Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 369

Ong

ตอนที่ 369 คนมิใช่รู้ไปทุกเรื่อง ย่อมต้องมีผิดพลาด

เก็บภาษีทางทะเลหนักมากก็เพราะเกี่ยวพันกับประเทศวัว แต่หากจะให้อธิบายก็ย่อมอธิบายได้ไม่กระจ่างนัก

หากกระจ่างก็ย่อมมีโทษสมคบคิดโจรสลัด หากอธิบายไม่ชัดก็แค่โทษเก็บภาษีพ่อค้าทะเลหนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ผิด ย่อมต้องเลือกที่เบาที่สุด

การเพิ่มเงินก้อนจินฮวาเติมก็ถูกต่อต้านจากคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกอง ราชสำนักฝ่ายในท่าทีก็ไม่ชัดเจน จึงไม่ได้มีระเบียบชัดเจนอันใด การทำงานนี้บอกว่าเป็นงานราชการ แต่กลับไม่มีระเบียบรองรับ ก็ย่อมไม่มีขั้นตอนการทำงาน กรมอากรและสำนักส่วนพระองค์ก็ย่อมไม่ให้การรับรอง

ในเมื่อไม่มีระเบียบทางการ ก็ย่อมไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม ไม่มีคนตรวจสอบดูแล ก็ย่อมอาจเกิดเหตุร่วมกันยักยอก……

“ใต้เท้าทุกท่าน สินค้าพวกนั้นเก็บภาษีหนักก็ล้วนเป็นพ่อค้ามอบให้ด้วยตนเอง คำอธิบายนี้พอได้ไหม?”

หวังทงไม่ได้ลังเลอันใด เพียงยิ้มถามกลับไปเท่านั้น

การเคลื่อนไหวในห้องชะงักกึกทันที พากันหันมามองหวังทง ในใจทุกคนรู้สึกแปลกใจ ถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดเขาจึงยังยิ้มออก

กัวผิงกว่างมองหวังทงไปมา จากนั้นก็ยิ้มเช่นกัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า

“นายกองพันหวัง จัดเก็บภาษีขูดรีดประชา เมืองหลวงย่อมไม่รู้สึกว่าที่ว่ามานั้นจะเป็นเท็จ สินค้าพวกนี้จากตะวันตกไปตะวันออก จะได้กำไรสักเท่าไรกัน เทียนจินอยู่ๆ ก็เก็บภาษาสินค้าหลายเท่า จะให้ประชามีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไรกัน การกระทำโหดร้ายเช่นนี้ของท่านจะต้องถูกลงโทษ……”

หวังทงโบกมือกล่าวขึ้นว่า

“เงินก้อนจินฮวาส่งเข้าวัง เดิมก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่ เสิ่นกงกงแหงสำนักอาชาหลวง ท่านก็ควรจะรู้เรื่องนี้กระมัง!?”

เสิ่นฉุนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็แค่นเสียงหัวเราะขึ้น ส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยเสียงแหลมขึ้นว่า

“ข้าเป็นหัวหน้ากององครักษ์อาชารบกองขวา เรื่องของสำนักอาชาหลวงนั้นก็พอรู้บ้าง นายกองพันหวังกับหัวหน้าฝ่ายการเงินเราสบคบคิดกันหรือไม่ แอบยักยอกหรือไม่ เกรงว่ายังต้องขอให้เจ้าหน้าที่มาสอบถามดูสักครา”

หวังทงยิ้มส่ายหน้า นายกองพันเก่อลี่ตรงข้ามกันเดิมคิดว่าอย่างน้อยหวังทงก็คงได้หน้าถอดสีกันบ้าง น่าจะตกใจขอร้อง คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับมีท่าทีไม่ยี่หระเช่นนี้

เก่อลี่ทำคดีในเมืองหลวงมามากมาย จากประสบการณ์แล้ว หากมีความผิดสองประการก็จะสามารถปลดออกจากตำแหน่งและส่งเข้าคุกได้แล้ว อาจถึงขั้นตัดศีรษะประหารทั้งตระกูล เหตุใดหวังทงจึงทำท่าทางเหมือนไม่สนใจเช่นนี้ได้ ทำให้รู้สึกยิ่งโมโห ตบโต๊ะเสียงดัง ยืนขึ้นทันทีพลางตวาดว่า

“หวังทง ความผิดราวภูผา เจ้าอย่าได้คิดว่าที่ทำการเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรก็ได้ คิดจะให้ทุกคนมีน้ำใจให้เจ้าบ้าง ก็รีบมอบตัวยอมรับผิดซะ……”

“เก่อลี่ เจ้าลืมเรื่องที่หอฉินก่วนแล้วหรือ? ที่นี่มีที่ให้เจ้าได้พูดด้วยหรือ นั่งลงเดี๋ยวนี้!!”

นายกองพันเก่อยังแสดงบารมีไม่จบ ก็ถูกหวังทงตวาดเสียงดังขัดขึ้น นายกองพันเก่อตกใจลนลาน รีบนั่งลงทันทีอย่างไม่ทันได้คิด พอก้นแตะเก้าอี้ก็รู้สึกว่าไม่ใช่สิ จึงยืนขึ้นด้วยความโกรธทวีคูณ มือเพิ่งเอื้อมคว้าดาบ

เสียงฝีเท้าด้านนอกดังมา หลายสิบคนกรูกันเข้ามาในห้อง ทหารพร้อมอาวุธ จ้องมองนายกองพันเก่อท่าทางเอาเรื่อง

“หวังทง อย่าได้คิดว่าเจ้าแอบสั่งสมกำลังไว้เล็กน้อยก็จะทำอะไรตามอำเภอใจได้ ใต้เท้าซุนแห่งกองกำลังประจำเทียนจินเตรียมกำลังสองกองร้อยพร้อมอยู่ทางซ้ายไม่ไกลนัก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่ากองทัพแม่ทัพชีอีกแสนกว่าจะมาถึงในไม่ทันข้ามวัน ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่ากระทำผิด ก็มอบตัวซะดีๆ ขอให้ทรงเมตตา หากดึงดันต่อต้านต่อ ก็จะลากครอบครัวเดือดร้อนแหลกเป็นผุยผงไปด้วยไม่ใช่หรือ!!?”

พอเห็นทหารองครักษ์เสื้อแพรกรูกันเข้ามา ทั้งสี่ก็ตัวสั่นงันงก ทว่ากัวผิงกว่างแห่งกรมทหารกลับดูกล้าอยู่หลายส่วน พอได้สติก็ยืนขึ้นตวาดดังว่า

“ออกไป ออกไป หากข้าจะจัดการทั้งสี่คนนี้ คนหนึ่งดาบหนึ่งก็เรียบร้อยแล้ว ต้องการพวกเจ้าเข้ามาทำไม ออกไปอารักขาด้านนอกไว้ก็พอ!”

หวังทงโบกมือน้ำเสียงรำคาญใจ พลทหารพากันก้มตัวทำความเคารพก่อนจะถอยออกไป ทุกคนในห้องรู้สึกผ่อนคลายลง หวังทงยืนขึ้นขมวดคิ้วกล่าวว่า

“ใต้เท้าทุกท่าน อย่าได้คิดว่าสองเรื่องนี่เป็นความผิดใหญ่อันใด ต้องจัดเป็นคดีสอบสวนต่อไม่ใช่หรือ?”

คนในห้องที่หัวไวพอสักหน่อยยามนี้ก็รู้สึกแปลกใจ สองความผิดใหญ่เช่นนี้ หวังทงกลับไม่แก้ตัวอะไร หากจงใจหาเรื่องก่อกวน พยายามบังคับท่าทีให้สงบนิ่ง

เมื่อได้ยินหวังทงถาม ทั้งสี่คนแค่นเสียงเย็นชาพยักหน้าพร้อมกัน หวังทงถอนหายใจก้าวขึ้นหน้ามาสองสามก้าว กวาดตามองหน้าพวกเขาทั้งสี่สองรอบเอ่ยขึ้นว่า

“ขอเชิญใต้เท้าเกาไปกับข้าที่ห้องข้างๆ คุยส่วนตัวกันสักหน่อย”

ทั้งสี่คนมองหน้ากันไปมา ต่างรู้สึกสงสัย แต่สีหน้ายังคงมีรอยยิ้ม หวังทงทำเงินได้มากมาย ในเมื่อขอพูดคุยเป็นการส่วนตัว หรือว่าจะติดสินบนเป็นการส่วนตัว คดีจัดการไปเช่นไรไม่สำคัญ แต่ผลประโยชน์สักก้อนย่อมเป็นเรื่องที่สมควร

ใบหน้าของกัวผิงกว่างคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว จัดชายเสื้อให้เรียบร้อยก่อนจะยิ้มเย็นชากล่าวว่า

“ข้าเปิดเผยตรงไปตรงมา หรือว่าจะต้องกลัวเจ้าด้วย ดูซิว่านายกองพันหวังจะมีลูกเล่นอันใด”

************

เดิมคิดว่าพอหวังทงเข้าไปในห้องด้านข้างแล้วจะรีบหันหน้ามาคุกเข่าลงร่ำไห้ขอร้อง สภาพการณ์เช่นนี้ กัวผิงกว่างเห็นมาไม่น้อย

ตอนยังไม่เข้าประตูมา กัวผิงกว่างกำลังคิดว่าอีกฝ่ายจะมอบเงินให้เท่าไร ตนเองควรจะเปิดราคาที่เท่าไร คิดไม่ถึงว่าพอก้าวเข้ามา ทหารด้านนอกก็ปิดประตู หวังทงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง

ในห้องว่างเปล่ามาก มีโต๊ะหนังสือตัวเดียวและเก้าอี้อีกหนึ่งตัว บนโต๊ะมีกล่องไม้ใบหนึ่ง พอหวังทงก้าวเข้ามาในห้องก็นั่งกางขาองอาจเปิดกุญแจกล่องนั้นออก

สภาพการณ์เบื้องหน้าดูอย่างไรก็ไม่เหมือนจะร่ำไห้ขอร้อง ตนยืน หวังทงนั่ง เหมือนว่าหวังทงสอบสวนตนอยู่

กัวผิงกว่างรู้สึกว่าเส้นขมับเต้นตุ้บๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้าหวังทงไม่เพียงแต่จะแก้ตัวที่โดนสอบ หากกลับกล้าทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ รอดูต่อไปละกัน วันหน้าวันหลังจะให้เจ้าได้รู้สำนึก

กัวผิงกว่างแห่งกรมทหารแค่นเสียงเย็นใส่ กำลังคิดสะบัดแขนเสื้อจากไป ก็ได้ยินว่าหวังทงว่าหาเจอแล้ว เขาหยิบเอกสารออกจากกล่องไม้ ยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้ากัวโปรดรอก่อน!”

“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า หวังทง วันนี้สอบแต่เรื่องเงินทอง เรื่องเจ้าตั้งกองกำลังยังไม่ได้แตะต้องเลย แอบฝึกกองกำลัง ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมมีความผิดใหญ่หลวง……”

หวังทงไม่แม้แต่จะสนใจ เอาแต่คลี่เอกสารออก กัวผิงกว่างหันหลังคิดจากไป พอเดินไปถึงประตูเอื้อมมือจะเปิดก็ได้ยินเสียงหวังทงด้านหลังดังขึ้นว่า

“กัวผิงกว่าง ลูกน้องเจ้าเดิมมีคนชื่อว่าหานเอ้อร์กระมัง ว่ากันว่าหน้ำตาดี หากแต่งกายเป็นหญิง ก็แยกไม่ออกเลยทีเดียว”

พอเอ่ยถึงชื่อนี้ กัวผิงกว่างก็ตกใจสะดุ้ง รีบหยุดหันหลังกลับมาก สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หวังทงไม่สนใจ อ่านเอกสารใต้แสงตะเกียงต่อว่า

“หนึ่งปีครึ่งก่อนป่วยตายกะทันหัน ได้ยินว่าใต้เท้ากัวร้องไห้เจ็บปวดใจอย่างยิ่งอีกด้วย!”

การกล่าวถึงเรื่องต้องห้าม หากชายในเมืองหลวงจะมีกระแสชอบชายด้วยกันก็ไม่ใช่ความลับอันใด อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องสำราญชั้นสูงจนมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือได้ กัวผิงกว่างพยายามปกปิดสีหน้าตกใจ แสร้งทำเป็นถามกลับด้วยอาการสงบนิ่งว่า

“เกี่ยวอันใดกับใต้เท้าหวัง?”

ชื่อเรียกเปลี่ยนเป็น ‘ใต้เท้า’ อย่างไม่ทันรู้ตัว หวังทงกล่าวต่อว่า

“ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพรับเงินเจ้าไป 500 ตำลึง พี่สาวหม้ายของหานเอ้อร์ได้เงินไปอีก 500 ตำลัง ปกปิดว่าหานเอ้อร์กินโอสถเสือจิ้งจอก[1]จนร่างกายรับไม่ไหว โดนเจ้าทรมานจนตาย เรื่องนี้หากให้กรมทหารรู้เข้า ใต้เท้ากัววันหน้าจะทำเช่นไรต่อ!?”

การตายอย่างโหดเหี้ยมของคนงานในบ้าน แม้ว่ามีเงื่อนงำ แต่ทางการก็จะไม่สอบละเอียด นับประสาอันใดกันขุนนางในกรมทหารผู้มีอำนาจเช่นนี้ หากเรื่องนี้มีเรื่องไปจนเป็นที่เปิดเผย คดีคนตายฉาวโฉ่เช่นนี้ กัวผิงกว่างจะมีอนาคตวันหน้าอีกได้อย่างไร รอจนชื่อเสียงป่นปี้ คงได้แต่รอรับโทษเข้าคุกกระมัง

คนทางการ โดยเฉพาะพวกมีอนาคตไกล ย่อมไม่มีเรื่องใดที่จะใหญ่ไปกว่าการสูญเสียตำแหน่ง กัวผิงกว่างได้ยินก็ได้แต่เหงื่อไหลท่วมตัว หวังทงวางเอกสารลงบนโต๊ะ เอ่ยขึ้นว่า

“กัวผิงกว่าง ที่เมืองหลวงมีหลายคนรอผลตรวจสอบจากท่าน ถึงตอนนั้นข่าวนี้จะถูกแพร่ออกไป หรือจะมีเจ้าทุกข์ไปตีกลองร้องทุกข์ที่ศาลซุ่นเทียน หรือปิดปากสนิทไม่พูดถึง ก็ล้วนขึ้นอยู่กับใต้เท้ากัวแล้ว”

กัวผิงกว่างหันหน้ากลับมา ไม่สนใจที่จะเช็ดเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้า มองเห็นหวังทงนั่งยิ้มอยู่ที่นั่น ก็หลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นฉีกยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังทำที่เทียนจินทั้งหมดล้วนแต่จงรักภักดีต่อแผ่นดินเพื่อฮ่องเต้และชาวประชา กองกำลังหู่เวยแม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก็ดูแลปกป้องเทียนจิน กองกำลังจี้โจวไม่พอเพียง ใต้เท้าจึงได้ออกแรงช่วยเหลือ เพื่อให้แผ่นดินสงบสุข ยอมแบกรับชื่อเสียงความผิดไว้เอง ช่างเป็นคุณธรรมระดับใดกัน เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าจะต้องรายงานเบื้องบน กราบทูลฮ่องเต้ บรรจุรายชื่อทหารกองท่านเข้าสู่ระบบ เรื่องที่พูดเมื่อครู่นั้น เป็นเรื่องล้อเล่นกันเท่านั้น ใต้เท้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”

หวังทงเอนหลังพิงเก้าอี้ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ฟังคำพูด ดูการกระทำ ใต้เท้ากัวกระทำเช่นไร ข้าก็จะกระทำเช่นนั้น สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับใต้เท้ากัวแล้ว”

กัวผิงกว่างพยักหน้าหงึก ๆ เอ่ยรับคำติดต่อกัน หวังทงโบกมือเอ่ยว่า

“ท่านออกไปก่อน ให้ชิวเหยียนไห่เข้ามา”

กัวผิงกว่างรีบทิ้งมือแนบกายรับคำ ไหนเลยจะมีท่าทีอย่างผู้มาสอบคดี เห็นชัด ๆ ว่ามารับคำสั่ง

************

“ใต้เท้าชิว ตอนท่านยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากองที่กรมอากรสำนักกวางสี เคยสมรู้ร่วมคิดกับนายกองสำนักอาชาหลวงและหัวหน้าโรงบ้านส่วนพระองค์ แอบยักยอกเงินที่เก็บมาเข้าคลังหลวงเอาไว้สี่แสนตำลึงด้วยการแก้ไขตัวเลขในสมุดบัญชี ท่านแบ่งมาได้หกหมื่นตำลึง หลักฐานยังอยู่ในมือของหัวหน้ากองผลประโยชน์ส่วนพระองค์ พวกเจ้าส่งคนไปสังหารคนปิดปาก หากหาไม่พบ ใต้เท้าชิว หากในมือข้านี้เป็นหลักฐาน ส่งคดีนี้ไปที่ศาลล่ะก็ ผลจะเป็นเช่นไร?”

“……ขอใต้เท้าหวังโปรดช่วยเหลือ!!”

“ชีวิตของท่านเป็นของท่านเอง การตรวจสอบครั้งนี้ควรทำเช่นไร ท่านรู้แล้วกระมัง!?”

“ใต้เท้าหวังภักดีต่อแผ่นดิน ความภักดีเช่นนี้กลับถูกคนเมืองหลวงดูแคลน พอข้ากลับถึงเมืองหลวง แม้ต้องสละชีพก็จะต้องคืนความบริสุทธิ์ให้ใต้เท้า”

***********

“เสิ่นกงกง เข้าวังในปีรัชสมัยหลงชิ่งที่ 2 เป็นเพราะไม่อาจจ่ายหนี้พนัน 200 ตำลึง ใช่หรือไม่?”

คนที่สามที่ถูกเรียกเข้าห้องก็คือนายกองเสิ่นฉุนแห่งสำนักอาชาหลวง พอได้ยินหวังทงกล่าวขึ้น เสิ่นฉุนก็ส่งเสียงเยาะขึ้นทันที กล่าวว่า

“หวังทง เจ้าข่มขู่ข้า คิดว่าข่มขู่เด็กน้อยหรือไง ในรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ ข้าก็คืนหนี้คืนสินไปทั้งหมด 600 ตำลึงแล้ว!”

———————-

[1] เป็นยารักษาโรคที่มีความเป็นพิษสูง หากไม่จำเป็นหมอจะไม่นำมาใช้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version