Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 415

ตอนที่ 415 เหมือนเจตนาดี เป็นประโยชน์ตอนกองกำลังฝ่ายใน

ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักอาชาหลวงดูแลทุกกองกำลัง มารับตำแหน่งใหม่ตรวจบัญชีทั้งหมด ย่อมมีเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ คอยรับงาน ให้สอบถามได้ตลอดเวลา

พอได้ยินฉู่เจ้าเหรินถาม เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งก็ยิ้มคำนับกล่าวว่า

“ฉู่กงกงท่านดูเลขหน้า ใช่ว่าว่างเปล่า?”

ฉู่เจ้าเหรินขมวดคิ้ว ดึงหน้าบัญชีออก ที่แท้เป็นหน้าที่เสียบเข้าไป ไม่ใช่เย็บเข้าไป ฉู่เจ้าเหรินเข้าใจธรรมเนียมดี เอ่ยถามว่า

“แขวนไว้ก่อน?”

“ฉู่กงกงโปรดพิจารณา นายกองพันหวังที่เทียนจินตั้งกองกำลังหู่เวย กรมทหารและกองกำลังที่จี้โจวไม่ได้ลงบัญชีไว้ ตามธรรมเนียมแล้ว นี่ใช่ว่าก่อกบฏหรือ? ดังนั้นจางเฉิงกงกงจึงได้มาบอกว่าจะแขวนรายชื่อไว้ที่สำนักอาชาหลวงก่อน”

คนทำงานในวัง ใครไม่รู้ว่าหวังทงลากปืนใหญ่ออกมาถล่มเรือที่ฉู่กงกงนั่งมา ได้ยินคำถาม ไม่ตอบก็ไม่ดี ได้แต่ตอบไปอย่างระมัดระวัง ฉู่กงกงนั้นย่อมล่วงเกินไม่ได้ หวังทงแม้ว่าเป็นแค่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็ไม่อาจไม่หาเรื่องได้เช่นกัน

หลังกล่าวจบก็เงยหน้าเหลือบดูสีหน้าฉู่เจ้าเหริน คิดไม่ถึงว่าฉู่เจ้าเหรินกลับถามขึ้นก่อนว่า

“ในเมื่อจางกงกงว่ามา เช่นนั้นจางกงกงของเราก็น่าจะเห็นชอบแล้ว ไยหน้ากระดาษจึงยังว่างไว้”

“เรียนกงกง จางเฉิงกงกงอนุญาตแล้ว แต่หลินกงกงบอกว่าไม่ถูกตามธรรมเนียม อย่างไรก็จะไปถามความเห็นชอบจากไทเฮาก่อน ตอนนั้นซุนไห่ก็ไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงได้ว่างเอาไว้เช่นนี้ก่อน”

สำนักอาชาหลวงดูแลกำลังฝ่ายใน กำลังรบในพื้นที่อันตรายเช่นนี้อยู่ในมือคนผู้เดียวย่อมไม่เหมาะสม ในเมื่อหลินซูลู่ไม่รับ ยังจะไปขอความเห็นจากไทเฮา ตอนนั้นซุนไห่เองก็ไม่รับ กาจัดการเช่นนี้ย่อมทำไม่สำเร็จ

ฉู่เจ้าเหรินได้ยินแล้ว ก็รับคำหนึ่งคำ จากนั้นก็อ่านหน้าต่อไป ขันทีรอบๆ สบตากัน ไม่กล้าออกเสียงอันใด

พอถึงเวลาอาหารค่ำ ฉู่เจ้าเหรินโบกมือให้ทุกคนไปพักได้ เหลือแต่เจ้าพนักงานที่ตอบเมื่อครู่เอาไว้ ยิ้มถามว่า

“ข้าได้ยินว่าเสิ่นฉุนไปตรวจสอบที่เทียนจิน กลับมายังเอ่ยชมหวังทงว่าหาได้ยาก ทำไมไม่เห็นเคลื่อนไหวอันใด”

“เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ แต่ได้ยินคนเล่ากันว่า ตอนกัวผิงกว่างแห่งกรมทหารกลับมาบอกว่าจะจัดการรายชื่อกองกำลังหู่เวยเข้าบัญชี เสนาจางยังตำหนิไป จึงไม่ได้ทำอันใดต่อ ราชสำนักหกกรมก็ดึงเอาไว้ ทุกคนก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”

เทียบกับประสิทธิภาพในวังหลวงแล้ว นอกวังนับว่าไม่สูงนัก ยามบรรดาขุนนางกล่าวถึง ต่างก็พากันหัวเราะเยาะ ฉู่เจ้าเหรินปิดบัญชีรายชื่อ เงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยว่า

“นายกองพันหวังฝึกกองกำลังหู่เวยก็เป็นพระประสงค์ฝ่าบาท การแขวนไว้เช่นนี้ไม่เป็นการดี ในเมื่อจะสังกัดสำนักอาชาหลวงเรา ก็ย่อมควรมอบตำแหน่งและจัดระเบียบให้เรียบร้อยถึงจะถูก”

เจ้าพนักงานผู้นั้นได้ฟังแล้วก็เงยหน้าอึ้งไป มองฉู่เจ้าเหรินอย่างเสียมารยาท ไหนบอกว่าฉู่เจ้าเหรินมีเรื่อกับหวังทงที่เทียนจินไม่ใช่หรือ? ตอนเข้าวังมายังไปกราบทูลฟ้องไทเฮา ทุกคนต่างก็รู้

กองกำลังภายใต้การควบคุมของสำนักอาชาหลวงนับว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า เบี้ยหวัดเสบียงครบ เสื้อเกราะอาวุธก็พร้อมสรรพ ทุกอย่างต่างจากทหารทั่วไป ทหารในสังกัดสี่กองกำลังประจำพระองค์และกองรบแต่ไรมาก็เหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง ไม่เห็นหัวของทหารหน่วยอื่น หากจัดกองกำลังหู่เวยเข้ามาไว้ที่สำนักอาชาหลวง เช่นนั้นย่อมได้ประโยชน์อย่างมาก หวังทงนั่นจากนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรก็จะเป็นนายกองแห่งสำนักอาชาหลวง สถานะย่อมสูงขึ้น ไม่เหมือนเดิม

นี่เป็นเรื่องดีมาก ฉู่กงกงน่าจะเสียสติแล้ว ถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ได้ หวังทงเป็นขุนนางคนโปรดเป็นเรื่องจริง แต่สถานะเป็นถึงผู้ช่วยหัวหน้าสำนักอาชาหลวง ก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวราวบ่าวรับใช้เช่นนี้ นับประสาอันใดกับหวังทงที่เป็นเพียงขุนนางคนโปรดที่ถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไป

“นี่คือว่า……”

เจ้าพนักงานผู้นั้นเหมือนตัดสินใจเองไม่ได้ อดไม่ได้ถามขึ้น สีหน้าฉู่เจ้าเหรินยังคงดูไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร กล่าวเพียงว่า

“จัดคนไปที่กรมทหารสอบถามมา หากว่ากรมทหารยอมรับเข้าสังกัด เราก็จะไม่แย่ง หากทางนั้นไม่ได้ เราก็จะเพิ่มชื่อเข้าไป จางกงกงกับหลินกงกงทางนั้น ข้าไปรายงานเอง เจ้าปฏิบัติไปตามนี้ก็แล้วกัน”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เจ้าพนักงานผู้นั้นก็ได้แต่คำนับรับคำ

เรื่องนี้ผิดปกติ ฉู่เจ้าเหรินเองก็มาใหม่ ข่าวกระจายไปทั่วสำนักอาชาหลวงอย่างรวดเร็ว จางจิงหัวหน้าสำนักอาชาหลวงเองเดิมก็คิดจะจัดการเรื่องนี้ ฉู่เจ้าเหรินเอ่ยขึ้นมาเองก็ย่อมไม่เลว

มีคนเดาว่าฉู่เจ้าเหรินยอมแพ้ มาถึงวังหลวงเจอไปหลายตอ รู้ความร้ายกาจของหวังทง ดังนั้นจึงคิดหาทางจะแก้ไขความผิดพลาดในความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย แต่ทุกคนรู้ดีว่า หลินซูลู่ไม่อาจยอมรับเม็ดทรายที่เข้านัยน์ตาแม้เพียงเม็ดเดียว เรื่องนี้ไม่ว่าพูดอย่างไรก็เป็นการทำลายธรรมเนียม เกรงว่าไม่น่าจะรับปาก

***************

ตำหนักอ๋องลู่จัดอยู่ข้างตำหนักไทเฮา เพราะไทเฮาฉือเซิ่งอยากทรงพบอ๋องลู่ได้สะดวก หลินซูลู่ในฐานะขันทีข้างกาย ก็ย่อมเหมือนกับจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์ แม้ว่ามีงานต้องทำ แต่การอยู่รับใช้เจ้านายคนก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า

ที่พักของหลินซูลู่นั้นก็อยู่ในตำหนักอ๋องลู่ ตอนนี้กลางวัน อ๋องลู่ต้องเรียนหนังสือ กลางคืนจะต้องเสด็จไปเสวยกับไทเฮา เวลาว่างของหลินซูลู่ก็มากกว่าเมื่อก่อนมาก

ข่าวเรื่องขันทีฉู่แพร่ออกมาได้หนึ่งวันกว่าแล้ว หลินซูลู่ไม่มีเสียงตอบรับ ในห้องยังคงปิดเงียบ มีแต่ขันทีรับใช้คนสนิทที่อยู่ในห้องคนเดียว

“ฉู่กงกงบอกว่าจะจัดการให้กำลังของหวังทงเข้ามาอยู่ในสังกัดเรา ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่ววังหลวงในตอนนี้ ว่ากันว่าฝ่าบาทดีพระทัยมาก”

มุมปากหลินซูลู่กระตุกก่อนจะกล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“เรื่องทำลายธรรมเนียมบรรพชน จะง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร เขาคิดจะเอาใจผู้อื่น คิดตื้นไปหน่อยกระมัง”

หลังกล่าวจบ หลินซูลู่ยิ้มกล่าวต่อว่า

“ซวงสี่ หลายปีนี้เจ้าไม่ได้กลับบ้านแล้วกระมัง ปีนี้ข้าให้เจ้ากลับไปพักผ่อนได้ เอาเงินก้อนหนึ่งลับบ้านไปเยี่ยมลูกและบิดามารดาเจ้า ฉลองปีใหม่ให้ดีๆ”

ขันทีข้างกายกล่าวว่า

“หลินกงกงช่วยชีวิตข้าน้อยกลับมา ข้าน้อยไม่กลับบ้าน บิดามารดาและลูกทางนั้นมีชีวิตสบายก็พอแล้ว หลินกงกงทางนี้สำคัญกว่า ข้าน้อยไม่อาจปลีกตัวไปได้”

หลินซูลู่ยิ้ม ไม่กล่าวต่อบทสนทนา ดื่มชาไปคำหนึ่งถามว่า

“เมื่อวานเจ้าออกนอกเมืองไป ทางนั้นเป็นไงบ้าง?”

“ท่านสามการค้าไม่เลว ตอนนี้นำเข้าแต่สินค้าของหย่งเซิ่งป๋อ ร้านที่เคยติดต่อกันในเมืองหลวงเมื่อก่อนก็ยอมสั่งสินค้า กำไรไม่น้อย หย่งเซิ่งป๋อแห่งตระกูลอวี๋กับพวกเรามีสายสัมพันธ์กันมากขึ้น วันก่อนเถ้าแก่ของเขาเพิ่งกลับจากซานซี บอกว่าปีหน้ายังต้องติดต่อการค้ากันให้มากๆ”

ซวงสี่รายงานน้ำเสียงสงบนิ่ง หลินซูลู่ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ตระกูลอวี๋มีอนาคตแค่นี้หรือนี่ ตามองเห็นแต่เงินทอง เห็นเจ้าสามหาเงินได้อีกครั้ง ยังหาได้……พรุ่งนี้เจ้าไปดูสักครั้ง บอกท่านสามว่า เงินทองพอใช้แล้ว อย่างไรสินค้าหย่งเซิ่งป๋อก็มีคนจับตาดู ไปมาหาสู่กันบ่อยระวังทิ้งร่องรอยไว้”

“กล่าวกับกงกงตามตรง ท่านสามไม่แน่ว่าจะยอมฟัง……”

หลินซูลู่ถอนหายใจ กำลังจะกล่าวอันใดก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกดังขึ้น

“ฉู่กงกงหรือนี่? ข้าน้อยขอคารวะ!!”

“ไปๆ รายงานสักคำก็พอ เจ้าจะตะเบ็งเสียงดังทำไมกัน รีบไปรายงานหลินกงกงว่าข้ามาแล้ว”

“ฉู่กงกงคอยสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปรายงาน”

หลินซูลู่ในห้องกับซวงสี่สบตากัน หลินซูลู่โบกมือ ซวงสี่ยกถาดน้ำชาบนโต๊ะ ประคองอย่างระวังถอยหลังออกไป พอเห็นซวงสี่ออกไป หลินซูลู่ก็กล่าวเสียงดังออกไปว่า

“รีบเชิญฉู่กงกงเข้ามา ยกน้ำชามา!”

เขาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกไป เห็นฉู่เจ้าเหรินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สีหน้าหลินซูลู่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ประสานมือคารวะกัน

************

“หลินกงกง ข้ามาปฏิบัติงานที่สำนักอาชาหลวงเป็นครั้งแรก มีเรื่องไม่น้อยที่ไม่เข้าใจ ขอท่านโปรดชี้แนะ!”

“ที่ไหนกันท่าน จางกงกง ข้าและฉู่กงกงล้วนทำงานหน่วยงานเดียวกัน ตามหลักควรช่วยเหลือกัน เกรงใจเช่นนี้ ใช่ว่าเหินห่างหรอกหรือ”

กล่าววาจาตามมารยามกันสองสามประโยค ซวงสี่ก็ยกน้ำชาเข้ามา ฉู่เจ้าเหรินคิดว่าเขาเป็นเพียงขันทีรับใช้ระดับล่าง จึงหยุดไม่พูดต่อ รอจนซวงสี่ออกไป ฉู่เจ้าเหรินก็กล่าวว่า

“หลินกงกง มาสำนักอาชาหลวงได้เดือนหนึ่งแล้ว เห็นว่าคนของเราฝึกแต่ในละแวกเมืองหลวง เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้หรือ?”

หลินซูลู่คิดว่าฉู่เจ้าเหรินจะมาพูดเรื่องกองกำลังหู่เวยของหวังทงเข้าสังกัดสำนักอาชาหลวงเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมาถามเช่นนี้ ก็รู้สึกงงอยู่บ้าง แต่ก็ยิ้มกล่าวว่า

“ฉู่กงกงก็เคยปฏิบัติงานในวัง หรือจะไม่รู้ว่า สำนักอาชาหลวงเป็นกองกำลังในวัง ไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้ มิเช่นนั้นหากมีเรื่องขึ้นมาจะทำเช่นไร”

“คิดไม่ถึงเรื่องนี้เลย ขอท่านอย่าได้หัวเราะ”

ฉู่เจ้าเหรินรู้ว่าต้องได้คำตอบเช่นนี้ ยิ้มกล่าวไปประโยคหนึ่ง หลินซูลู่ก็เข้าใจ ฉู่เจ้าเหรินยังมีวาจาจะกล่าวต่อ ก็แค่เอ่ยอ้างเรื่องนี้เพื่อเปิดประเด็น

“หลินกงกง ตอนข้าอยู่หนานจิง มักได้ยินเว่ยกั๋วกงสวีเปิ่นเชียนกล่าวว่า ทหารต้องใช้งาน เพียงแค่ฝึกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลากออกไปทำศึกด้วย ทหารห้าร้อยตระกูลสวี ทุกปีก็จะไปภูเขาหลางซานกับแม่น้ำซงเจียงเพื่อฝึกฝน โจรร้ายที่ได้รับรายงานมาก็จะได้ปราบให้ราบคาบ ทหารได้สัมผัสโลหิต ออกรบย่อมไม่กลัวเกรง จึงจะต่อสู้ได้องอาจแกล้วกล้า……”

หลินซูลู่ตั้งใจฟัง ฉู่เจ้าเหรินกล่าวต่อว่า

“ทางตะวันตกของเมืองหลวงคือเมืองเซวียนฝู่ ตะวันออกคือเมืองจี้โจว ซานซีกับเหลียวโจวห่างไม่ไกลนัก แต่ละแห่งยังเป็นชายแดน นับเป็นที่ฝึกทหารที่ดี ทุกปีช่วงฤดูใบไม้ร่วงและหนาว พวกนอกด่านชอบเข้ามาก่อกวน แม้ว่าจะยุ่งยาก แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการฝึกฝน กองกำลังเราต้องอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนให้เข้มแข็ง สร้างกองกำลังที่ทรงอานุภาพ เป็นเรื่องดีอย่างมาก”

มองหลินซูลู่แล้ว ฉู่เจ้าเหรินยกมือแตะหมวกบนศีรษะ ยิ้มล้อเลียนตนเองว่า

“ข้าเองเป็นพวกคิดจะทำก็ทำ บรรพชนไม่ได้ออกกฎนี้ไว้ มักคิดอยากลองดู……”

หลินซูลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยแทรกว่า

“ไม่ ไม่ ที่ท่านคิดมานั้นก็เป็นประโยชน์ต่อกองกำลังฝ่ายใน ปล่อยให้วันๆ เอาแต่แอบขี้เกียจก็ไม่ใช่เรื่องดี ฉู่กงกงคิดการได้ละเอียดนัก ถึงเวลานั้นท่านและข้ามาร่วมวางแผนกัน”

สองคนสบตากัน พากันหัวเราะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version