Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 370

ตอนที่ 370 บางคนก็ขู่ บางคนก็ลงมือ

ในวังเป็นสถานที่เล่ห์อุบายมากมาย นายกองแห่งสำนักอาชาหลวงมีสถานะกุมอำนาจแท้จริง ย่อมไม่ใช่คนโง่

พอเห็นกัวผิงกว่างแห่งกรมทหาร ชิวเหยียนไห่แห่งกรมอากรสีหน้าซีดเผือด ก้าวออกจากห้องด้วยอาการเหงื่อเย็นโซมกาย พอนั่งลง ไม่ว่าถามอย่างไรก็ไม่ตอบ ในใจก็พอรู้ได้บ้างแล้ว พอเข้ามาในห้อง ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ ไหนเลยจะยังไม่เข้าใจอันใด

ปฏิบัติงานที่สำนักอาชาหลวงมานานก็ย่อมพอมีอารมณ์กล้าปะทะอยู่หลายส่วน พอได้ยินข่าวเช่นนี้จากหวังทงก็อดเยาะขึ้นไม่ได้ เอ่ยวาจาเย้ยทันทีว่า

“แม้ว่าข้าไม่คืน เจ้าบอกซุนกงกง หลินกงกงแล้วจะทำอะไรข้าได้ คนสำนักอาชาหลวงติดเงินผู้ใดก็นับเป็นการให้เกียรติคนผู้นั้น!”

หวังทงวางเอกสารลง มองเขาทีหนึ่ง ราวกับแปลกใจ เสิ่นฉุนยิ้มท้าทายกล่าวต่อว่า

“นายกองพันหวัง อุบายหลอกเด็กเหล่านี้อย่าได้นำออกมาให้เป็นที่ขายหน้าเลย ครั้งในนี้วังนอกวังต้องการตรวจสอบท่าน ฮ่องเต้ไม่ได้ปกป้องท่าน รู้ตัวได้แล้ว มอบเงินทองออกมาดีๆ บางทีข้าอาจจะช่วยท่านพูดสักสองสามประโยค มิเช่นนั้น เหอๆ !”

เสิ่นฉุนผู้นี้หยาบคายและละโมบมาก กล่าวกันตรงๆ หวังทงได้แต่อึ้งไป ก่อนจะหัวเราะดังลั่นขึ้น กล่าวท่าทางไม่ยี่หระว่า

“เสิ่นกงกงรีบร้อนเอาเงินขนาดนี้เลย!”

“หวังทง ไว้หน้าเจ้า เจ้าไม่รับ รอเจ้าล้ม ข้าค่อยมาเอาก็ได้ พรุ่งนี้คดีความนี้ก็จะส่งไปเมืองหลวง เจ้าหัวเราะไปเถอะ ดูว่าจะหัวเราะได้ถึงเมื่อไร!”

เยาะเย้ยจบ เสิ่นฉุนก็สะบัดหน้าคิดออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงตบกระดาษด้านหลัง หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เสิ่นกงกงก่อนเข้าวังแต่งงานมาก่อน ใช่หรือไม่ ยังมีบุตรชายชื่อว่าเสิ่นจินอิ๋น ใช่หรือไม่?”

พอได้ยินเช่นนี้ เสิ่นฉุนก็สะดุ้ง หยุดฝีเท้าทันที ตอนหันกลับมา สีหน้าบิดเบี้ยว กัดฟันกดน้ำเสียงให้ต่ำว่า

“นายกองพันหวัง ท่านจะทำอะไร หากบีบบังคับ ข้าจะเอาเรื่อง……”

กล่าวไม่ทันจบ ก็มีของถูกปามาตรงหน้ากลางหน้าประตู แต่ของนั้นเบา พอได้สติมองไปก็เห็นว่าหวังทงปาม้วนกระดาษมา รอยยิ้มหวังทงจางหายไป ด่าเสียงเย็นเยียบว่า

“เจ้ามันตัวอะไร ยังกล้าเอาเรื่องกับข้า เสิ่นจินอิ๋นปีก่อนแต่งงาน ตอนนี้มาบุตรสองคน ร่ำรวยอยู่เขตทักษิณ ครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูกอยากมีชีวิตที่ดีไปอีกนานเท่าไร หรือว่าจะให้ลงไปพร้อมหน้ากันใต้บาดาล ก็ต้องขึ้นอยู่กับท่านเลือกแล้ว”

พอขันทีเรืองอำนาจ ส่วนใหญ่ก็มักจะดูแลญาติของตนเป็นพิเศษ เงินทองวาสนาไม่อาจส่งต่อให้ลูกหลาน หากก็ต้องให้กับตระกูล นับประสาอันใดกับเสิ่นฉุนที่มีลูกโทนสืบสกุล ก็ย่อมทะนุถนอมอย่างมาก

หวังทงกล่าววาจาเหี้ยมโหด และยังกล่าวชัดเจน ท่าทางเอาเรื่องของเสิ่นฉุนก็มลายหายไปทันที ยืนอยู่หน้าประตูสีหน้าแปรเปลี่ยน กัดฟันครุ่นคิดครู่หนึ่ง กำลังคิดจะเอ่ยขึ้น หวังทงก็โบกมือเอ่ยก่อนว่า

“ไสหัวออกไป คิดให้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าขี้เกียจเสียเวลาพูดกับเจ้า ไปตามเก่อลี่เข้ามา!!”

วาจาหยาบคายยโสโอหัง แต่เสิ่นฉุนกลับตัวงองุ้มลงหลายส่วนอย่างไม่ทันรู้ตัว ไม่กล้าเคลื่อนไหว หวังทงก็ไม่สนใจ คลี่เอกสารอีกฉบับออกอ่าน

เสียงลงคุกเข่าดังขึ้นเสียงหนึ่ง เสิ่นฉุนผู้นั้นคุกเข่าลงแล้ว หวังทงเหลือบตามอง เห็นสีหน้าเสิ่นฉุนเขียวคล้ำร้องขอว่า

“ใต้เท้าหวัง ทุกคนทำงานเพื่อแผ่นดิน ใต้เท้าหวังจิตใจกว้างดังแม่น้ำ อย่าได้ดึงคนไม่เกี่ยวข้องมาด้วยเลย”

“อ่อ เสิ่นกงกงวาจาแปรเปลี่ยนแล้วหรือ เมื่อครู่ยังบอกว่าในวังนอกวังต้องการสอบสวนข้าอยู่นี่?”

เสิ่นฉุนที่คุกเข่าอยู่นั้น กัดฟันกล่าวว่า

“ทุกสิ่งที่ใต้เท้าหวังทำนั้นล้วนเหมาะสมยิ่ง ส่วนตัวข้าเองก็มองเห็นในความภักดีของใต้เท้า พอกลับถึงวังหลวงจะต้องสละชีพกล่าวแทนใต้เท้า ต้องคืนความยุติธรรมให้แก่ใต้เท้า”

“เมื่อครู่ไม่ได้บอกว่ามีปัญหามากมายหรือ?”

“จะมีปัญหาได้อย่างไร คิดไปคิดมาวันนี้ตรวจสอบไม่เห็นพบอันใด ใต้เท้ากัวกับใต้เท้าชิวเองก็คิดว่าน่าจะล้อท่านเล่นจบแล้ว ขอใต้เท้าอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง”

หวังทงหัวเราะดังขึ้น กล่าวว่า

“เห็นแก่เสิ่นกงกงที่พยายามเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่กล่าวอันใดต่อแล้ว เสิ่นจินอิ๋นเปิดร้านผ้าแพรไหม การค้าไม่เลว ตอนนี้เปิดทางออกทะเล สินค้าทางใต้มากมายส่งมาจากทางทะเล เงินทองย่อมต้องสะดุด มีเวลาก็มาเทียนจินสักครา ข้าย่อมคัดเลือกพ่อค้านำเข้าสินค้าให้เขาเอง”

เมืองเทียนจินเปิดทะเล ร้านค้าที่เกี่ยวพันกับสินค้าทางใต้ในเมืองหลวงก็ย่อมขาดทุน การค้าเล็กๆ มากมายเกรงว่าคงต้องขาดทุนปิดกิจการ นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เสิ่นฉุนเข้าร่วมตรวจสอบอย่างแข็งขันในครั้งนี้ หวังทงให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้ ก็เหมือนตบหน้าแล้วยื่นพุทราหวานให้

เสิ่นฉุนได้ยินแล้วก็พลันโล่งใจ เกือบจะลงโขกศีรษะ หากทำแค่หัวเราะดีใจคลานออกไป เขาเข้าใจแล้วว่า ใต้เท้าสองคนเมื่อครู่เหตุใดจึงได้หวาดกลัวถึงเพียงนั้น

************

นายกองพันเก่อลี่ก็รู้สึกได้ว่าผิดปกติ หากจะให้หลุดแสดงสีหน้าต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร นับประสาอันใดกับการที่องครักษ์เสื้อแพรที่รออยู่ข้างนอกท่าทางวางอำนาจยิ่ง เหมือนว่าเจ้าไม่เข้าไป ก็จะประคองเจ้าส่งเข้าไป ท่าทางดุร้ายยิ่งนัก

ขณะรู้สึกเป็นกังวลหวาดกลัวอยู่ ก็เดินไปถึงประตู พอเห็นทหารเปิดประตู แค่เหยียบเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าประตูปิดลง หันหลังกลับไปมองทันที ประตูปิดลงจริงๆ แต่ด้านหลังเหมือนมีเสียงลมวืด

ยังไม่ทันได้รับมือ ใบหน้าก็ถูกต่อยเข้าหนึ่งหมัด ดั้งจมูกเจ็บปวดยิ่ง ยกมือขึ้นคิดบังไว้ อีกฝ่ายกลับเคลื่อนไหวเร็ว ถีบเข้าที่ท้องน้อยเข้าอีกที

โดนไปทีเดียวสองทีติดกัน นายกองพันเก่อลี่ก็หลุดส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดขึ้นสองครา ขดตัวงอราวกับกุ้งแห้งพังพาบลงกับพื้น

นายกองพันรักษาเมืองย่อมพอรู้ทักษะยุทธ์บ้าง หลายคงยังเป็นผู้มีฝีมือออกสนามรบเข่นฆ่ามาก่อน แต่องครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงนั้นไม่มีภารกิจต่อสู้และตำแหน่งถ่ายทอดจากต้นตระกูล นอกเหนือจากนายกองพันที่จำเป็นต้องฝึกยุทธ์แล้ว ส่วนใหญ่ยังสู้เจ้าหน้าที่มือปราบศาลซุ่นเทียนไม่ได้เลย เป็นพวกล่องลอยไปวันๆ เท่านั้น

นายกองพันเก่อลี่ยังเป็นคุณชายที่ชื่นชอบสุรานารี หากต่อยกันตัวต่อตัวก็ย่อมเป็นดังถุงฟาง นับประสาอันใดกับพอเข้ามาก็ถูกจู่โจมเช่นนี้

หลังจากหายเจ็บ เก่อลี่ก็พยายามเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหวังทงยืนอยู่ข้าง ๆ เก่อลี่ตอนนี้ไม่ดุร้ายเหมือนเมื่อครู่แล้ว ใต้เท้าสองคนกับอีกหนึ่งขันทีเมื่อครู่ตอนออกมาเขาก็เห็นแล้ว อีกฝ่ายอยู่ ๆ ท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้น เมื่อไร้พันธมิตร จะยังวางท่าอันใดได้อีก

“หวังทง เจ้ากล้าลงมือ……”

กล่าวไม่ทันจบ หวังทงก็กระทืบเข้าที่ท้องอีกสองที ร่างกายที่เพิ่งยืดตัวออกมากลับขดงอเป็นกุ้งอีกครั้ง หวังทงยิ้มเยาะกล่าวว่า

“อยู่เมืองหลวงเป็นแค่นายกองร้อยยังกล้าลงมือกับเจ้า ตอนนี้ข้าเป็นนายกองพัน จะไม่กล้าลงมือกับเจ้าได้อย่างไร!!”

เก่อลี่กุมท้องร้องครวญครางพูดไม่ออก ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะโต้ตอบ หวังทงลงนั่งยอง ยิ้มกล่าวว่า

“นายกองพันเก่อช่างมีความรอบคอบ นอกจากร่ำสุรานารีเล่นพนันแล้ว ไม่มีจุดผิดพลาดให้จับได้เลย แต่เมื่อปีก่อนที่หอลมวสันต์จ่ายเงิน 500 ตำลงซื้อนางขับร้องกลับบ้าน นายกองพันเก่อย่อมไม่รู้นางขับร้องผู้นั้นก็เป็นที่ต้องตาอู่ชิงโหวเช่นกัน แน่นอนว่าอู่ชิงโหวใจกว้างพอ ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าเรื่องนางผู้นี้ สองปีก่อนเจ้าทำการยึดทรัพย์ขุนนางโดนปลดผู้หนึ่ง ยักยอกไป 5 หมื่นตำลึง และยังแอบเก็บภรรยาน้อยคนที่เจ็ดเอาไว้เอง เรื่องพวกนี้ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการหลิวรู้แล้วจะคิดอะไรบ้างหรือไม่ ไสหัวไปได้แล้ว ข้าขี้เกียจจะสนใจคนเลวเช่นเจ้า!”

หวังทงกระโดดลุกขึ้น รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง ความอัดอั้นมาทั้งวันยามนี้ได้ระบำยออกด้วยการลงมือลงไม้เช่นนี้ เขาหันมาคิดจัดการเอกสารบนโต๊ะ เพิ่งจะเดินไปถึงโต๊ะ ก็ได้ยินเสียงด้านหลังกระทบพื้นดัง

หันหน้าไปดู เก่อลี่กำลังโขกศีรษะตามคาด โขกเสียงดังไปสิบกว่าที ตอนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นน้ำตาไหลอาบหน้า ร่ำไห้ขอร้องว่า

“ใต้เท้าหวัง โปรดยกโทษให้ข้า อย่าได้พูดออกไป หากใต้เท้าพูดไป ข้าคงต้องแหลกเป็นผุยผง ข้าน้อยถูกความโง่บดบังจิตใจ ไม่ต่างจากสัตว์ ขอท่านได้โปรดเมตตาสงสารมารดาแก่ชรา 80 ปีและบุตรข้า 7 ขวบด้วย เรื่องนี้เปิดโปงไป ครอบครัวข้าน้อยย่อมจบสิ้นไปพร้อมข้าน้อยด้วย”

“มารดาเจ้าปีนี้ 61 อยู่ที่เรือนเล็กในจวนเจ้า บุตรสี่คนของเจ้าล้วนอายุเกิน 8 ขวบ อย่าได้พูดจาน่าสงสารเพียงนั้น แม้ว่าเจ้าโดนลงโทษล้างตระกูล จวนอีกแห่งทางเขตบูรพาที่เจ้าเลี้ยงดูไว้ยังมีบุตรอีก 3 ขวบก็ไม่โดนไปด้วย……”

หลังจากได้ยินหวังทงกล่าวจบ เก่อลี่ก็โขกศีรษะติดๆ กัน มองหวังทงด้วยสีหน้าตกใจหวาดกลัว ความลับตนถูกอีกฝ่ายสืบมาได้หมดจด น่าขันยิ่งที่ตนจ่ายเงินไปขอให้ได้มาทำงานนี้ เตรียมมาหาเรื่องหวังทงให้ได้

หวังทงนั่งอยู่กับที่ เก่อลี่ที่อึ้งอยู่นานก็เริ่มตัวสั่น ในห้องสามารถได้ยินเสียงฟันกระทบกันได้อย่างชัดเจน

อู่ชิงโหว หลี่เหว่ยเป็นบิดาของไทเฮาฉือเซิ่ง ตอนนี้ถือเป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ล่วงเกินเขา เกรงว่าแค่เพียงขัดแย้งเล็กน้อย ก็จะถูกตามเอาเรื่อง นายกองพันธรรมดาเช่นเขาย่อมรับไม่ไหว

ไม่ต้องพูดถึงตอนกวาดล้างตระกูลแล้วแอบยักยอก ถึงขั้นแอบเก็บหญิงไว้นางหนึ่ง ทรัพย์สินที่ริบทรัพย์ได้มาควรนำมาเป็นส่วนกลาง นี่เป็นแหล่งเงินทองของผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันใต้บังคับก็ย่อมพลอยได้ไปด้วย แต่ก็ต้องให้หลิวโสวโหย่วเป็นคนแบ่งสรร หากการแอบยักยอกไว้ ความผิดนี้เปิดโปงไป สำนักองครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่เก็บเขาไว้

ถึงตอนนั้นหากได้ตายก็นับว่าโชคดีมาก ทั้งตระกูลถูกกวาดล้างทิ้งก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ นับประสาอันใดกับกันวิธีการขององครักษ์เสื้อแพร เก่อลี่รู้กระจ่างใจดี ถึงตอนนั้นตัดรากถอนโคนก็อาจเกิดขึ้นได้

“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวัง นายท่านหวัง ข้าน้อยตาไร้แววล่วงเกินท่านหลายครั้ง ตาช่างไร้แววจริงๆ ความโง่เขลาบดบังจิตใจ ขอใต้เท้าใจกว้างละเว้นข้าสักครั้ง ข้าจะขอยอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้นายท่าน วันหน้าขอเพียงนายท่านสั่งไปขวา แม้ด้านขวาข้าน้อยจะต้องชนตายก็จะไม่หันหลังกลับเลย……”

“พูดให้น่าฟังเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ ยังต้องดูว่าวันหน้าเจ้าทำเช่นไร ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องมาอีก เห็นแล้วรำคาญ ควรทำอย่างไร ไม่ต้องให้ข้าบอกกระมัง!”

“ข้าน้อยขอลา ขอลาก่อน กิจการต่าง ๆ ที่ใต้เท้าได้วางรากฐานที่เทียนจินจะมีความผิดได้อย่างไร ข้าน้อยต้องหารือกับผู้ร่วมงานให้เข้าใจในข้อนี้ให้ได้”

หวังทงก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ นายกองพันเก่อเหมือนลูกน้อง ทิ้งมือแนบกายถอยออกจากห้องไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version