มาทำหน้าที่เก็บภาษีนี่ได้ พวกเราเป็นคนของใต้เท้าอวี๋แห่งกองตรวจการและสวี่กงกงแห่งสำนักเสบียง การตรวจสินค้าพ่วงบนคลองส่งน้ำ ปรับเงินภาษี เป็นกิจของกองตรวจการและสำนักเสบียง……”
“นี่คือด่านภาษีที่กำหนดโดยนายกองพันหวังทงแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจิน พวกเจ้ากล้าแตะต้องงั้นหรือ!!?”
คนด้านหลังจางซื่อเฉียงตวาดดังขึ้น ฝ่ายตรงข้ามกับยิ้มเยาะ หนึ่งในนั้นยังด่าทออย่างไม่พอใจขึ้นว่า
“ก็แค่นายกองพันเล็กๆ ไม่รู้จักหนักเบา ทำการเหิมเกริม เมืองหลวงส่งคนมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเอาผิดลงโทษพวกเจ้า พวกเจ้ายังจะติดตามเขาเสียสติไปด้วยหรือไง!!?”
เจ้าหน้าที่เก็บภาษีของหวังทงล้วนเป็นคนเก่าแก่เดิมที่เคยเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่เทียนจินมาก่อนและพวกเจ้าพนักงานบัญชีแต่กำเนิด ล้วนกลัวเกิดเรื่องยิ่งนัก จางซื่อเฉียงก็มีนิสัยอ่อนข้อ ชั่วเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ก็เริ่มตื่นตระหนกกันยกใหญ่
แต่ตระหนกอย่างไรก็ต้องได้สติอยู่บ้าง จึงหันกลับไปกระซิบคนผู้หนึ่งด้านหลังว่า
“ไปตามใต้เท้าหวัง รีบไปเร็ว!!”